“ฮ่าๆ ตอนที่เ้าบอกว่าเ้ามาจากเมืองเทียนเฉิน ข้าก็สามารถคาดเดาจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ของเ้าได้แล้วล่ะ แม้ว่าฟีนิกซ์สีเือาจจะไม่แข็งแกร่งเท่าฟีนิกซ์ที่แท้จริง แต่มันก็ยังถือว่าเป็ฟีนิกซ์ตัวหนึ่ง ดังนั้นมันจึงมีพลังที่แข็งแกร่งเช่นเดียวกัน และยังมีความเป็ไปได้ที่มันอาจจะเป็มอนสเตอร์ระดับอสูร์........ หรืออาจจะเป็มอนสเตอร์ระดับเทพอสูรเลยด้วยซ้ำ หลังจากผู้กล้าทั้งสิบสองคนนั้นเข้าไปด้านใน ท้ายที่สุดก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รอดชีวิตกลับมาและยังได้รับาเ็สาหัสอีกด้วย” เ้าเมืองพูดขึ้นช้าๆ และถอนหายใจอีกครั้ง
ยังมีผู้รอดชีวิตอีกหนึ่งคน?
“แล้วคนๆนั้นอยู่ที่ไหนครับ?”
“มาสิ ข้าจะพาเ้าไปพบเขา”
เ้าเมืองกู้ผิงยืดตัวขึ้น เขาพาเย่เทียนเซี่ยเดินไปทางบ้านเล็กๆหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนักพร้อมกับพูดออกมา “ผู้กล้าจากเมืองเทียนเฉินที่รอดชีวิตมาได้เพียงคนเดียวก็ยังได้รับาเ็สาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้และการเดิน เขารักษาตัวอยู่ที่นี่มาตลอด แม้ว่าพวกเราจะอยากช่วยเขาส่งข่าวกลับไปยังเมืองเทียนเฉิน แต่พวกเราที่อยู่ที่นี่ไม่มีใครที่มีพลังมากพอ อีกทั้งเส้นทางที่ไปยังเมืองเทียนเฉินก็อาจจะพบกับมอนสเตอร์ที่อันตรายอีกมากมาย ดังนั้น...........”
ดังนั้นเ้าเมืองเทียนเฉินจึงไม่ได้รับข่าวสารจากกลุ่มผู้กล้าเลยแม้แต่อย่างเดียว แท้จริงแล้วเมื่อไม่ได้รับข่าวสารใดๆเป็เวลานานเช่นนี้เ้าเมืองเทียนเฉินก็คิดไว้แล้วว่าพวกเขาคงจะตายไปหมดแล้วภายใต้น้ำมือของฟีนิกซ์สีเื ที่ให้เย่เทียนเซี่ยมายังที่แห่งนี้ก็เพียงเพราะเขาไม่อยากถอดใจกับความหวังสุดท้ายเท่านั้นเอง บางทีแม้เ้าเมืองเทียนเฉินเองก็อาจจะคิดไม่ถึงว่ายังมีผู้รอดชีวิตอีกหนึ่งคนที่ยังมีชีวิตอยู่
บ้านขนาดกลางและสะอาดสะอ้านถูกเปิดออกด้วยมือของท่านเ้าเมืองกู่ผิง เตียงนอนอย่างง่ายๆที่มีชายคนหนึ่งกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงปรากฏสู่สายตาของเย่เทียนเซี่ย ชายหญิงวันกลางคนคู่หนึ่งกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ข้างเตียงนั้นแต่แล้วพวกเขาก็หันมาจะเห็นท่านเ้าเมืองที่เดินเข้ามา พวกเขาจึงรีบเข้ามาทักทายอย่างกระตือรือร้น
“เ้าหนุ่ม เขาก็คือคนที่เ้ากำลังตามหาอยู่ ฮ่าๆ ผู้กล้าจากเมืองเทียนเฉิน เพื่อนของเ้ามาแล้ว” ท่านเ้าเมืองหัวเราะแห้งๆแล้วพูดออกมา
