ดูเหมือนว่านางจะนับว่าสกุลฉือเป็คนในครอบครัวของนางจริงๆ
หลินกู๋หยู่หันศีรษะมองไปที่ฉือหางที่อยู่ในมุมมืด เค้าโครงหน้าของเขายิ่งชัดเจนมากขึ้น ดวงตาสีเข้มลึกล้ำ ดั้งจมูกโด่ง
ผู้คนมักจะกล่าวกันว่าคนที่มีริมฝีปากบางนั้นเป็คนจิตใจเหี้ยมเกรียม
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ หลินกู๋หยู่ก็สับสนเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าไม่มีความสัมพันธ์คลุมเครือคล้ายหยอกล้อกันระหว่างพวกเขาสองคน แต่สัดส่วนของเขาในหัวใจของนางค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
“ตกลง ในสองสามวันนี้ ข้าจะจัดการสิ่งเหล่านี้ก่อน” ฉือหางกล่าวพลางหันศีรษะไปมองที่หลินกู๋หยู่ มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย “ข้าจะกลับมาทำงานหลังจากส่งเ้าไปโรงหมอ”
ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายไม่เหมือนใคร หลินกู๋หยู่มองเข้าไปในดวงตาของฉือหางไม่กะพริบ
"เป็อะไรไป?" ฉือหางเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงหันร่างมามองอย่างเป็กังวล เขาวางมือบนหน้าผากของหลินกู๋หยู่ "ไม่ร้อนนี่ เป็อะไรไป?"
"ข้าไม่ได้เป็อะไร" นางไม่ได้ถอยหนีเหมือนเคย และไม่ได้รู้สึกอึดอัดราวกับว่านางคุ้นเคยกับััของเขา
ความคุ้นเคยเช่นนี้น่ากลัวมากจริงๆ
หลินกู๋หยู่กระถดถอยหลังออกไปเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองฉือหาง "ข้าแค่รู้สึกว่า..."
รู้สึกว่าระยะห่างระหว่างนางกับฉือหางใกล้กันจนเกินไป ใกล้เข้ามาในหัวใจของนางแล้ว?
แต่นางไม่สามารถพูดเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน นางรู้ว่าสิ่งนี้ไม่อาจโทษฉือหางได้ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวเอง
เมื่อคิดถึงเื่นี้ หลินกู๋หยู่ก็ก้มศีรษะลง พูดเบาๆ ว่า "ข้าง่วงนอนแล้ว ข้าอยากนอนแล้ว"
“อืม” ฉือหางชำเลืองมองหลินกู๋หยู่อย่างสงสัยแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยปากอย่างไม่วางใจว่า “ถ้าเ้ามีเื่ไม่สบายใจ เ้าบอกข้าได้”
"ข้ารู้แล้ว" หลินกู๋หยู่ทำตัวไม่ถูกหลายส่วน
อาจเป็เพราะในระหว่างวันนางเหนื่อยเกินไป วันนี้นางจึงหลับอย่างรวดเร็ว
เมื่อหลินกู๋หยู่ตื่นขึ้นในวันรุ่งขึ้น ฉือหางก็ตื่นขึ้นแล้ว เขากำลังต้มบะหมี่
หลังจากเก็บที่นอนเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางก็เห็นว่าบะหมี่ในหม้อกลายเป็แป้งเหนียวหนืดไปแล้ว
เมื่อเทียบกับอาหารดิบ บะหมี่เหนียวหนืดย่อมดีกว่าหลายส่วน หลินกู๋หยู่อุ่นหมูเส้นของเมื่อคืน แล้วเทลงบนบะหมี่ก่อนจะคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน
หลังจากทานข้าวเสร็จ หลินกู๋หยู่ก็เงยหน้าขึ้นมองฉือหาง "วันนี้ข้าไปโรงหมอกับโต้ซาเองได้ เ้ายุ่งอยู่กับการสร้างกระท่อมฟางอีกไม่ใช่หรือ?"
