สตรีเบื้องหน้าดวงตาสุกใส บุคลิกสดใสร่าเริง เรือนร่างบอบบางอรชร รูปโฉมพริ้มเพราน่ารัก
อาภรณ์ที่สวมใส่เรียบง่าย เรือนผมดำสนิทเกล้ามวยแต่ไร้เครื่องประดับ
ตระกูลผูหยางมีญาติเช่นนี้ด้วยหรือ เหตุใดนางไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยเล่า?
หัวคิ้วของท่านหญิงหย่งเจียขมวดเล็กน้อยหากไม่สังเกตจะไม่เห็น
"หย่งเจีย เสี่ยวหรั่น เข้ามาคุยกัน" เหลียนเซวียนเรียกพวกนาง
ท่านหญิงหย่งเจียหันมาหาเหลียนเซวียนพลางหัวเราะเบาๆ แล้วเดินเข้าไป
แต่เซวียเสี่ยวหรั่นกลับลังเล พวกเขาล้วนแต่เป็คนคุ้นเคยเก่าแก่ เธอเข้าไปจะเข้าไปร่วมครึกครื้นอย่างไรได้
เหลียนเซวียนคล้ายเข้าใจความคิดของนาง จึงยังคงยืนรอตรงนั้นอย่างอดทน
ภายใต้สายตาจดจ้องแกมบังคับของเขา เซวียเสี่ยวหรั่นจึงต้องเดินเข้าไปอย่างไม่เต็มใจนัก
ในห้องรับแขก ทุกคนต่างนั่งลง หงกูยกน้ำชาเข้ามาให้ก่อนถอยออกไป
เหลียนเซวียนแนะนำเซวียเสี่ยวหรั่นให้ท่านหญิงหย่งเจียรู้จัก
"คุณหนูเซวียเป็คนช่วยชีวิตพี่เจ็ดไว้หรือ" ท่านหญิงหย่งเจียตะลึงงัน หันไปมองผูหยางชิงหลันซึ่งนั่งหน้านิ่งอยู่ตรงนั้น ก่อนรั้งสายตากลับไปหาเซวียเสี่ยวหรั่น
เซวียเสี่ยวหรั่นอยากส่ายหน้าปฏิเสธ แต่น้ำเสียงของเซวียเสี่ยวหรั่นมั่นคงยิ่ง
"ขอบคุณในความเมตตาของคุณหนูเซวีย" ท่านหญิงหย่งเจียลุกขึ้น ค้อมกายเล็กน้อยกล่าวขอบคุณด้วยความจริงใจ
"จวิ้นจู่เกรงใจไปแล้ว แค่บังเอิญพบกันเท่านั้นเอง" เซวียเสี่ยวหรั่นปรายตามองเหลียนเซวียน แล้วลุกขึ้นเช่นกัน "เขาก็ช่วยข้าไว้มาก"
ท่านหญิงหย่งเจียทำสีหน้าจริงจัง "คุณหนูเซวียไม่ต้องถ่อมตนนักก็ได้ บอกให้โดยไม่ปิดบัง พี่เจ็ดของข้าหายตัวไปจากแคว้นฉีเป็ปีแล้ว คนที่ส่งออกไปหาค้นทุกที่ที่สามารถหาได้แล้ว แต่ก็ไร้วี่แววมาโดยตลอด คนในครอบครัวต่างเป็ห่วงจะแย่อยู่แล้ว เขาปลอดภัยกลับมา ล้วนเพราะพึ่งพาบุญของท่าน"
คนในครอบครัวต่างเป็ห่วง? เซวียเสี่ยวหรั่นสะดุดใจกับคำกล่าวนี้ คนที่ทำร้ายเหลียนเซวียนก็เป็คนในครอบครัวเขาเองมิใช่หรือ
เซวียเสี่ยวหรั่นรักษารอยยิ้มอย่างสุภาพ
"จะว่าไปแล้วก็บังเอิญจริงๆ เ้าเป็ญาติผู้น้องของป๋ออวิ๋น ป๋ออวิ๋นเป็ศิษย์พี่ของพี่เจ็ด ล้วนแต่เป็คนกันเองทั้งนั้น" ท่านหญิงหย่งเจียยิ้มกล่าว
ผูหยางชิงหลันมีนามรองว่าป๋ออวิ๋น ท่านหญิงหย่งเจียกับผูหยางชิงหลันรู้จักกันมาแต่เล็กแต่น้อย ทั้งสองนับได้ว่าเป็เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ [1]
เซวียเสี่ยวหรั่นหัวเราะแหะๆ พลางเหลือบมองเหลียนเซวียน
"แฮ่ม หย่งเจีย เ้าออกจากเมืองหลวงคงมิได้ทำให้คนใกล้เคียงตื่นตระหนกกระมัง" ดวงเนตรล้ำลึกแฝงแววยิ้ม ช่วยนางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
