“ข้าไม่รู้ว่าควรกลั่นธาตุพลังแบบใดออกมาจึงจะเหมาะสม แต่ไม่ใช่บอกว่าพลังกังชี่ธาตุพิเศษแข็งแกร่งที่สุดหรอกหรือ ข้าอยากจะหลอมรวมพลังกังชี่ธาตุพิเศษออกมา”
พลังกังชี่นั้นจะมีการแบ่งระดับชั้น โดยความแข็งแกร่งของพลังกังชี่ นอกจากจะขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ปัจจัยสำคัญอื่นล้วนขึ้นอยู่กับทักษะวิชาที่ฝึกฝน เช่น ทักษะพลังภายในระดับธาตุทอง แน่นอนว่าทักษะวิชาระดับนี้แทบจะไม่สามารถกลั่นพลังกังชี่ที่มีคุณภาพสูงออกมาได้เลย และมีความน่าจะเป็ที่จะทำได้น้อยมาก
ความแข็งแกร่งของพลังกังชี่จะเป็ตัวกำหนดความแข็งแกร่งของธาตุพลังกังหยวน ยิ่งได้ฝึกฝนทักษะวิชาคุณภาพดีเท่าไร ผู้ฝึกยุทธ์ก็จะยิ่งกระหายอยากที่จะเรียนรู้มากขึ้นเท่านั้น
“เ้าคิดว่าตัวเองจะสามารถกลั่นธาตุพลังออกมาได้ตามที่ใจเ้า้าอย่างนั้นรึ ก่อนที่เ้าจะกลั่นธาตุพลังออกมา เ้าต้องพิจารณาก่อนว่าคุณสมบัติของร่างกายของเ้านั้นเอนเอียงไปทางธาตุพลังใด หรือธาตุพลังใดที่มีความเหมาะสมและเป็ประโยชน์ต่อตัวเ้ามากที่สุด
“การหลอมรวมพลังกังชี่ธาตุพิเศษนั้นเป็เื่ที่อันตรายมาก แม้ว่ามันจะเป็ธาตุพลังที่แข็งแกร่งและทรงพลังที่สุด แต่หากว่าเกิดข้อผิดพลาดในการหลอมรวมขึ้นมา ย่อมจะถูกพลังสะท้อนกลับ อย่างน้อยก็คงาเ็สาหัส อย่างมากก็อาจจะถึงตายได้ ดังนั้นในขั้นตอนนี้เ้าจะต้องไตร่ตรองเกี่ยวกับมันให้รอบคอบ"
ซีเยว่กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก
เมื่อได้ยินดังนั้นมู่เฟิงก็เงียบไปสักพัก ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ถึงอย่างไรข้าก็ยัง้าจะหลอมรวมพลังกังชี่ธาตุพิเศษอยู่ดี”
“ขั้นตอนนี้เ้าไม่จำเป็ต้องรีบ เ้าสามารถเริ่มกลั่นพลังกังชี่ธาตุโลหิตภายในร่างของเ้าก่อนได้ ถึงอย่างไรเ้าก็มีข้อได้เปรียบกว่าคนทั่วไป เ้าเป็สายเืผสม มีทั้งสายเืของเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ชูร่า สามารถแปลงกายเป็ได้ทั้งมนุษย์และชูร่า มนุษย์ทั่วไปมีพลังกังชี่ได้เพียงชนิดเดียวเท่านั้น แต่สำหรับเ้า สามารถหลอมรวมกันได้ถึงสองชนิด พลังกังชี่ธาตุโลหิตจะเหมาะกับร่างชูร่าของเ้ามากที่สุด รอหลังจากกลั่นพลังกังชี่ธาตุโลหิตออกมาได้สำเร็จ เ้าค่อยมองหาธาตุพลังที่เหมาะสมกับเ้าก็ยังไม่สาย
