โจเซฟสูดหายใจลึก ก่อนจะเริ่มอธิบาย "หน่วยงานที่เราทำงานอยู่มีชื่อเต็มๆ ว่า กรมปราบปรามและป้องกันภัยเหนือธรรมชาติ" เขาหยุดชั่วครู่ ให้ชาร์ลส์ซึมซับข้อมูล "แต่พวกเราเรียกสั้น ๆ ว่าหน่วยพิเศษ"
ชาร์ลส์พยักหน้าช้าๆ ดวงตาฉายแววสนใจใคร่รู้ "แล้วหน่วยงานนี้ทำอะไรบ้างล่ะ?"
"เราแบ่งออกเป็สามหน่วยหลัก ทำงานเป็ความลับปกปิดจากคนธรรมดา"
"หน่วยแรกคือหน่วยปราบปราม ทำหน้าที่จัดการกับภัยอันตรายที่เกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเองหรือมีคนทำให้เกิด"
ชาร์ลส์ขมวดคิ้วเล็กน้อย พยายามจินตนาการถึงภัยอันตรายที่ว่า แต่ก็ยังไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด
"หน่วยที่สอง" โจเซฟพูดต่อ "คือหน่วยวิทยาการ มีหน้าที่จัดเก็บ ศึกษา และเฝ้าระวังอุปกรณ์วิเศษและวัตถุอาถรรพ์ รวมถึงประดิษฐ์และซ่อมแซมอุปกรณ์ที่เราใช้กัน เช่น นาฬิกาและผ้าเช็ดหน้าที่นายได้รับมาก่อนหน้านี้"
"อุปกรณ์วิเศษ? วัตถุอาถรรพ์?" ชาร์ลส์ถามอย่างสงสัย "มันคืออะไร?"
โจเซฟยิ้มบางๆ "เดี๋ยวฉันจะอธิบายให้ฟังในส่วนต่อไป" เขาตอบก่อนจะพูดต่อ "ส่วนหน่วยที่สาม ซึ่งเป็หน่วยที่พวกเราทำงานอยู่ คือหน่วยสืบสวน นำโดยคุณอาเอ็ดเวิร์ด เราทำหน้าที่สืบสวนและหาสาเหตุของเหตุการณ์ลึกลับ คล้ายกับทหารพิทักษ์เมือง แต่เราจัดการเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับเื่เหนือธรรมชาติเท่านั้น"
ชาร์ลส์ฟังอย่างตั้งใจ พยายามจดจำทุกรายละเอียด แม้บางอย่างจะยังไม่เข้าใจทั้งหมดก็ตาม
"แล้วทำไมต้องปกปิดเื่พวกนี้จากคนทั่วไปด้วยล่ะ?" ชาร์ลส์ถามด้วยความสงสัย "ไม่ควรให้พวกเขารู้เพื่อจะได้ระวังตัวหรอกเหรอ?"
โจเซฟถอนหายใจเบาๆ สีหน้าเคร่งขรึมลง "นั่นเป็คำถามที่ดี แต่คำตอบนั้นซับซ้อน บางส่วนฉันจะอธิบายให้ฟัง แต่บางอย่าง... นายต้องเจอและเข้าใจด้วยตัวเองในระหว่างการทำงาน"
ชาร์ลส์พยักหน้ารับ แม้จะยังรู้สึกกังขาอยู่บ้าง
"ทีนี้ เรามาเริ่มเื่สำคัญกันดีกว่า" โจเซฟกล่าว น้ำเสียงจริงจังขึ้น "นั่นคือเื่ของเวทมนตร์"
คำว่า "เวทมนตร์" ทำให้ชาร์ลส์รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขานั่งตัวตรง สายตาจับจ้องที่โจเซฟอย่างใจจดใจจ่อ
"เวทมนตร์เป็ศาสตร์ลึกลับจากยุคโบราณ" โจเซฟเริ่มอธิบาย "การจะใช้เวทมนตร์ได้ ต้องมีสองสิ่ง หนึ่งคือขั้นตอนที่ถูกต้อง สองคือผู้ใช้ต้องมีร่างกายพิเศษที่สามารถแปลงพลังงานชีวิตให้เป็ปรากฏการณ์ภายนอกได้"
โจเซฟหยุดพูดชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยคำแปลกๆ ออกมา "นูร์ คัลลา!"