"เปล่านะ ข้าบอกท่านแม่แค่ว่าจะออกไปข้างนอก แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าไปที่ไหน" สีหน้าของท่านหญิงหย่งเจียค่อยๆ สงบลง
เื่พี่เจ็ดขายตัวไป คนเมืองหลวงไม่กี่คนนั้นล้วนปัดความรับผิดชอบไปไม่พ้น นางซึ่งเติบโตมาในหมู่เชื้อพระวงศ์ไหนเลยจะไม่รู้
"อืม ที่จริงก็ไม่เป็ไรหรอก อย่างไรก็ต้องกลับไป" เหลียนเซวียนเก็บรอยยิ้มบนสีหน้า ดวงตาพลันเ็าดังถูกฉาบด้วยน้ำค้างแข็ง
สีหน้าของท่านหญิงหย่งเจียเยียบเย็นลงทีละน้อย
เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นคนทั้งสองต่างนิ่งงันไป ก็เบ้ปากโดยไม่รู้ตัว หันไปมาผูหยางชิงหลันฝั่งตรงข้าม
ผูหยางชิงหลันกำลังเบื่อหน่ายอยู่พอดี เื่สกปรกโสโครกในเมืองหลวงเ่าั้เขาเห็นมาั้แ่เด็ก ล้วนแต่เป็การใช้เล่ห์เพทุบายน่ารังเกียจทั้งนั้น น่าสะอิดสะเอียน ถึงตอนนี้เขาก็ไม่นึกสนใจสักนิด
พอเห็นเซวียเสี่ยวหรั่นมองมาที่ตนเอง เขาก็ทำตาปริบๆ จ้องกลับอย่างซุกซน
เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มออกทันควัน มุมปากโค้งขึ้นเป็มุมสวย
ผูหยางชิงหลันดวงตาสว่างวาบ เพิ่งตระหนักเดี๋ยวนี้เองว่า สตรีฝั่งตรงข้ามมีรอยยิ้มอ่อนหวานและน่ารักมากเพียงใด
มิน่าล่ะ เ้าเด็กเหลียนเซวียนถึงเฝ้าคนไม่คลาดสายตา ไปไหนก็ตามไปด้วยทุกที่
ขณะที่สองคนทางนั้นบรรยากาศเคร่งเครียด สองคนทางนี้กลับล้อเล่นกันอย่างเบิกบานใจ
ความกดดันเหนือศีรษะของเหลียนเซวียนกับท่านหญิงหย่งเจียยิ่งเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
ระหว่างมื้ออาหารค่ำ เซวียเสี่ยวหรั่นกับอวี๋เฟิงหยางก็มาร่วมโต๊ะ
พอนึกถึงท่านหญิง องค์ชายอะไรนั่น เซวียเสี่ยวหรั่นไหนเลยจะมีอารมณ์นั่งกินข้าวกับพวกเขา
แต่ขนาดผูหยางชิงหลันยังถูกกดดันให้นั่งร่วมโต๊ะ แล้วเธอจะหลบเลี่ยงได้อย่างไร
ชั่วขณะนั้น เซวียเสี่ยวหรั่นมองไปที่ผูหยางชิงหลันซึ่งตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันอย่างเห็นอกเห็นใจ
สถานะจวิ้นจู่วางอยู่ตรงนั้น ความเอิกเกริกย่อมมีมาก ยามกินข้าว มีสาวใช้กับหมัวมัวยืนเรียงกันเป็แถวอยู่ด้านหลัง บรรยากาศก็ยิ่งกดดัน เหลียนเซวียนรู้ว่าพวกเซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกอึดอัด จึงบอกให้พวกนางถอยออกไป
ท่านหญิงหย่งเจียนึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารหาได้กลมเกลียวสมานฉันท์อย่างที่คิด
โดยเฉพาะเซวียเสี่ยวเหล่ย เขาเป็เด็กที่กำลังจะโตเป็หนุ่ม ร่อนเร่พเนจรอยู่ในป่ามาั้แ่เล็ก ไหนเลยจะมีโอกาสได้พบเจอผู้สูงศักดิ์เช่นนี้
หากไม่ใช่ว่า่นี้สนิทสนมคลุกคลีอยู่กับพวกหงกู ทั้งความกล้าและมารยาทเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ป่านนี้ก็คงใกลัวจนเข่าอ่อน พูดไม่ออกไปแล้ว