“ไม่ได้เร่งรีบเพียงนั้น” ฉือหางพูดเบาๆ และอุ้มโต้ซาขึ้นมา “ข้าไปส่งพวกเ้าแล้วกลับมาคนเดียวได้”
หลินกู๋หยู่ยัง้าจะเอ่ยเพิ่ม ทว่าฉือหางได้เดินออกไปข้างนอกเสียแล้ว
หลินกู๋หยู่กระวีกระวาดเดินตามฉือหาง ลงกลอนประตูบ้านก่อนจะเดินตามเขาออกไปด้านนอก
เมื่อพวกเขามาถึงโรงหมอ หลินกู๋หยู่มองไปที่ฉือหางด้วยรอยยิ้มขบขัน "ข้ามาเองได้ไม่เป็ไร ตอนเย็นข้าก็กลับเองได้ เ้าไม่จำเป็ต้องมารับข้าหรอก"
"ข้าเดาว่าข้าคงจะทำเสร็จในตอนบ่าย" ฉือหางกล่าวอย่างเคร่งขรึม "ถึงเวลานั้นข้ามารับเ้าก็ได้แล้ว"
"ไม่ต้องลำบากถึงเพียงนั้น" หลินกู๋หยู่รู้สึกว่าฉือหางเข้ามาในเมืองทุกวันเพียงเพื่อมารับนาง การเดินทางกลับไปกลับมาเช่นนี้ เขาไม่ลำบากหรืออย่างไร
“คนเขาไม่ยอมให้เ้ามารับ” เจียงโหรวทำหน้าบูดบึ้ง ขณะมองไปที่หลินกู๋หยู่อย่างยั่วยุปราดหนึ่ง จากนั้นหันไปมองฉือหาง “แต่เ้ายังดื้อดึงจะมารับคนเขาให้ได้”
เมื่อได้ฟังถ้อยคำของเจียงโหรว ฉือหางก็ลดสายตาลงเล็กน้อย "เ้าไปทำงานก่อนเถอะ"
หลินกู๋หยู่ชำเลืองมองเจียงโหรว จากนั้นเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับโต้ซาในอ้อมแขน
"ข้าไปก่อน" ฉือหางเองก็หันหลังกลับเดินจากไป
เห็นชายหนุ่มเดินจากไป เจียงโหรวก็ขมวดคิ้วมุ่น ดูเหมือนว่านางจะไม่พอใจอีกแล้ว "เ้าหยุด"
ผู้ชายคนนี้เป็อะไร ทำไมทุกครั้งที่เจอนาง เขาก็จะเดินหนีจากนางไปทุกครั้ง
“ข้าจะกินเ้าหรืออย่างไร เ้าถึงได้แสดงท่าทีหวาดกลัวทุกครั้งที่เจอข้า?” ดวงตาของเจียงโหรวกลอกกลิ้งไปรอบๆ ร่างของฉือหาง “เ้ากลัวข้าถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”
"ไม่ใช่" ฉือหางลดศีรษะลง เขาไม่มองไปที่เจียงโหรวที่อยู่ตรงหน้า "ที่บ้านยังมีงานที่ต้องทำอีกหลายอย่าง ข้าต้องกลับไปทำงานแล้ว"
เมื่อได้ฟังดังนั้น การแสดงออกบนใบหน้าของเจียงโหรวก็น่าเกลียดกว่าเดิม
พูดปด
ถ้าเขายุ่งมากจริงๆ เขาก็คงไม่มาส่งคนๆ นั้นที่นี่ แล้วจากไปเป็แน่
"ฮึ่ม!" เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เจียงโหรวก็หันหลังกลับ จากไปด้วยความโกรธขึ้ง
หลังจากเดินไปเพียงสองก้าว เจียงโหรวก็นึกจำสิ่งที่ฉือหางพูดได้ ดังนั้นจึงรีบเดินกลับไปหาเขา เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของเขา นางรู้สึกเพียงว่ามันน่าขบขัน
"เ้าและนาง" เจียงโหรวมองไปที่ฉือหางอย่างจริงจัง ถามอย่างหยอกเย้าว่า "เป็ไปได้หรือไม่ว่า จนถึงเวลานี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใช่หรือไม่!"
นางรู้ได้อย่างไร?
ฉือหางมองไปที่เจียงโหรวด้วยอย่างตื่นตระหนก
ปรากฏว่าใช่จริงด้วย
เมื่อเห็นท่าทีของฉือหาง เจียงโหรวก็รู้ว่าเดาถูกแล้ว นางพินิจใบหน้าฉือหางขึ้นลง แล้วพูดว่า "ข้าพูดถูกสินะ ถ้าเป็เช่นนั้นจริงๆ เ้าแต่งงานกับข้าไม่ดีกว่าหรือ?"
"ไม่ ไม่ได้" ฉือหางมองไปที่เจียงโหรวด้วยความตื่นตระหนกระคนประหวั่นพรั่นพรึง โบกมืออย่างแรง
"มีอะไรที่ไม่ได้กัน?" เจียงโหรวเอามือไพล่หลัง เมื่อเห็นฉือหางดูหวาดวิตก นางแค่คิดว่ามันน่าขันดี "เ้าอยู่กับสตรีที่ไม่รู้ว่าอะไรดีไม่ดีเช่นนั้นจะมีประโยชน์อะไร ใบหน้าของนางดูดีกว่าข้าหรือไม่?”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เจียงโหรวพูด ฉือหางก็ขมวดคิ้วมุ่น อธิบายอย่างเคร่งขรึมว่า "นางเป็คนดีมาก!"