“เพื่อน?” ชายคนที่นอนอยู่บนเตียงทั้งกายถูกปกคลุมไปด้วยผ่าพันแผลหันกลับมาด้วยความสงสัยแล้วมองมายังเย่เทียนเซี่ย
“สวัสดีครับ ผมชื่อเซี่ยเทียน ได้รับมอบหมายจากเ้าเมืองเทียนเฉินให้มาตามหาพวกคุณ เพราะพวกคุณเงียบหายและไร้ข่าวคราวไปถึงหนึ่งเดือน ทำให้เ้าเมืองเทียนเฉินเป็ห่วงมากจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยล่ะครับ” เย่เทียนเซี่ยเดินไปด้านหน้า เขาพูดออกไปด้วยใบหน้าโล่งใจ ครึ่งประโยคแรกนั่นเขาพูดจริง ส่วนครึ่งประโยคหลังนั่นเขาเพิ่มเข้าไปเองโดยขัดกับความเป็จริงหน่อยๆ เพราะนี่เป็หนทางที่ได้ผลที่สุดที่จะกระชับความเหินห่างระหว่างเขากับชายคนนี้
ผลก็คือทหารผู้พิทักษ์จากเมืองเทียนเฉินที่ได้รับาเ็ดูมีความกระตือรือร้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เขาพยายามขยับตัวแล้วพูดออกมาด้วยความตื้นตัน “เป็เพราะพวกเราทำภารกิจไม่สำเร็จ แล้วยังจะทำให้ท่านเ้าเมืองต้องกังวลใจอีก......เฮ้อ! สหาย รบกวนเ้ากลับไปรายงานท่านเ้าเมืองด้วยว่านอกจากข้าแล้วคนอื่นๆอีกสิบเอ็ดคนล้วนตายไปหมดแล้ว...... และอีกประมาณหนึ่งเดือนข้าถึงจะมีแรงพอที่จะกลับไปได้ นอกจากนี้ยังขอรบกวนเ้าบอกท่านเ้าเมืองด้วยว่า พลังของฟีนิกซ์สีเืนั้นน่ากลัวยิ่งนัก ระดับของมันอย่างน้อยก็ต้องเป็ระดับอสูร์ และบางทีมันอาจจะเป็เทพอสูรที่ไม่อาจต่อกรได้เลยด้วยซ้ำ หาก้าจะสังหารมัน คงมีเพียงเทพาที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งเมืองที่สาบสูญเท่านั้นแหละถึงจะทำได้ และสาเหตุที่ฟีนิกซ์สีเืเข้าจู่โจมเมืองเทียนเฉินนั่นก็ไม่ใช่เพราะมันมีความแค้นต่อเมืองเทียนเฉิน แต่เป็เพราะความคิดของมันไร้ซึ่งพัฒนาการ มีเพียงแค่สัญชาติญาณที่มองเห็นสิ่งใดก็จะทำการโจมตีออกไป ข้าได้ยินคนที่นี่พูดว่าฟีนิกซ์ตัวนี้มักจะบินออกไปข้างนอกอย่างไร้จุดหมาย และเพราะเหตุนี้พวกเราถึงได้ขับไล่มันไปได้ครั้งแล้วครั้งเล่า”
เมื่อทหารผู้พิทักษ์แห่งเมืองเทียนเฉินเพิ่งพูดจบ หูของเย่เทียนเซี่ยก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นมาอย่างชัดเจน
“ติ๊ง! ท่านได้รับกุญแจสำคัญของภารกิจ ‘สำรวจร่องรอยทหารประจำเมืองที่หายไป’ ขอเพียงท่านกลับไปยังเมืองเทียนเฉินและนำข่าวที่ได้รับไปรายงานเ้าเมืองเทียนเฉินก็จะถือว่าภารกิจสำเร็จโดยสมบูรณ์ค่ะ”