ทันใดนั้น เสียงที่ดังออกมาจากปากของโจเซฟก็เปลี่ยนไป ราวกับมีเสียงหลายเสียงพูดพร้อมกัน ทั้งชายและหญิง ชาร์ลส์รู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว ไม่เคยได้ยินเสียงแบบนี้มาก่อน
แล้วจู่ๆ เปลวไฟขนาดเท่าแขนมนุษย์ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าโจเซฟ มันลุกโชนอยู่ชั่วครู่ก่อนจะมอดดับไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงความร้อนที่ยังคงอบอวลอยู่ในอากาศ
ชาร์ลส์อ้าปากค้าง ตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง "เมื่อวานตอนที่นายใช้พลังกับฉัน... นั่นคือเวทมนตร์จริงๆ สินะ?" เขาถามเสียงสั่น แม้เมื่อวารเขาจะได้ัักับพลังของโจเซฟมาแล้ว แต่ที่เห็นครั้งนี้กับเห็นชัดมากกว่า ชัดเจนมากกว่า
โจเซฟส่ายหน้า "ไม่ใช่ สิ่งที่ฉันใช้เมื่อวานเป็พลังของผู้ยกระดับตัวตน ซึ่งต่างจากเวทมนตร์"
"ผู้ยกระดับตัวตน?" ชาร์ลส์ทวนคำ ความสงสัยฉายชัดบนใบหน้า "มันต่างจากผู้ใช้เวทมนตร์ยังไง?"
"นั่นเป็เื่ที่ซับซ้อน" โจเซฟตอบ "เดี๋ยวฉันจะอธิบายให้ฟังในภายหลัง ตอนนี้ ลองมาดูก่อนว่านายจะใช้เวทมนตร์ได้หรือเปล่า"
โจเซฟสอนให้ชาร์ลส์ลองพูดคาถาที่เขาเพิ่งใช้ออกมา ชาร์ลส์พยายามหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"น้ำเสียงของนายยังไม่ถูกต้อง และตั้งสมาธิให้มากกว่านี้อีก" โจเซฟแนะนำ "ลองใหม่อีกที"
ชาร์ลส์พยายามอีกครั้งเขาตั้งสมาธิใจจดใจจ่อ คราวนี้เขารู้สึกถึงบางอย่างภายในตัว ราวกับมีกระแสพลังบางอย่างไหลเวียนอยู่ในร่างกาย
"นูร์ คัลลา!" ชาร์ลส์เปล่งคาถาออกมา
ทันใดนั้น เปลวไฟขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา มันลุกโชนอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนจะดับวูบไป แต่ความร้อนที่แผ่ซ่านมาถึงฝ่ามือทำให้ชาร์ลส์แน่ใจว่าเขาไม่ได้ตาฝาด
"เยี่ยมมาก" โจเซฟอุทาน "นายทำได้แล้ว นี่แสดงว่านายมีร่างกายที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้"
ชาร์ลส์มองมือตัวเองด้วยความตื่นเต้นปนประหลาดใจ ความรู้สึกหลากหลายท่วมท้นในอก ทั้งความภาคภูมิใจ ความตื่นเต้น
"แต่จำไว้นะ" โจเซฟเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง "การใช้เวทมนตร์มีอันตราย ถ้าใช้มากเกินไปอาจเกิดอาการที่เราเรียกว่า 'มะเร็งเวทย์' ได้"
โจเซฟอธิบายต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง "มะเร็งเวทย์เริ่มจากอาการชาที่ิั ถ้าเป็แค่นี้ ให้หยุดใช้เวทมนตร์ทันทีแล้วพักฟื้น แต่ถ้ายังขืนใช้ต่อ ิัจะเปลี่ยนเป็สีขาวซีดเหมือนเถ้าถ่าน แล้วเริ่มแตกร้าว จนสุดท้าย... ถึงแก่ชีวิตได้"
ชาร์ลส์ฟังด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น เขากลืนน้ำลายเหนียวๆ ก่อนจะถามออกไป "แล้วทำไมถึงให้ฉันลองใช้เวทมนตร์ล่ะ ถ้ามันอันตรายขนาดนั้น?"
