หยางหนิงคิดแค่ว่าเหวยต้งแค่แกล้งทำเป็กลัวไปอย่างนั้น เขายิ้มแล้วพูดว่า “เ้าพูดจาเหลวไหล หากในจวนนี้มีผีจริงๆ พวกเ้าจะกล้าอยู่ที่นี่กันได้อย่างไร?”
เหวยต้งจึงอธิบายว่า “ิญญาอาฆาตอาศัยอยู่แค่ที่นี่เท่านั้น ขอแค่ไม่มาเข้าใกล้ที่นี่ ก็ไม่มีเื่ขอรับ”
“ที่เ้าบอกว่าตายไปสองคนมันหมายความว่าอย่างไร?” หยางหนิงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ในเมื่อเ้าบอกว่าในเรือนนี้มีผี มีใครเคยเจอหรือไม่?”
เหวยต้งมองไปที่เรือน แล้วพูดเบาๆ ว่า “จริงๆ ทุกคนในจวนเก่ารู้เื่นี้กันทั้งหมด ไม่เพียงแต่รู้ว่ามีผี แต่ยังได้ยินเสียงอยู่บ่อยๆ”
“เสียงอย่างนั้นหรือ?” หยางหนิงขมวดคิ้ว “เสียงอะไร?”
“เสียงขลุ่ยขอรับ!” เหวยต้งพูดว่า “ทุกปีจะมีเสียงขลุ่ยดังออกมาจากที่เรือนหลังนี้สองครั้ง ครั้งละประมาณครึ่งคืน และทุกครั้งก็จะดังอยู่ประมาณสองสามวันถึงจะหายไป เสียงขลุ่ยผีสิงมันฟังดูน่ากลัว ใครที่ได้ยินก็ต่างขนลุกกันทั้งนั้นขอรับ”
“ผีเป่าขลุ่ยได้ด้วยหรือ?” หนางหนิงพูดอย่างแปลกใจ “แล้วมีใครเคยเห็นหรือไม่?”
เหวยต้งพูดว่า “เมื่อครู่ข้าน้อยได้พูดไปแล้ว มีสองคนที่ตายเพราะผีที่เรือนนี้ ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน ครั้งนั้นเขาทำงานอยู่ที่จวนเก่าแห่งนี้พร้อมกับข้า ตอนนั้นท่านเหล่าโหวไม่อยู่ ดังนั้นเลยไม่ได้เข้มงวดเท่าตอนที่ท่านเหล่าโหวอยู่ในจวน ในคืนนั้นพวกเราดื่มเหล้ากันจนเมา ก็ได้ยินเสียงขลุ่ยดังขึ้น จึงพูดคุยกันถึงเื่ผีที่เรือนนี้ ทุกคนรู้ว่าที่นี่มีผี คืนนั้นพวกเราดื่มกันมากไปหน่อย จึงมีความกล้ามากกว่าปกติ พวกเราเลยพนันเงินกันว่า หากใครกล้าเข้าไปอยู่ในเรือนนั้นหนึ่งคืน พวกเราก็จะจ่ายให้เขาผู้นั้นคนละหนึ่งตำลึง”
“เขาผู้นั้นก็ไปอย่างนั้นหรือ?”
“ตอนนั้นดื่มจนเมามากแล้ว สมองก็เลือนราง” เหวยต้งถอนหายใจ ยิ้มฝืนๆ แล้วพูดว่า “ทุกคนคิดว่าเขาแค่อวดอ้าง ใครจะคิดว่าด้วยความเมาในครั้งนั้น คืนนั้นเขาก็เข้าไปในเรือนนั้นจริงๆ...!”
“หลังจากนั้นเล่า?” หยางหนิงพูดอย่างแปลกใจ
“ตายขอรับ” เหวยต้งพูดต่ออีกว่า “ตอนเช้าตรู่ เราก็พบเขาตายอยู่นอกกำแพงเรือนผีนั้น ทั่วทั้งตัวไม่มีแม้แต่รอยแผล ตายตาไม่หลับ สายตานั้นมันน่ากลัวมากขอรับ...!”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ใตายอย่างนั้นหรือ?”