เขาออกเดินทางมาตลอดโดยไม่หยุดพักั้แ่เมื่อวานตอนเช้า จนถึงตอนนี้ตลอดเส้นทางที่เขาผ่านมาเต็มไปด้วยเขตแดนมากมายที่ผู้เล่นระดับอย่างเขาไม่ควรจะเหยียบย่างเข้าไป อีกทั้งเขายังสามารถหลีกเลี่ยงฝูงมอนสเตอร์ที่มีพลังอันแข็งแกร่งมากพอจะสามารถฆ่าเขาได้ในชั่วพริบตามาแล้ว ถึงตอนนี้ภารกิจก็มาถึงจุดสิ้นสุดเสียที ขอเพียงแค่เขานำม้วนคัมภีร์กลับเมืองเทียนเฉินออกมาเขาก็จะสามารถกลับไปยังเมืองเทียนเฉินได้และสามารถทำภารกิจหนึ่งเดียวนี้ให้สำเร็จได้ในทันที
ภารกิจนี้ไม่จำเป็ต้องต่อสู้กับมอนสเตอร์ ไม่จำเป็ต้องรวบรวมอะไร สิ่งที่ต้องทำมีแค่ต้องสืบหาและยืนยันข่าวสารเท่านั้น แต่ใครจะรู้ว่าสถานที่ที่ต้องไปในภารกิจนี้ล้วนมีระดับความยากในแบบของภารกิจหนึ่งเดียวอย่างไม่ต้องสงสัย จุดที่ยากในภารกิจนี้ก็คือการใช้ผู้เล่นที่มีระดับไม่ถึงเลเวล 20 เดินทางไปยังพื้นที่เลเวล 50 ด้วยระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งวันหนึ่งคืน และขอเพียงมาถึงจุดหมายของภารกิจได้ นั่นก็หมายความว่าภารกิจได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว เื่ทั้งหมดจึงกลายเป็เื่ง่ายๆ
“ได้ครับ ผมจะตั้งใจเอาคำพูดของคุณไปแจ้งให้ท่านเ้าเมืองทราบ คุณพักรักษาตัวที่นี่ให้สบายใจเถอะครับ” เย่เทียนเซี่ยพูดออกไป หลังจากนั้นก็นำม้วนคัมภีร์กลับเมืองออกมา เขาหันกลับไปพูดกับท่านเ้าเมืองกู่ผิงด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณท่านเ้าเมืองมากนะครับ ท่านช่วยผมไว้มากจริงๆ”
“ติ๊ง! ด้วยค่าเสน่ห์ที่สูงส่งและมารยาทอันดีงามของท่าน เ้าเมืองกู่ผิงมีความประทับใจต่อท่าน +22”
“ฮ่าๆ....เ้าหนุ่ม เ้าเกรงใจเกินไปแล้ว หากต่อไปมีโอกาสที่นี่ก็ยินดีตอบรับเ้า........โอ้! เ้า...... เหรียญตราบนหน้าอกของเ้านั่นคือ...... คือ...........” เ้าเมืองกู่ผิงพูดได้แค่ครึ่งประโยคเท่านั้นแล้วท่าทางของเขาก็เปลี่ยนเป็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที แล้วท่าทางตื่นเต้นนั่นก็เริ่มสั่นสะท้าน ดวงตาของเขาจ้องมองไปยังสิ่งที่อยู่บนอกของเย่เทียนเซี่ย รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าของเขากลับกลายเป็ความตื่นตะลึงอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
แล้วเย่เทียนเซี่ยก็เข้าใจได้ในทันที บนอกด้านซ้ายของเขา......เหรียญผู้กล้า