"ไม่ต้องกังวลไปหรอก การใช้แค่นิดหน่อยไม่เป็ไร แต่ถ้าเริ่มมีอาการขั้นแรก นั่นแหละถึงจะอันตราย เพราะแม้จะหยุดใช้ แต่โอกาสเป็มะเร็งเวทย์ก็จะสูงขึ้นในอนาคต"
ชาร์ลส์พยักหน้าช้าๆ พยายามทำความเข้าใจ แต่ยังมีคำถามอีกมากมายผุดขึ้นในหัว
"แล้วผู้ยกระดับตัวตนล่ะ? มันต่างจากผู้ใช้เวทมนตร์ยังไง?" เขาถามซ้ำอีกครั้ง
โจเซฟหยุดชั่วครู่ สีหน้าของเขาเคร่งขรึมลง ก่อนที่จะเริ่มอธิบายเื่ผู้ยกระดับตัวตนอย่างละเอียด
"ผู้ยกระดับตัวตน..." เขาเอ่ยช้าๆ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความจริงจังและความลึกลับ "พวกเขาคือบุคคลที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของมนุษย์ธรรมดา ได้รับพลังที่เหนือกว่าแม้แต่เวทมนตร์"
"ต่างจากผู้ใช้เวทมนตร์ ผู้ยกระดับตัวตนสามารถใช้พลังได้โดยไม่ต้องท่องคาถาหรือทำพิธีกรรมใดๆ พวกเขาสามารถเรียกใช้พลังได้ง่ายดายราวกับการหายใจ และพลังนั้นก็ทรงอานุภาพมากกว่าเวทมนตร์มาก"
"แล้วมันต่างจากเวทมนตร์ยังไงกันแน่?" ชาร์ลส์ถามอย่างสงสัย เนื่องจากคำตอบของโจเซฟยังไม่อาจให้ความกระจ่างแก่เขาได้
"เวทมนตร์นั้นยังต้องคำนึงถึงกฎเกณฑ์ ขั้นตอน และปัจจัย แม้จะดัดแปลงได้บ้าง แต่ก็ยังมีข้อจำกัด" โจเซฟตอบ "แต่พลังของผู้ยกระดับตัวตนนั้นสามารถละเมิดกฎธรรมชาติได้ เช่น การเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าะุโดยที่ร่างกายไม่ได้รับความเสียหาย หรือการสร้างสิ่งของขึ้นมาจากความว่างเปล่า"
ชาร์ลส์นึกภาพตามไม่ถูก
"แต่..." โจเซฟเน้นเสียง "การจะเป็ผู้ยกระดับตัวตนนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย"
บรรยากาศในห้องดูหนักอึ้งขึ้นมาทันที ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก "ราคาอะไร?"