“คนในจวนเก่าตาย พ่อบ้านใหญ่ก็สั่งห้ามเราพูดเื่นี้ออกไป แต่แอบไปแจ้งให้เ้าหน้าที่มา หลังจากเ้าหน้าที่มาตรวจสอบแล้วเขาก็บอกว่าบนร่างกายของเขาไม่มีร่องรอยการต่อสู้หรือาแเลย แต่มันไม่ใช่เพราะว่าเขาดื่มเหล้ามากเกินไป ดูจากสายตาเขา ก็น่าจะใจนตายขอรับ” เหวยต้งพูดเสียงต่ำๆว่า “แต่ว่าเื่นี้พ่อบ้านใหญ่ก็ไม่ได้ให้สืบต่อไป แล้วสั่งให้เราปิดปากให้สนิทด้วย ดังนั้นนอกจากคนในจวนเก่าแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดรู้เื่นี้อีกขอรับ”
“แล้วคนที่สองตายอย่างไร? ใตายเหมือนกันหรือ?”
“คนที่สองเพิ่งตายไปเมื่อปีที่แล้ว เมื่อไม่นานมานี้เองขอรับ” เหวยต้งพูดว่า “ตอนนั้นพ่อบ้านใหญ่เข้าเมืองไปแล้ว พ่อบ้านฉีอยู่ดูแลงานที่นี่ ตอนนั้นเป็่เวลาที่ยุ่งวุ่นวายมากที่สุด บ้านเก่าจ้างคนงานมาใหม่หลายคน คนหนุ่มความกล้าก็มีมาก ไม่รู้ว่าไปรู้เื่เรือนผีนี้มาจากใคร กลางดึกคืนนั้นก็แอบเข้ามาที่เรือนผีนี้”
“วันต่อมาก็ตายอยู่นอกกำแพงอีกอย่างนั้นหรือ?”
เหวยต้งส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ครั้งนี้ตายแปลกกว่าเดิม เขาถูกแขวนคออยู่บนต้นไม้ขอรับ...!” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ก็ยกมือชี้ไปที่ทางเรือนผี “ซื่อจื่อท่านเห็นต้นไม้ต้นนั้นหรือไม่ขอรับ?”
หยางหนิงมองไปเห็นใกล้ๆ ปากประตูเรือน มีต้นไม้ต้นใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ถึงแม้ใบของมันจะร่วงลงหมดแล้ว แต่กิ่งของมันก็ยังคงหนาแน่น ดูก็รู้ว่ามันน่าจะมีอายุกว่าร้อยปี เหมือนกับบ้านเก่าหลังนี้
“ถูกแขวนคออยู่ที่ต้นไม้ต้นนั้น” เหวยต้งพูดถึงตรงนี้ ก็ตัวสั่นไปหมดแล้วพูดต่ออีกว่า “หลังจากพ่อบ้านฉีรู้เื่นี้ ก็สั่งกำชับคนในบ้านเก่า ใครก็ห้ามเข้าใกล้บริเวณนี้อีกเป็อันขาด”
หยางหนิงคิดว่าหากที่เหวยต้งพูดมานั้นคือความจริง สองคนนั้นตายแบบมีเงื่อนงำจริงๆ
จวนเก่าตระกูลฉี เหตุใดถึงได้มีสถานที่เช่นนี้ได้เล่า?
“เ้าบอกว่าทุกปีที่นี่จะมีเสียงขลุ่ยดังขึ้นอย่างนั้นหรือ?” หยางหนิงพูดอย่างเรียบเฉย แล้วถามว่า “เป็เช่นนี้มานานเท่าไหร่แล้ว?”
