“ข้าไปตรวจสอบมาแล้วคนที่วางยาพิษนั้นเป็คนที่ฮ่องเต้ส่งมา ยาพิษชนิดนี้ท่านราชครูเพิ่งจะคิดค้นมาได้ไม่นานรายละเอียดความรุนแรงของตัวพิษนี้ยังมิทราบแน่ชัดท่านอ๋องจึงกลายมาเป็ตัวทดลองยาให้กับพวกเขา” ขณะที่เหลยอวี๊เฟิงอธิบายนั้นเขาไม่ได้หันไปมองม่อเวิ่นเฉิน
เื่เช่นนี้ยากนักที่จะทำให้คนยอมรับได้
“เสด็จพี่...”ม่อเวิ่นเฉินกำหมัดแน่นด้วยความเคียดแค้นแม้ว่าเขาจะพอคาดเดาได้ลางๆ แต่เมื่อได้ยินความจริงในตอนนี้ก็ยังอดมิได้ที่จะรู้สึกปวดใจดูเหมือนว่าพวกเขาสองคน คงต้องเหลือแค่คนเดียวเท่านั้นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้...
ตัวเขานั้นคอยอดทนอดกลั้นแต่เขาคนนั้นกลับคอยหาเื่มิหยุดหย่อน
เหลิ่งเหยียนและเหลยอวี๊เฟิงนั้นล้วนแต่ก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยคำใดๆ ออกมา
และตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่ควรจะเสนอความคิดเห็นใดๆ ออกมา
“ข้าเข้าใจแล้วเหลิ่งเหยียน ไปเรียกซูฉีฉีมา” เพียงไม่นานม่อเวิ่นเฉินก็กลับมาเ็าดั่งเดิม
เหลยอวี๊เฟิงก็รีบหลบไปอยู่ด้านหลังฉากกั้นเช่นกัน
เขารู้ว่าม่อเวิ่นเฉินจะทำอะไรแต่ว่าซูฉีฉีจะรับมือกับม่อเวิ่นเฉินที่ไร้เหตุผลเช่นนี้อย่างไรกัน?
วันนั้นที่มอบยาให้กับนางในป่า ก็เพียงเพราะเขาเกิดนึกอยากให้ขึ้นมาก็เท่านั้น
ซูฉีฉีสำหรับเขาแล้วมิได้มีความรู้สึกพิเศษใดๆ
“ท่านอ๋อง”เมื่อเห็นม่อเวิ่นเฉินฟื้นขึ้นมา ซูฉีฉีก็รู้สึกวางใจเสียที ทว่านางก็ยังอดมิได้ที่จะกังวล
“เ้าทำลายข้า”เสียงของม่อเวิ่นเฉินเ็าดั่งน้ำเย็นที่สาดมาท่านกลางฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ
นั่นทำให้อารมณ์ของซูฉีฉีเปลี่ยนไปในทันทีนางรีบคุกเข่าโขกศีรษะลงกับพื้น “หม่อมฉันผิดไปแล้ว”
นางได้แต่เย้ยหยันตัวเองดูเหมือนว่านางจะทำเื่โง่ๆ ไปอีกแล้ว คนอย่างม่อเวิ่นเฉินมีหรือจะรู้สึกซาบซึ้งใจในการช่วยเหลือของนาง
นางใช้ฝีมือการฝังเข็มทองรักษาเขาให้ฟื้นขึ้นมาแต่เพราะพิษนั้นไม่อาจขับออกจากอวัยวะภายในร่างกายได้ทำให้ม่อเวิ่นเฉินในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับคนพิการไร้ทางสู้ทำได้เพียงแค่นอนนิ่งอยู่บนเตียง
ภาพเบื้องหน้าผ่านไปวูบหนึ่งก่อนที่ทั้งร่างของซูฉีฉีจะถูกโยนขึ้นสูงและตกลงสู่พื้นอย่างแรง
เจ็บความรู้สึกนี้เหมือนจะมาจากทุกสัดส่วนในร่างกายของนางซูฉีฉีตอนนี้นอกจากยิ้มออกมาอย่างขมขื่นแล้วก็ไม่แสดงท่าทีใดออกมาอีก
นางรู้ว่าคนตรงหน้านั้นได้ออมมือแล้วบนตัวนางนอกจากความเจ็บแล้ว ไม่ได้รับการาเ็ใดๆ กระดูกไม่ได้หักอีกทั้งยังไม่ได้รับาเ็ภายในจนต้องกระอักเืออกมา
