“อ๋าวหรานมาแล้วหรือ? มามามา มานั่งนี่สิ”
อ๋าวหรานเพิ่งเข้ามา ก็ได้ยินเสียงหนุ่มน้อยที่นั่งอยู่ด้านหลังะโเรียกเขา เด็กหนุ่มยิ้มแล้วเดินไปทางด้านหลัง หนุ่มน้อยที่ทักทายอ๋าวหรานมีนามว่า ‘จิ่งจื่อ’ อายุพอๆ กับอ๋าวหราน เพิ่งจะเต็มสิบเจ็ดปีดี ถือเป็หนุ่มน้อยอัจฉริยะแห่งตระกูลจิ่งคนหนึ่ง ความสามารถในการเรียนรู้และความเข้าใจในวิชาแพทย์และวรยุทธ์สูงมาก มีความคล้ายกับจิ่งฝานในตอนนั้นมาก ที่ต่างจากจิ่งฝานก็คือ คนผู้นี้ไม่มีความอ่อนน้อมและความอ่อนโยนเลยแม้แต่นิดเดียวคิดว่าตัวเองเก่งที่สุด เป็อันธพาลน้อยผู้โอหัง
หนุ่มน้อยผู้นี้เป็ลูกหลานสายรองของตระกูลจิ่ง ในนิยายต้นฉบับก็แค่ออกมาร่วมในฉากตอนที่ตระกูลจิ่งกำลังจะถูกฆ่าล้างตระกูลเท่านั้น แต่ก็ถูกบรรยายไว้ว่าเป็คนดีที่ได้การยอบรับเป็อย่างยิ่ง ช่วยเหลือคนตระกูลจิ่งไว้หลายคน แต่ก็ประคองเอาไว้ได้แค่่หนึ่งเท่านั้น เพราะอย่างนั้นตอนที่อ๋าวหรานได้เจอเขาและรู้ชื่อเขานั้นก็ใเป็อย่างมาก หนุ่มน้อยผู้มีรอยยิ้มแลดูโอหังดื้อรั้นผู้นี้ในหนังสือกลับเขียนให้ปรากฏออกมาแค่สองสามบท ทำให้คนรู้สึกเสียดายจริงๆ
อ๋าวหรานบางครั้งยังคิดอยู่ว่า ตนเองลังเลไม่เด็ดขาด ใจอ่อนเหมือนผู้หญิงเกินไปหรือเปล่า? ั้แ่ที่เข้ามาในหนังสือนิยายเื่นี้ ทุกครั้งที่เจอใครสักคนหนึ่ง พอนึกถึงจุดจบสุดท้ายของพวกเขา ก็มักจะอดไม่ได้ที่จะปวดใจและอาลัยอาวรณ์เสมอ
ทว่าครั้งแรกที่เจอกับจิ่งจื่อกลับไม่น่าพิสมัยเท่าไรนัก หนุ่มน้อยคนนี้เป็คนหยิ่งและเข้มแข็ง ตอนที่ตระกูลจิ่งกำลังจะพินาศ เขาเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องตระกูลจิ่ง แม้ใน่สุดท้าย ก็ยังต่อสู้อย่างเข้มแข็ง ตอนนั้นเรียกได้ว่าาเ็ยิ่งกว่าตอนที่อ๋าวหรานมาถึงยังโลกใบนี้ไม่รู้ตั้งเท่าไร ถ้าเป็คนปกติคงจะขยับไม่ได้ไปแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ ความดื้อดึงและความแข็งแกร่งระดับนั้นทำให้คนใจริงๆ สรุปก็คือเนื้อหาในตอนนั้นบรรยายออกมาเป็ทำนองที่ทั้งโศกเศร้าและฮึกเหิมเลยก็ว่าได้ ดังนั้นอ๋าวหรานจึงรู้สึกประทับใจในตัวเขาเป็อย่างยิ่ง
หนุ่มน้อยผู้ที่ต่อให้ต้องตายก็ไม่ยอมถอยเช่นนี้ ย่อมต้องดูถูกอ๋าวหรานที่ละทิ้งคนในตระกูลแล้วหนีเอาตัวรอดมาคนเดียวเป็อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหนีออกมาแล้วยังมาหลบใช้ชีวิตไปวันๆ อยู่ในตระกูลจิ่ง ไม่ทำอะไรสักอย่าง เป็การกระทำที่เขาไม่อาจเข้าใจได้เสียจริง
ดังนั้นตอนที่จิ่งเซียงแนะนำจิ่งจื่อให้กับอ๋าวหรานนั้น จิ่งจื่อมองอ๋าวหรานอย่างดูถูก เขาเบะปากพูดว่า “คนขี้ขลาด!” หลังจากนั้นก็โดนจิ่งเซียงตีหัวอย่างแรงไปหนึ่งที จนต้องยกมือกุมส่วนที่โดนตีด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว
อ๋าวหรานอดไม่ไหวยิ้มออกมา คนคนนี้เป็หนุ่มน้อยโรคมอสอง [1] จริงๆ ด้วย! หนุ่มน้อยที่คิดไปเองว่าเหน็บแนมอ๋าวหรานสำเร็จแล้วตอนนี้กลับถูกอ๋าวหรานหัวเราะเยาะเข้าให้ (จิ่งจื่อคิดไปเอง) ทำให้จิ่งจื่อโกรธเป็อย่างมาก