“ข้าน้อยอยู่ที่นี่มาสิบเจ็ดปี สิบเจ็ดปีมานี่ ได้ยินปีละสองครั้งขอรับ” เหวยต้งพูดต่ออีกว่า “ทุกครั้งที่มีเสียงก็จะดังต่อเนื่องสองสามคืน แล้วก็เงียบหายไปขอรับ”
หยางหนิงสงสัยแล้วพูดว่า “คงไม่ใช่มีคนจงใจทำขึ้นใช่หรือไม่?”
เหวยต้งพูดว่า “ซื่อจื่อ เท่าที่ข้าน้อยทราบ ก่อนที่ข้าน้อยจะมาอยู่ที่นี่ เสียงขลุ่ยนี้ก็มีมาก่อนแล้ว หากมีคนจงใจทำ ใครจะมาสร้างเื่ผีต่อเนื่องนานเป็สิบปีแบบนี้ล่ะขอรับ?”
หยางหนิงรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ หากมีคนตั้งใจแกล้งจริง คงไม่ยาวนานต่อเนื่องมาเป็สิบปีเช่นนี้ แล้วก็ไม่มีแรงจูงใจในการฆ่าคน หรือว่าเรือนนี้จะมีผีจริงๆ?
“ซื่อจื่อ ที่นี่ไม่ควรอยู่นาน” เหวยต้งพูดว่า “ตอนนั้นท่านเหล่าโหวสั่งห้ามทุกคนเข้าใกล้เรือนนี้ แสดงว่าท่านต้องมีเหตุผลบางอย่าง ผีตัวนี้อยู่ที่เรือนนี้มานานหลายปีแล้ว ไม่ยอมไปไหนสักที”
“แล้วเ้ารู้หรือม่ว่าก่อนหน้านี้ใครอาศัยอยู่ที่เรือนนี้?” หยางหนิงถามต่ออีกว่า “เรือนนี่ดูๆ ไปแล้วก็ไม่เล็ก แต่กลับอยู่ห่างจากเรือนอื่นๆ ในจวนไม่น้อย อยู่เรือนเดียวอย่างนี้ จะต้องมีเหตุผล”
เหวยต้งส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าน้อยก็ไม่ทราบ ทุกคนก็พูดถึงน้อยมาก แต่ก็เพราะที่นี่ก็เป็ที่อัปมงคล ก็เลยไม่มีผู้ใดอยากพูดถึง ตอนนี้เถาวัลย์ก็ขึ้นมากขนาดนี้แล้ว แต่ว่าก็ไม่มีผู้ใดกล้าไปจัดการ” เขาแสดงท่าทางว่าไม่อยากพูดถึงเื่นี้อีก แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ อาหารเตรียมไว้แล้ว ไปทานอาหารก่อนดีกว่าขอรับ”
หยางหนิงตามเหวยต้งมาถึงห้องอาหาร กู้ชิงฮั่นยังอยู่ที่ห้องบัญชี เหวยต้งได้ให้คนส่งอาหารไปที่ห้องบัญชีแล้ว หลังทานอาหารเสร็จ หยางหนิงก็ไม่ได้ทำอะไร มีจ้าวยวนกับเสี่ยวซืออยู่รับใช้ข้างๆ
“พวกเ้าไปกินข้าวเถอะ” หยางหนิงโบกมือ ให้พวกเขาสองคนออกไป
ทั้งสองคนยกมือคำนับแล้วถอยหลังออกไป หยางหนิงก็ไม่ได้ไปรบกวนกู้ชิงฮั่น ได้แต่เดินไขว้หลัง จากนั้นก็เดินไปหยิบสมุดบัญชีมาเล่มหนึ่ง เปิดพลิกไปพลิกมา เห็นด้านในเต็มไปด้วยตัวหนังสือแสดงยอดในบัญชีเต็มไปหมด เหมือนบทความ ดูแล้วก็รู้สึกเหนื่อย จากนั้นก็หยิบอีกเล่มมาเปิด ก็เป็เหมือนกันอีก เขาถึงกลับส่ายหน้า