"เป็ต้นไม้แข็งกระด้าง หัวช้า!" เจียงโหรวมองไปที่ฉือหางอย่างเ็า ผู้หญิงเช่นนั้นมีดีอะไรหรือ
ฉือหางลดศีรษะลง หันกลับกำลังจะจากไป เขาไม่้าให้เจียงโหรวขวางทาง
"ถ้าข้ามีปัญหา เ้าจะช่วยข้าหรือไม่?" เจียงโหรวมองไปที่ฉือหางอย่างจริงจัง
"ถ้าข้าสามารถช่วยได้ ข้าก็จะช่วย" ฉือหางมองไปที่เจียงโหรวด้วยความสับสน ทำไมคุณหนูบ้านรวยมั่งคั่งเช่นนี้ถึงอยากไปทีู่เานัก?
เจียงโหรวเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ถอนหายใจเบาๆ "ไปทีู่เา"
ปรากฏว่าใช่จริงด้วย
ฉือหางไม่เข้าใจว่าทำไมเจียงโหรวถึงอยากไปทีู่เานักหนา ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่สำคัญในูเา
เพียงแต่
เมื่อคิดถึงสายตาวิตกกังวลของหลินกู๋หยู่ ฉือหางยืนได้แต่อยู่กับที่ ลังเลครู่หนึ่ง
“อย่าบอกนะว่าเ้าไม่อยากไปล่าสัตว์บนูเาแล้ว?” สายตาเย็นของนางเ็าอย่างโกรธขึ้ง “ถ้าเ้าตามข้าไปทีู่เา ข้าจะให้เงินเ้าสิบตำลึง"
เงินสิบตำลึงนับว่ามากแล้ว
หากเป็คนอื่น พวกเขาอาจจะตอบตกลงอย่างกระตือรือร้น
ทว่าบุรุษผู้นี้คือฉือหาง
สำหรับคนบ้านยากจนเช่นพวกเขา เงินไม่กี่สิบตำลึงอยู่ในมือก็นับว่ามากพอแล้ว เพียงพอที่พวกเขาจะใช้จ่ายได้เป็เวลานาน
บางคนทั้งชีวิตยังใช้เงินไม่ถึงสามสิบตำลึง แน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถใช้หมดในฤดูเดียว
"ขอโทษด้วย" ฉือหางพูดด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิด "ข้าไปไม่ได้"
หลังจากพูดจบ ฉือหางก็เดินผ่านเจียงโหรวไป
สมัยก่อนเพื่อหาเงิน ฉือหางจะไปทีู่เาโดยไม่คิดสนใจสิ่งใด ในเวลานั้นไม่มีใครเป็ห่วงเขาแม้แต่คนเดียว
แต่ปัจจุบันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ในบ้านมีคนที่คอยเป็ห่วงเป็ใยเขาเสมอ เขาเรียนรู้ที่จะรักษาชีวิตและดูแลตัวเอง
เจียงโหรวยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น ความหวังเล็กๆ ในใจของนางค่อยๆ เลือนรางหายไป
เมื่อหันศีรษะกลับไป นางเห็นเพียงเงาด้านหลังของฉือหางที่เดินจากไป
ถ้าฉือหางไม่พานางไปทีู่เา เจียงโหรวรู้ว่ามีความเป็ไปได้สูงมากที่นางอาจจะตายในูเา
นางแค่อยากจะเจอคนผู้นั้น แค่อยากเจอสักครั้ง นางเชื่อว่าคนผู้นั้นจะต้องอยู่บนูเา
คิ้วของเจียงโหรวค่อยๆ ขมวดมุ่น มือของนางกำหมัดแน่น
ลู่จื่อยู่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างบนชั้นสอง เขาได้ยินทุกอย่างที่คนด้านล่างพูดคุย
สิ่งที่ทำให้เขาดีใจที่สุดคือนางยังบริสุทธิ์
สิ่งนี้สามารถบ่งบอกได้ว่าเขายังมีโอกาสอยู่หรือไม่?