“แม้พลังกังชี่ธาตุพิเศษจะแข็งแกร่งแต่ก็ยังมีจุดด้อยเช่นกัน แน่นอนว่าหากเทียบในระดับเดียวกันแล้ว มันย่อมแข็งแกร่งกว่าพลังกังชี่ห้าธาตุพื้นฐาน* หากแต่พลังกังชี่ธาตุพิเศษที่มีคุณสมบัติที่ดีนั้นหาได้ยากยิ่ง การจะค้นหามันไม่ใช่เื่ง่ายเลย”
(*ธาตุทอง ธาตุไม้ ธาตุน้ำ ธาตุไฟและธาตุดิน )
ซีเยว่กล่าวชี้ทางให้กับมู่เฟิง
หลังจากได้ฟังดังนั้นมู่เฟิงก็พยักหน้า แน่นอนว่าภายในใจของเขามีทิศทางของตัวเองอยู่แล้ว
จากคำกล่าวของซีเยว่ อันดับแรกคือเขาต้องทำการกลั่นพลังกังชี่ธาตุโลหิตออกมาก่อน จากนั้นก็ค่อยค้นหาธาตุพลังพิเศษที่เหมาะสมกับตัวเอง
ในคืนนั้นไม่มีใครกล่าวอะไรออกมาอีก จวบจนถึงเช้าวันถัดมา มู่เฟิงมุ่งหน้าออกจากป่าบนเทือกเขาเทียนอวิ่นและเดินทางกลับมาที่สำนักศึกษาเทียนอวิ่น
หลังจากกลับมายังสำนักศึกษาแล้ว มู่เฟิงก็ใช้เวลาร่วมกับว่านเอ๋อร์เป็ครั้งคราว แต่เวลาส่วนใหญ่ของเขายังคงหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝน เพราะยังมีสิ่งที่ต้องฝึกฝนและเรียนรู้อีกมาก
ด้านการสลักลายเส้น เด็กหนุ่มยังต้องฝึกฝนทั้งลายเส้นค่ายกล ลายเส้นเครื่องราง ลายเส้นอาวุธ ลายเส้นโอสถ รวมไปถึงลายเส้นการต่อสู้โบราณ ในขณะที่ด้านทักษะร่างกายเขายังคงเน้นไปที่การฝึกก้าวปทุมเพลิง ส่วนทางด้านทักษะพลังปราณยังไม่ได้มีการฝึกอะไรเป็พิเศษ เนื่องจากเขาได้ฝึกวิชาะเิหมัดเก้าเพลิงสุริยาจนถึงขีดจำกัดสูงสุดในตอนนี้แล้ว ส่วนดรรชนีทองคำตัดสะบั้นและเคล็ดดาบพยัคฆ์หาญ เขาก็ฝึกจนบรรลุระดับสมบูรณ์หมดแล้ว
ส่วนทักษะวิชาหอกทวน ในอดีตตอนที่อยู่ร่วมกับกองทัพ เขาก็ล้วนใช้ทักษะนี้ในการสังหารศัตรู ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็ที่ต้องฝึกฝนเป็พิเศษอีก
นอกจากนี้ยังมีอัสนีบาตย่ำแปดทิศอีกวิชาหนึ่ง
การฝึกอัสนีบาตย่ำแปดทิศนั้นเป็สิ่งที่ทรมานมาก เขาจำเป็ต้องรวบรวมพลังฟ้าดินธาตุสายฟ้าและแปรสภาพมันให้กลายเป็พลังสายฟ้า ทั้งยังต้องอดทนกับอัสนีบาตที่ฟาดลงมายังร่างกาย ซึ่งในทุกๆ วันมู่เฟิงจะทำการฝึกเป็เวลาหนึ่งชั่วยาม
หลังจากฝึกฝนมานาน ในที่สุดเขาก็สามารถบรรลุอัสนีบาตย่ำแปดทิศจนถึงระดับสัมฤทธิ์ขั้นต้นได้สำเร็จ ทำให้เด็กหนุ่มสามารถะเิพลังได้มากกว่ายามปกติถึงสี่เท่า และด้วยระดับวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ หากเขาะเิพลังออกมาสี่เท่า ความแข็งแกร่งของเขาก็คงเทียบได้กับผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนิงกังขั้นหนึ่ง