ก็ไม่แปลกที่มันจะกองอยู่กว่าครึ่งห้องเช่นนี้ เขาพบว่า การบันทึกในสมุดบัญชีนี้ช่างละเอียดมากๆ แต่ในความเป็จริงแล้วมันละเอียดเกินไป แล้วยังใช้ตัวหนังสือแทนตัวเลขอีก มันซับซ้อนเกินไปยิ่งกว่าเดิม มันคำนวณไม่สะดวกเอาเสียเลย
อย่างไรเสียในยุคก่อนเขาก็เป็นักธุรกิจเป็พ่อค้า ถึงแม้จะไม่ได้ถนัดเื่บัญชี แต่ก็คุ้นเคยกับตารางบัญชีพื้นฐานอยู่บ้าง จากการคาดการณ์ของเขา สมุดบัญชีหลายสิบหน้านี้ หากทำให้ง่าย ทำบันทึกเป็ตารางตัวเลข ก็น่าจะไม่เกินสองหน้า
“โอ๊ย...!” ขณะที่หยางหนิงกำลังคิด ก็ได้ยินกู้ชิงฮั่นร้องขึ้นมา เขาจึงรีบวางสมุดบัญชีลง แล้วหันไปดู เห็นกู้ชิงฮั่นนั่งอยู่บนเก้าอี้ คอเอียง จึงรีบเดินเข้าไป “ซานเหนียง ท่านเป็อะไรไปรึ?”
“อย่าขยับ...!” กู้ชิงฮั่นเอียงคอ ร่างกายไม่มีการขยับ “คอ... คอของข้าขยับไม่ได้ หนิงเอ๋อร์ เ้า... เ้าอย่าเพิ่งเข้ามา...!”
หยางหนิงใ แต่ก็เข้าใจในทันทีว่า กู้ชิงฮั่นน่าจะมีอาการคอเคล็ด เพราะนั่งอยู่ท่าเดิมเป็เวลานานเกินไป แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมา ทำให้เกิดอาการขึ้น
“ซานเหนียง ท่านอย่าเพิ่งขยับ” หยางหนิงเดินมาที่ด้านหลังกู้ชิงฮั่น เกี่ยวกับอาการเช่นนี้ ถึงแม้หยางหนิงจะไม่สามารถรักษาอาการที่ต้นเหตุได้ แต่ก็สามารถผ่อนอาการให้ดีขึ้นได้และสามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติได้ จากนั้นเขาก็เอามือวางไว้บนไหล่ของกู้ชิงฮั่น กู้ชิงฮั่นรีบพูดว่า “เ้าจะทำอะไร? อย่าจับ มันเจ็บ...!”
“ข้ารู้ว่ามันเจ็บ” หยางหนิงพูดว่า “ข้าจะช่วยนวดให้ท่าน อีกเดี๋ยวก็หาย ท่านอย่าเพิ่งขยับ” มือขวาของเขายื่นมือออกไป ฝ่ามือของเขาพาดอยู่บนคอของกู้ชิงฮั่น นิ้วโป้งกดลงไปที่ต้นคอ กู้ชิงฮั่นตัวสั่นเล็กน้อย เหมือนจะไม่ค่อยชิน ร่างกายมีความเคลื่อนไหวเล็กน้อย คอรู้สึกเจ็บ แล้วร้องเบาๆ
“บอกท่านแล้วว่าอย่าขยับ ซานเหนียงท่านอย่าดื้อได้หรือไม่” หยางหนิงพูดเหมือนกำลังสั่งสอนเด็กๆ เลย มือซ้ายของเขากดนวดไปที่ไหล่ของกู้ชิงฮั่น โดยไม่ให้นางได้ขยับตัว กู้ชิงฮั่นก็ไม่รู้ว่าหยางหนิงกำลังทำอะไรอยู่ ถึงแม้ในใจจะรู้ว่ามันไม่เหมาะสมเท่าไหร่ แต่นิ้วโป้งของหยางหนิงก็กดลงมาที่กระดูกต้นคอแบบเบาๆ เขาใช้แรงอย่างอ่อนโยน ค่อยๆ ผ่อนแรงหนักเบาเป็ระยะ กู้ชิงฮั่นก็รู้สึกว่าหลังคอที่ตึงนั้น หลังจากหยางหนิงนวดแล้ว ก็ผ่อนคลายมากขึ้น