"การละทิ้งความเป็มนุษย์" โจเซฟตอบเสียงเรียบ "เพื่อให้ได้มาซึ่งพลัง ผู้ยกระดับตัวตนต้องรับเอาพลังจากผู้ยกระดับตัวตนคนก่อนเข้าสู่ร่างกายของตน ซึ่งกระบวนการนี้เต็มไปด้วยอันตราย"
โจเซฟอธิบายต่อ "เมื่อรับพลังเข้าสู่ร่างกาย มันจะพยายามกลืนกินตัวตนของผู้รับพลัง ถ้าไม่สามารถต้านทานได้ ผลลัพธ์อาจร้ายแรงยิ่งกว่าความตาย บางคนสูญเสียสติปัญญา กลายเป็เพียงร่างไร้ิญญา บางคนกลายพันธุ์เป็สัตว์ประหลาดที่มีแต่ความ้าฆ่า หรือแม้แต่สลายหายไปโดยไม่เหลือแม้แต่ร่าง"
ชาร์ลส์คิดภาพตาม นึกสภาพเหตุการณ์ขึ้นขึ้นในหัว
"แม้จะผ่าน่รับพลังมาได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย"
"ผู้รับพลังต้องปรับตัวและดูดกลืนพลังนั้นให้เป็ของตนเองอย่างสมบูรณ์ ไม่เช่นนั้น พลังจะค่อยๆ กัดกร่อนร่างกายและจิตใจ ทำให้เป็บ้า ร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆ หรือแม้แต่ค่อยๆ สูญสลายไป"
"แล้วทำไมถึงมีคนอยากเป็ผู้ยกระดับตัวตนล่ะ ถ้ามันอันตรายขนาดนั้น?" ชาร์ลส์ถามอย่างไม่เข้าใจ
โจเซฟถอนหายใจ "เพราะพลังที่ได้มานั้นยิ่งใหญ่มาก บางคนคิดว่ามันคุ้มค่ากับความเสี่ยง บางคนถูกบังคับ และบางคน... ไม่มีทางเลือกอื่น"
"สิ่งสำคัญที่นายต้องรู้คือ ผู้ยกระดับตัวตนที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมอาจกลายเป็ภัยร้ายแรงต่อสังคมมนุษย์ พวกเขาอาจถูกกระตุ้นจากพลังให้กระหายเืเนื้อของผู้อื่น หรือแย่งชิงพลังชีวิตเพื่อบรรเทาผลข้างเคียงของพลังที่ได้รับมา"
"แล้วทางการจัดการกับเื่นี้ยังไง?" ชาร์ลส์ถาม
"มียาวิเศษที่ช่วยบรรเทาผลข้างเคียงได้ในระดับหนึ่ง" โจเซฟตอบ "แต่มันมีให้เฉพาะผู้ยกระดับตัวตนที่ขึ้นทะเบียนกับทางการเท่านั้น นั่นเป็เหตุผลหนึ่งที่เราต้องปราบปรามผู้ยกระดับตัวตนนอกกฎหมาย พวกเขาเปรียบเหมือนดินะเิที่อยู่ใกล้ไฟ"
ชาร์ลส์นั่งนิ่ง พยายามประมวลข้อมูลทั้งหมด เขารู้สึกทั้งหวาดกลัวและสงสารผู้ยกระดับตัวตนในเวลาเดียวกัน
"มีอะไรอีกไหมที่นายอยากรู้เกี่ยวกับผู้ยกระดับตัวตน?" โจเซฟถาม
ชาร์ลส์คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถาม "แล้วถ้าผู้ยกระดับตัวตนตายล่ะ? เกิดอะไรขึ้นกับพลังของพวกเขา?"
โจเซฟหยุดชั่วครู่ ก่อนที่จะเริ่มอธิบายเื่การตายของผู้ยกระดับตัวตนอย่างละเอียด
"การตายของผู้ยกระดับตัวตนนั้น... ไม่เหมือนกับการตายของคนทั่วไป" โจเซฟเริ่มต้น น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความหนักแน่นและความลึกลับ "พลังที่อยู่ในร่างของพวกเขาไม่ได้สลายไปพร้อมกับความตาย แต่มันยังคงอยู่"
ชาร์ลส์นั่งตัวตรงตั้งใจฟัง
"ตามปกติ เมื่อผู้ยกระดับตัวตนตาย เราจะต้องทำพิธีตกผลึกิญญาในทันที"
"พิธีนี้จะทำให้พลังและิญญาของพวกเขากลายเป็วัตถุที่จับต้องได้ ซึ่งสามารถนำไปใช้ส่งต่อพลังให้กับผู้ยกระดับตัวตนคนต่อไป หรือเก็บรักษาไว้ให้ปลอดภัย "
"แล้วถ้าไม่ได้ทำพิธีล่ะ?" ชาร์ลส์ถามอย่างสงสัย
โจเซฟถอนหายใจยาว "นั่นแหละคือที่มาของปัญหา" เขาตอบ "เมื่อผู้ยกระดับตัวตนตายโดยไม่มีการทำพิธีตกผลึกิญญา จะเกิดผลลัพธ์สองแบบ ทั้งสองแบบล้วนแต่อันตรายทั้งสิ้น"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้