นอกจากนี้ การที่มู่เฟิงต้องอดทนกับอัสนีบาตที่ฟาดลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างกายของเขาเริ่มแข็งแกร่งขึ้นทีละน้อยแล้ว
แม้ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาจะเทียบกับมู่ขวงในยามปกติไม่ได้ แต่ก็ถือว่าแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปมาก ซึ่งนี่ก็นับว่าเป็ข้อดีของการถูกอัสนีบาตฟาด
ด้านมู่ขวงได้เข้าไปในป่าบนเทือกเขาเทียนอวิ่นเพื่อทำการฝึกฝนเช่นกัน เขาออกไล่ล่าอสูรร้ายมาดูดซับพลังเืและแผดเผาร่างกายเพื่อฝึกกายา นอกจากนี้เขายังทำการฝึกฝนทักษะพลังปราณไปด้วย
ส่วนไป๋จื่อเยว่ก็ออกฝึกฝนร่วมกับมู่ขวง เขาล่าอสูรร้ายและคอยดูดซับผลึกอสูรของพวกมันเพื่อเพิ่มระดับวรยุทธ์ ทำให้วรยุทธ์ของเขาพัฒนาไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าใคร
ครึ่งเดือนต่อมา
บริเวณลานหน้าเรือนพัก มู่เฟิงกำลังถือหอกจื่อเหลยไว้ในมือ หอกของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด เขาลอยตัวยืนอยู่กลางอากาศ ขณะก้าวเท้าออกไปสามก้าวอย่างต่อเนื่อง จากนั้นร่างของเขาก็ร่อนลงมาจากความสูงหลายสิบเมตร
ก้าวปทุมเพลิงในระดับสัมฤทธิ์สามารถช่วยให้ยืนกลางอากาศได้มากสุดเพียงสามก้าวเท่านั้น ส่วนก้าวปทุมเพลิงในระดับสมบูรณ์ ทุกอย่างก้าวจะก่อให้เกิดดอกปทุมขึ้นใต้ฝ่าเท้า และทำให้สามารถก้าวเดินกลางอากาศได้อย่างต่อเนื่อง
ปัง!
ทันใดนั้นประตูลานของเรือนพักก็ถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน มีเงาร่างของคนผู้หนึ่งกำลังถือไหสุราพร้อมกับห่อเนื้อเดินเข้ามา
มู่เฟิงแทงหอกในมือออกไป คมหอกจ่อเข้าที่ลำคอของผู้มาใหม่ ใบหน้าของอีกฝ่ายซีดเผือดด้วยความใ จนต้องก้าวถอยออกไปสองก้าว
“มะ มู่เฟิง”
มู่ชิงเอ่ยเรียกเด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้ม
“พี่มู่ชิง”
มู่เฟิงเพียงยิ้มตอบกลับไปเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ จากนั้นเขาก็เก็บหอกในมือลงและเดินไปหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อ ก่อนจะหันไปถามอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มว่า “พี่มู่ชิงมาหาข้าด้วยเื่อันใดอย่างนั้นหรือ?”