หลังจากนั้นไม่นาน หยางหนิงก็ใช้มือจับไปที่ต้นคอของกู้ชิงฮั่น รู้สึกว่าผิวของนางนั้นเรียบเนียนมาก แล้วมันก็นุ่มลื่นยิ่งนัก กู้ชิงฮั่นถึงแม้จะรู้สึกว่าความเจ็บที่ต้นคอค่อยๆ เบาลงแล้ว แต่การที่หยางหนิงนวดที่คอนั้น ไม่ว่าจะเป็ร่างกายหรือในใจของนางก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา
ท่านอาสามของตระกูลฉีเสียสละชีวิตเพื่อชาติ หลายปีมานี้นางก็ถือครองเป็โสดมานาน ก็เหมือนดอกไม้ที่กำลังผลิบาน ในฐานะฮูหยินสามของจวนจิ่นอีโหว ต้องคงไว้ซึ่งกฎเกณฑ์เป็เื่ที่ไม่ต้องพูดถึง แต่เพราะเืเนื้อเป็ส่วนหนึ่งของร่างกาย หากจะบอกว่าปกติร่างกายไม่มีความรู้สึกอะไร นั่นก็เพราะไม่ได้เข้าใกล้ผู้ใด ดังนั้นการอาบน้ำ จึงทำให้ผิวของนางทั้งเรียบเนียนและเต่งตึง
แต่วันนี้ถูกหยางหนิงนวดเบาๆ ถึงแม้จะไม่ได้อ่อนไหวนัก แต่ก็ทำให้กู้ชิงฮั่นรู้สึกแปลกๆ
หากเป็เมื่อก่อน อาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรเช่นนี้ แต่ตอนนี้รู้ว่าซื่อจื่อโตเป็ผู้ใหญ่แล้ว ในใจจึงรู้สึกต่างออกไป
“พอ... พอแล้ว...!” กู้ชิงฮั่นรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าวขึ้นมา จากนั้นก็พูดเบาๆ ว่า “พอได้แล้วล่ะ ไม่ต้อง... ไม่ต้องนวดแล้ว”
หยางหนิงพลันหยุดชะงัก ก็เห็นว่ากู้ชิงฮั่นสามารถขยับคอได้แล้ว ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ดูๆ ไปแล้วฝีมือข้าก็ไม่เลวเลย ซานเหนียง ท่านเป็โรคกระดูกต้นคอเคล็ด ปกตินวดเบาๆ ก็จะฟื้นฟูได้เอง”
กู้ชิงฮั่นคิดในใจว่าครั้งนี้ไม่มีทางเลือก จึงให้เ้ามาแตะต้องตัวข้าจนได้ ครั้งต่อไปคงไม่มีโอกาสอีก นางกลัวว่าหยางหนิงจะเห็นความผิดปกติของนาง จึงไอกลบเกลื่อน แล้วพูดว่า “ที่นี่มีแต่สมุดบัญชี หากเ้าไม่อยากอยู่ที่นี่ ก็ออกไปเดินเล่นก่อน ที่นี่คือจวนเก่าของพวกเรา ไม่รู้อีกนานแค่ไหนจะได้กลับมาที่นี่อีก”
“ข้าเพิ่งไปเดินดูรอบๆ จวนมา” หยางหนิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ แล้วมองไปข้างนอก เห็นไม่มีใคร จึงแอบถามว่า “ซานเหนียง ท่านรู้เื่เรือนผีสิงในจวนหรือไม่?”