เมื่อลู่จื่อยู่ลงมาจากชั้นบน เขาเห็นหลินกู๋หยู่กำลังดูแลผู้ป่วย
"ปัญหาของท่านไม่ร้ายแรงนัก" หลินกู๋หยู่มองผู้ป่วยที่นั่งอยู่ข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม "ไข้หวัดจากลมเย็น อาการไม่หนักมาก ลองดื่มน้ำขิงดู ถ้าอาการยังไม่ดี อีกสองวันกลับมาพบหมออีกครั้ง หมอจะตรวจอาการท่านอีกครั้ง"
ผู้ป่วยมองไปที่หลินกู๋หยู่อย่างซาบซึ้ง
เมื่อส่งผู้ป่วยออกไปอย่างสุภาพ หลินกู๋หยู่นั่งอยู่หน้าโต๊ะ กำลังเขียนและวาดภาพพร้อมพู่กันในมือ
"ฝึกคัดลายมือเป็อย่างไรบ้าง?" ลู่จื่อยู่เดินไปนั่งลงตรงหน้าหลินกู๋หยู่อย่างสงบเยือกเย็น มองดูลายมือที่หลินกู๋หยู่เขียนบนโต๊ะค่อยๆ เลือนหายไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“มันดูไม่ค่อยดีนัก” หลินกู๋หยู่รู้สึกว่าตัวนางอาจจะไม่ได้เกิดมาเพื่อเขียนพู่กัน
นางยังคงคิดอยู่ว่าจะกลับไปเขียนโดยใช้ถ่าน อย่างน้อยนางสามารถเขียนได้เร็วกว่านี้
ทว่าความคิดนี้ถูกหลินกู๋หยู่ปฏิเสธในฉับพลัน ถ้าเขียนเช่นนั้นจะต้องใช้กระดาษหนากว่านี้ กระดาษข้าวเช่นนี้ทะลุง่ายเกินไป
ลู่จื่อยู่ดึงกระดาษข้าวออกมาหนึ่งแผ่น แล้ววางลงบนโต๊ะ
"ถ้าเ้าเอาแต่เขียนบนโต๊ะ เ้าจะไม่สามารถฝึกคัดลายมือให้ดีได้ เ้าต้องเขียนบนกระดาษข้าว" ลู่จื่อยู่ยื่นพู่กันยื่นให้หลินกู๋หยู่
หลินกู๋หยู่รับพู่กันในมือของลู่จื่อยู่ เขียนคำว่า "หลิน" บนโต๊ะอย่างระมัดระวัง
กระดาษข้าวเปื้อนง่าย ลู่จื่อยู่มองไปที่จุดสีดำบนกระดาษข้าว หยิบพู่กันจากมือของนาง เขียนคำว่า "หลิน" อย่างสง่างามถัดจากอักษรของนาง
เมื่อลู่จื่อยู่ขยับเข้ามาใกล้ หลินกู๋หยู่ก็ขยับออกไปโดยธรรมชาติ ทิ้งระยะห่างระหว่างทั้งสองคนไว้ครึ่งหนึ่ง
“เ้าเขียนเช่นนี้ ลองดูสิ” ลู่จื่อยู่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของนางั้แ่แรก เขาแสร้งทำเป็ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นยื่นพู่กันในมือให้หลินกู๋หยู่
หลินกู๋หยู่หยิบพู่กันและเขียน "หลิน" ที่คดเคี้ยวบนกระดาษข้าว
"ดีกว่าเดิมมากแล้ว" ลู่จื่อยู่ยืนตัวตรง เอ่ยสั่งเด็กชายข้างๆ ให้เขาไปหยิบกระดาษมาเพิ่ม "ในโรงหมอมีกระดาษจำนวนมาก เ้าฝึกเขียนบ่อยๆ ได้"
หลินกู๋หยู่โบกมือ ท้ายที่สุดแล้วนี่เป็ของใช้ร่วมกันของโรงหมอ ถ้านางนำมาใช้เป็การส่วนตัว เช่นนั้นไม่ดีแน่
หมอตู้ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหลินกู๋หยู่รู้สึกไม่พอใจเมื่อเห็นรูปลักษณ์ของหลินกู๋หยู่ และพูดอย่างถมึงทึง "ให้เ้าใช้ เ้าก็ใช้ไปสิ เล่นตัวอะไรกัน"
“ไม่ใช่เช่นนั้น” เหลินกู๋หยู่พูดอย่างใจเย็น “การฝึกคัดลายมือเดิมทีก็เป็ธุระของข้าเอง ไม่จำเป็ต้องใช้กระดาษของโรงหมอ กระดาษเป็ของราคาสูงถึงเพียงนั้น ข้าไม่อาจใช้มันอย่างฟุ่มเฟือย ใช่หรือไม่?"
ลู่จื่อยู่เป็คนฉลาดเฉลียว เขารู้ว่าหลินกู๋หยู่หมายถึงอะไร ดังนั้นเขาจึงบอกให้คนนำกระดาษไปเก็บ
ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด หลินกู๋หยู่รู้สึกว่าลู่จื่อยู่มองนางด้วยสายตาผิดแปลกไปจากเดิมหลายส่วน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้