ปกติแล้วมู่ชิงไม่เคยมาหาเขามาก่อน
“ไม่มีอะไร ข้าเพียงแค่มาดูเ้าเสียหน่อยเท่านั้น”
มู่ชิงนำสุราและเนื้อวัวที่ถือมาวางลงบนโต๊ะด้านข้าง จากนั้นเขาก็กล่าวกับมู่เฟิงด้วยรอยยิ้มว่า “มู่เฟิง ในอดีตเป็ข้าที่ทำไม่ถูก ข้าทำไม่ดีต่อเ้า หวังว่าเื่ที่แล้วมาเ้าจะไม่ถือสาเอาความ”
มู่เฟิงเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มจางๆ พร้อมกล่าวตอบว่า “เื่ราวพวกนั้น ข้าเกือบจะหลงลืมมันไปแล้ว พี่มู่ชิงอย่าได้เก็บมาใส่ใจ”
“อืม เ้าช่างใจกว้างยิ่งนัก เฮ้อ เื่ในอดีตล้วนเป็ข้าที่ทำไม่ถูก เวลานี้ตระกูลมู่ของเรายิ่งตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตด้วย พวกเราศิษย์ตระกูลมู่ควรรวมตัวกัน และหลอมรวมใจให้เป็หนึ่งเดียว”
มู่ชิงนำจอกสุราออกมาวางลงบนโต๊ะ ก่อนจะรินสุราลงไปสองจอก
“พี่มู่ชิงสามารถเข้าใจถึงข้อเท็จจริงนี้ได้ มู่เฟิงรู้สึกยินดียิ่งนัก เมื่อต้องเผชิญกับวิกฤต หากพวกเรายังไม่สามัคคีกัน ก็ยิ่งจะถูกผู้อื่นรังแก ท่านว่าจริงหรือไม่”
“ถูกต้องแล้ว มาเถิด ดื่มสุราจอกนี้ เื่ที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไปเถิด”
มู่ชิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เขายกจอกสุราขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ชน”
มู่เฟิงยกจอกสุราขึ้นมา จากนั้นคนทั้งสองก็ยกสุราขึ้นดื่มร่วมกัน
“จริงสิ น้องพี่ ทักษะวิชาที่เ้าเพิ่งแสดงออกมาเมื่อครู่ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่าเ้าจะสามารถยืนกลางอากาศได้!”
มู่ชิงเอ่ยถามเพื่อเปลี่ยนสนทนา
“นั่นเรียกว่าก้าวปทุมเพลิง เป็ทักษะร่างกายระดับนิลกาฬของสำนักศึกษา”
มู่เฟิงกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะกินเนื้อลงไปชิ้นหนึ่ง
“ทักษะร่างกายระดับนิลกาฬ ข้ายังไม่เคยพบเห็นมาก่อน เ้าสามารถแสดงให้ข้าดูเป็การเปิดหูเปิดตาได้หรือไม่”
หลังจากได้ยินดังนั้น มู่ชิงก็แสดงท่าทีสนใจทันที
“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา ท่านก็จงดูเอาเถิด”
มู่เฟิงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จากนั้นเขาก็เริ่มโคจรพลังไปใต้ฝ่าเท้า เปลวเพลิงสีแดงเข้มพลันปะทุออกมา ก่อนที่ร่างของมู่เฟิงจะะโขึ้นไปกลางอากาศที่มีความสูงมากกว่าสิบเมตร เขาก็เหยียบยืนอยู่กลางอากาศ และหมุนร่างกายเพื่อเปลี่ยนทิศทาง
ในระหว่างนั้น มู่ชิงก็นำขวดหยกออกมาจากใต้แขนเสื้อ เขาพลิกข้อมือเล็กน้อยเทของเหลวในขวดหยกลงไปในจอกสุราของมู่เฟิงหลายหยด
หลังจากมู่เฟิงเหยียบยืนกลางอากาศถึงสามก้าวแล้วเขาก็หมุนตัวกลับมา
มู่ชิงรีบเก็บขวดหยก ก่อนจะปรบมือและกล่าวชมเด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้มว่า “เป็ทักษะร่างกายที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก สามารถช่วยพยุงร่างให้อยู่กลางอากาศได้ นับว่าข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”
“หึๆ นี่ยังไม่ใช่ขีดจำกัดสูงสุดของมันนะ หากฝึกจนบรรลุระดับสมบูรณ์ได้สำเร็จ ย่อมจะสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งเลยทีเดียว”
มู่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ในขณะมู่ชิงมีสีหน้าประหลาดใจ
“ทักษะวิชาระดับนิลกาฬช่างน่าอัศจรรย์เสียจริง”
แม้ว่าใบหน้าของมู่ชิงจะยิ้ม แต่ภายในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความริษยา
มู่ชิงยกไหสุราขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะเทลงจอกสุราของมู่เฟิงและของตัวเขาเอง
“มาเถอะ ขอให้น้องข้าฝึกฝนทักษะวิชานี้จนบรรลุระดับสมบูรณ์ได้สำเร็จในเร็ววัน เพื่อเป็หน้าเป็ตาให้กับตระกูลมู่ของเรา”
หลังจากได้ยินดังนั้น มู่เฟิงก็ยกจอกสุราขึ้นมา...