เขาได้รับเหรียญผู้กล้านี้มาภายในระยะเวลาสั้นๆเพียงไม่กี่วัน แต่เขาก็ได้รับการพิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่ามันแข็งแกร่งขนาดไหน คาดว่าต่อให้หยวนเชว่แห่งร้านขายยา ณ เมืองเริ่มต้นหมายเลข 60001 นำอาวุธ์ราคาร้อยล้านเหรียญทองมาแลกกับเหรียญผู้กล้าในเวลานี้เขาก็คงจะปฏิเสธออกไปทันที
ทว่าความแข็งแกร่งของเหรียญผู้กล้ากลับไม่ได้แสดงผลแค่ในเมืองเทียนเฉินเท่านั้น แม้กระทั่งในเมืองเล็กๆที่แทบจะตัดขาดจากโลกภายนอกแห่งนี้ก็ยังมีที่คนรู้จักมัน
เย่เทียนเซี่ยไม่มีทางรู้เลยว่าวีรบุรุษที่ช่วยเหลือเมืองนี้ไว้และยังทำให้เมืองนี้เปลี่ยนชื่อไปเป็ชื่อของเขานั่นคือผู้ที่มีเหรียญผู้กล้าคนหนึ่งเช่นกัน ผู้ที่สามารถเหรียญผู้กล้าได้นั้นมีน้อยมาก ต่อให้ผ่านไปหลายสิบปีก็ยังไม่แน่ว่าจะปรากฏตัวขึ้นมาสักคน และเพียงแค่ได้มันก็หมายความว่าเขาจะต้องเป็ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงอย่างแน่นอน ดังนั้นผู้คนในเมืองกู่ผิงเมื่อร้อยปีก่อนจึงล้วนเคารพและบูชาเหล่าวีรบุรุษ และยิ่งเคารพและบูชาผู้ที่สามารถเหรียญผู้กล้าและเหรียญวีรบุรุษได้ สิ่งนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็ประเพณีที่สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน......... และตอนนี้เมื่อเ้าเมืองกู่ผิงก็จ้องมองไปที่เหรียญตราที่เหมือนกับเหรียญผู้กล้าในบันทึกของเมืองราวกับแกะบนอกของเย่เทียนเซี่ย เขาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร
“นี่คือเหรียญผู้กล้าครับ ท่านเ้าเมืองรู้จักมันด้วยเหรอครับ?” เย่เทียนเซี่ยถามออกไปอย่างรู้ดีด้วยท่าทางสงบนิ่ง เขาแสดงสีหน้าสงสัยบนใบหน้าของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“เหรียญผู้กล้า........ ที่แท้ก็คือเหรียญผู้กล้านี่เอง..... รู้จักสิ ข้าต้องรู้จักแน่นอน มันคือเหรียญตราที่เป็สัญลักษณ์ของผู้กล้าที่แท้จริง บรรพบุรุษของเราได้กล่าวไว้ว่าตราบใดที่ได้เห็นผู้ที่เหรียญผู้กล้า......... พริบตาเดียวก็ผ่านไปถึงร้อยปีแล้วหรือนี่” อารมณ์ของท่านเ้าเมืองปั่นป่วนอย่างรุนแรง แม้แต่ชายหญิงวัยกลางคนทั้งสองคนที่อยู่ใบบ้านหลังนี้ด้วยก็ยังแสดงสีหน้าตื่นเต้นออกมาเหมือนท่านเ้าเมืองเช่นกัน ดวงตาเป็ประกายของพวกเขาหยุดลงที่เหรียญผู้กล้าบนอกของเย่เทียนเซี่ย
ฉันจะได้อะไรในครั้งนี้นะ........ ในมือของเย่เทียนเซี่ยยังคงถือม้วนคัมภีร์กลับเมืองเอาไว้ แต่เขากลับยังไม่คิดที่จะใช้มัน สีหน้าของเขาสงบนิ่งไม่ไหวติง ทว่าในใจของเขากำลังวางแผนอยู่เงียบๆ