เช่นตอนนี้นั่งอยู่บนโต๊ะกินข้าว เขาก็ก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าวเข้าปาก คีบอาหารบ้างเป็ครั้งคราว ล้วนแต่เป็อาหารสองอย่างที่อยู่ใกล้ที่สุด
เซวียเสี่ยวหรั่นยังดีกว่าหน่อย เพียงแค่รู้สึกไม่คุ้นเคยเท่านั้น
"เสี่ยวเหล่ย อย่าเอาแต่พุ้ยข้าวสิ กินเนื้อมากหน่อย ดูสิผอมจะแย่อยู่แล้ว เดิมทีท้องไส้ก็มีปัญหา ถ้าบำรุงไม่ทัน ปัญหาจะยิ่งหนักกว่าเดิม"
ส่วนผูหยางชิงหลันยังคงวางตัวตามปรกติ ทำสิ่งที่ควรทำ คีบเนื้ออกไก่ใส่ชามให้เซวียเสี่ยวเหล่ย
"ขอบคุณขอรับคุณ..." คำว่าคุณชายผูหยางยังไม่ทันเอ่ยออกจากปาก ก็ถูกผูหยางชิงหลันถลึงตาใส่ เซวียเสี่ยวเหล่ยใรีบเปลี่ยนถ้อยคำ "ญะ... ญาติผู้พี่"
ก่อนอาหารตั้งโต๊ะ ผูหยางชิงหลันมาหาเขาโดยเฉพาะ บอกเขาว่าั้แ่นี้ไปให้เปลี่ยนคำเรียกเป็ญาติผู้พี่
ตอนนั้นเซวียเสี่ยวเหล่ยยังลังเล แต่เพราะเซวียเสี่ยวหรั่นเกลี้ยกล่อมสองสามประโยค ถึงฝืนใจรับปาก
แต่เวลาเพียงครู่เดียว เขาย่อมจะยังไม่ชิน
ท่านหญิงหย่งเจียมองพลางขบคิด
"แฮ่ม เอ่อ... ญาติผู้พี่ ปัญหาท้องไส้ของเสี่ยวเหล่ยหนักหนาหรือไม่ ต้องจัดยามารักษาหรือเปล่า"
อย่าว่าแต่เซวียเสี่ยวเหล่ย เซวียเสี่ยวหรั่นเองก็ไม่ชินเช่นอย่างมาก ที่จู่ๆ ก็มีญาติผู้พี่มาเพิ่มอีกคน
เมื่อก่อนเซวียเสี่ยวหรั่นเคยบอกว่า สาเหตุที่เซวียเสี่ยวเหล่ยผ่ายผอมเพราะกระเพาะลำไส้มีปัญหา เนื่องจากเดินทางอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเซวียเสี่ยวหรั่นจึงคิดว่ารอให้พวกนางไปถึงก่อนค่อยหาหมอมารักษา
เมื่อผูหยางชิงหลันเป็ฝ่ายเอ่ยปาก ก็ถามข้อกังขานี้ได้พอดี
"ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่มิอาจละเลย ปัญหาเล็กน้อยก็อาจบ่มเพาะให้เกิดโรคอื่นขึ้นมาได้ ร่างกายของเขาเย็นและชื้น ม้าม กระเพาะอ่อนแอ กินเยอะแค่ไหนก็ยากที่จะอ้วนขึ้น ต้องรักษาและบำรุงให้ดี"
ผูหยางชิงหลันสังเกตสีหน้าของเซวียเสี่ยวเหล่ยอย่างพินิจ
เซวียเสี่ยวหรั่นรีบพยักหน้า นึกถึงเมื่อก่อนเด็กคนนั้นใช้ชีวิตในถ้ำอากาศชื้นมาตลอดหลายปี ความชื้นในร่างกายจะไม่สูงได้หรือ
"เช่นนั้นรบกวนญาติผู้พี่ช่วยออกเทียบยา รอถึงที่หมายแล้ว ข้าจะไปจัดยามาให้เขา"
"ไม่รีบ ถึงที่เมื่อไร ข้าจะจัดยาให้เขาเอง" ผูหยางชิงหลันยิ้มพราย ใบหล่อเหลาแฝงแววยิ้มย่อง เหลือบมองดวงหน้าสงบนิ่งของเหลียนเซวียน
เ้าเด็กโสโครก บังอาจขุดหลุมพรางดักเขา
ไม่นึกบ้างว่าต่อไปนี้ตนเองก็คือญาติผู้พี่ของสองพี่น้องเซวียเสี่ยวหรั่น ญาติผู้พี่ดูแลญาติผู้น้องย่อมสมด้วยเหตุผล
หึ เ้าเด็กโสโครก ถ้าอยากจะเข้ามาก็ต้องดูก่อนว่าเขาพอใจหรือเปล่า ฮ่าๆ
...
[1] เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ มักใช้เรียกคู่รักที่เติบโตมาด้วยกัน