แต่ว่าตอนนี้ทั้งร่างของนางนั้นเต็มไปด้วยาแด้วยเหตุนี้ทำให้นางไม่อาจทนได้เท่าไรนัก
เมื่อเงยหน้าเห็นใบหน้าเ็าของม่อเวิ่นเฉิน ซูฉีฉีก็กัดฟันทนแขนทั้งสองข้างของนางพยายามพยุงตัวเองให้ยืนขึ้น “ขอบคุณท่านอ๋องที่ออมมือ”
“ข้าไม่ถือสาอะไรกับสตรีผู้หนึ่ง” ม่อเวิ่นเฉินมองไปที่ซูฉีฉีที่บัดนี้มีสีหน้าสงบนิ่งอารมณ์ก็สั่นคลอนเล็กน้อย
ทว่าคำพูดที่เอ่ยออกไปนั้นกลับไร้ซึ่งความอ่อนโยน
“บุญคุณใหญ่หลวงของท่านอ๋อง ซูฉีฉีจะไม่มีวันลืม” ซูฉีฉีลุกขึ้นยืนตรงและเอ่ยออกมาอย่างเน้นย้ำทุกคำ
นางกำลังนึกเย้นหยันตัวเองนางทั้งยอมทั้งอดทน แต่ก็ยังแลกเอาสิ่งที่ตน้ามาไม่ได้เสียที
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ข้าจะให้โอกาสเ้าอีกสักครั้ง รักษาข้าให้หายต้องใช้ยาอะไรนั้นให้แจ้งแก่พ่อบ้านได้” ม่อเวิ่นเฉินพูดอย่างราบเรียบเขากำลังพนันว่าพิษที่หมอเทวดาทั่วทั้งแผ่นดินไม่อาจรักษาให้หายได้นั้น นางจะรักษาได้หรือไม่
ตอนนี้ เขาเพียงแค่ต้องฝากความหวังทั้งหมดไว้บนตัวของซูฉีฉีเสียแล้ว
“ท่านอ๋อง...”ซูฉีฉีนิ่งอึ้งไป
“ถ้าหากรักษาข้าให้หายดีมิได้เ้าก็รอรับโลงศพที่ข้าเตรียมไว้ให้เ้าได้เลย” ม่อเวิ่นเฉินมีสีหน้าจริงจังไม่ให้โอกาสซูฉีฉีได้ปฏิเสธแม้แต่น้อย
เขา้าบอกนางว่านี่คือคำสั่ง
“เ้าค่ะ”ซูฉีฉีได้แต่ต้องก้มหน้ารับคำ
จะรักษาได้หรือไม่นั้นซูฉีฉีเองก็ยังไม่แน่ใจถึงแม้ว่าฝีมือการแพทย์ของนางจะเก่งกาจ แต่ประสบการณ์ของนางมีไม่มากนักตอนที่นางอาศัยอยู่ที่จวนอัครมหาเสนาบดี นางมักจะเก็บตัวอยู่เสมอจึงมิมีผู้ใดรู้ว่านางมีความสามารถเช่นนี้
การฝังเข็มให้ม่อเวิ่นเฉินนั้นก็ทำได้เพียงแค่ช่วยถ่วงเวลาที่พิษจะกระจายตัวไปในร่างกายเพื่อไม่ให้มันกระจายไปถึงอวัยวะสำคัญในร่างกายของเขาจนทำให้ถึงแก่ชีวิตแต่เพียงเท่านั้น
“ให้เวลาข้าหน่อยได้หรือไม่?”อารมณ์ของซูฉีฉีค่อยๆ กลับมาสงบลง ตอนนี้อยากช่วยก็ต้องช่วยไม่อยากช่วยก็ต้องช่วย ขอเพียงนางมีความพยายามมากเพียงพอชีวิตของนางก็ยังคงอยู่ในกำมือของตน
“ย่อมได้”ม่อเวิ่นเฉินตอบกลับอย่างรวบรัด
“เช่นนั้นหม่อนฉันขอลา”ซูฉีฉีทำความเคารพก่อนจะหมุนตัวจากไป แผ่นหลังของนางยืดตรงมีความโดดเดี่ยวอยู่บ้างตอนนี้ซูฉีฉีแค่ใช้ความหยิ่งทะนงที่น่าสงสารนี้มาปกปิดความผิดหวังและความไม่พึงพอใจของตน
เมื่อมองซูฉีฉีที่เดินออกไปจนรอดพ้นสายตาแล้วนั้นมุมปากของม่อเวิ่นเฉินก็กระตุกขึ้น “สีหน้ามิเปลี่ยนไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใดรู้จักรุกและรู้จักถอย ช่างน่าเสียดายเสียจริงๆ ”