แต่ตอนนี้สองคนนี้กลับมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน จิ่งจื่อยังทักทายอ๋าวหรานก่อน อีกทั้งยังนับอ๋าวหรานเป็สหายคนหนึ่ง ระหว่างทางที่ทำให้มาถึงจุดนี้ได้นั้น พูดแล้วเื่มันยาว อ๋าวหรานั้แ่ที่รักษาาแหายแล้วนั้นก็มีชีวิตที่ดีขึ้นเป็อย่างยิ่ง ถึงจะบอกว่าบางครั้งก็ได้ช่วยงานจิ่งฝานบ้างนิดหน่อย แต่เวลาส่วนใหญ่ก็ยังรู้สึกว่าไม่มีอะไรทำอยู่ดี ว่างงานเป็อย่างมาก
จิ่งเซียงก็เลยสนับสนุนให้อ๋าวหรานไปเรียนวิชาแพทย์กับนาง สำหรับเื่นี้อ๋าวหรานแสดงออกอย่างชัดเจนว่าสนใจเป็อย่างยิ่ง เขาคิดมาตลอดว่าคนที่มีความรู้เื่วิชาแพทย์ สามารถช่วยคนจากความตายรักษาอาการาเ็ได้ ต้องเป็คนที่เก่งกาจอย่างมาก เพราะสามารถช่วยบรรเทาความเ็ปให้กับคนอื่น สามารถช่วยพาชีวิตหนึ่งที่เกือบจะไปยังดินแดนแห่งความตายแล้วให้กลับมาได้นั้นคงให้ความรู้สึกที่มหัศจรรย์ และเป็ดั่งผู้ศักดิ์สิทธิ์เลยก็ว่าได้
การเรียนวิชาแพทย์ของตระกูลจิ่งเองนั้นก็มีขอบเขตและระบบระเบียบมากมาย
ตระกูลจิ่งได้สร้างโรงเรียนที่ใช้ในการเรียนการสอนโดยเฉพาะขึ้นมา เนื้อหาที่เรียนก็มีมากมาย ทั้งดีดพิณกู่ฉิน หมากล้อม เขียนพู่กันจีน วาดภาพจีน เภสัชวิทยา การรักษาโรคต่างๆ วรยุทธ์ กำลังภายใน มารยาท และกฎเกณฑ์ต่างๆ การจัดการและการค้า เรียกได้ว่ามีครบหมดทุกอย่าง โดยเฉพาะ่อายุั้แ่สี่ปีถึงสิบสี่ปีนั้น จะต้องเรียนทุกอย่างตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ตระกูลจิ่งเชื่อว่า ่อายุนี้เป็่อายุที่ลักษณะนิสัย และพื้นฐานด้านจิตใจของคนกำลังก่อตัวเป็รูปเป็ร่าง สภาพแวดล้อมที่ดีถึงจะสามารถสร้างความประพฤติที่ดีรวมถึงสติปัญญาความรู้ที่พรั่งพร้อมแก่พวกเขาได้ ดังนั้นลูกหลานตระกูลจิ่งใน่วัยนี้จะต้องศึกษาความรู้เหล่านี้ทั้งหมด ถึงแม้จะไม่สามรถทำได้ถึงขนาดเข้าใจลึกซึ้งไปหมดทุกอย่าง แต่อย่างน้อยก็ต้องรู้ให้ได้ทุกอย่าง อีกทั้งกฎตอนเข้าเรียนของตระกูลจิ่งก็เคร่งครัดเป็อย่างมาก เข้าเรียนห้ามมาสาย ห้ามหลับในเวลาเรียน เวลาเรียนต้องตั้งใจ ห้ามเกียจคร้านผลักความรับผิดชอบให้ผู้อื่น อย่าทำตัวฉลาดแกมโกง ถ้าถูกจับได้ โทษสถานเบาคือคัดหนังสือ โทษสถานหนักคือถูกโบย ต้องไปคุกเข่าที่ศาลบรรพชน พวกเขาคิดว่าเด็กก็เหมือนกับต้นไม้ ต้องสอนสั่งให้ดี ต้องรู้จักปรับแก้ให้ดี เช่นนี้จึงจะสามารถเติบโตได้ดีได้แข็งแรง ไม่บิดเบี้ยว ถือว่าค่อนข้างมีแิการเลี้ยงดูแบบในยุคปัจจุบันอยู่มากทีเดียว
แน่นอนว่าเมื่อเลยอายุสิบสี่ไปแล้ว หลายๆ วิชาก็ไม่ต้องเรียนแล้ว ผู้เรียนสามารถเลือกตามความสนใจหรืออยากจะพัฒนาพร์ของตัวไปเองไปเลือกเรียนตามที่้าได้ อีกทั้งเวลาเรียนก็ค่อนข้างอิสระ นี่เองเป็เหตุผลที่จิ่งเซียงมักจะไม่ไปเรียนเพื่อออกมาเที่ยวเล่นกับอ๋าวหรานบ่อยๆ
เชิงอรรถ
[1] โรคมอสอง(中二病)หมายถึงคนที่มีพฤติกรรมเหมือนกับเด็ก คิดว่าตัวเองมีพลังพิเศษไม่เหมือนกับคนอื่น คิดว่าตัวเองเป็คนสุดเจ๋ง