หลิวหรูเยียนพอจะเดาได้ว่าในใจหยวนจุนนั้นคิดสิ่งใด นางจึงค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “วิชายุทธ์มีไว้ฆ่าคน”
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางประชดประชันของนาง ทำให้เขารู้สึกหดหู่ใจ
“ในเมื่อเ้ารู้สิ่งที่เ้าอยากรู้หมดแล้ว แม่นางโปรดเลิกล้อข้าเล่น เหลือทางรอดให้คนธรรมดาบ้างเถิด”
สตรีที่ชาญฉลาดอย่างหลิวหรูเยียนเข้าใจทันทีว่าหยวนจุนกำลังกล่าวถึงสิ่งใด นางหัวเราะอย่างสนุกสนานด้วยแววตาที่เป็ประกาย
“เ้าบอกเองมิใช่หรือว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับสตรี? เ้าบอกให้ข้าเหลือทางรอดให้แก่คนธรรมดาทำไม คนธรรมดาที่เ้าพูดถึงคงหมายถึงแม่นางเสี่ยวเมิ่งใช่ไหม?”
หยวนจุนนิ่งเงียบ จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ
“อ้อ ข้าขอตัวไปชำระร่างกายก่อน แล้วข้าจะพาเ้าไปสถานที่แห่งหนึ่ง”
หลิวหรูเยียนลุกขึ้นแล้วชี้นิ้วเรียวไปที่หยวนจุน ขณะที่กำลังหันหลังออกไป ก็ไม่ลืมที่จะกำชับสวีจิ้ง “พ่อบ้านสวี ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาด้วย”
แม้สวีจิ้งจะคำนับให้หยวนจุนอย่างสุภาพ แต่เขารู้ดีว่ามีอะไรซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มนั้น หากปฏิเสธความหวังดีของหลิวหรูเยียนไป วันหนึ่งเมื่อหยวนจุน้าออกไปจากตระกูลหลิวคงจะไม่ง่าย
หลังจากชำระร่างกายแล้ว หยวนจุนสวมเสื้อยุทธ์สีขาว ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่แข็งแรง เมื่อหน้าผากเขาเผยออก ทำให้บุคลิกดูสง่า
เขาปรากฏตัวที่ศาลาสวนดอกไม้อีกครั้ง หลิวหรูเยียนสวมชุดขาวราวกับหิมะรออยู่แล้ว ครั้นเห็นหยวนจุน แววตานางเป็ประกายทันที
“ดีแล้ว คราวนี้เมื่อเ้าออกไปกับข้าจะได้ไม่ถูกผู้อื่นหัวเราะ”
แม้จะเดินตามหลิวหรูเยียน แต่สีหน้าหยวนจุนก็ยังรู้สึกอึดอัด ถ้าสวีจิ้งใส่ใจเขาจริงๆ คงให้เขาใส่ชุดพอเป็พิธีแล้ว
“สตรีผู้นี้จิตใจโเี้ เห็นชีวิตของผู้อื่นเป็ผักปลา หากทำผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้นางอารมณ์เปลี่ยน ดูแล้วข้าต้องหาหนทางออกไปจากที่นี่เสียแล้ว”
ทั้งสามเดินตามถนนที่พลุกพล่านอย่างไม่รีบร้อน การเดินกับพ่อบ้านทำให้ดึงดูดความสนใจจากผู้คนมากมาย
“บุรุษที่เดินตามหลังหลิวหรูเยียน เป็ผู้ที่ออกหน้าเมื่อครั้งเกิดเื่ในเมืองมิใช่หรือ? เขาสวมเสื้อยุทธ์ของตระกูลหลิวด้วยนะ!”
“มองคนผิดไปจริงๆ วันก่อนเขายังทำให้สุนัขรับใช้ตระกูลหลิวสยบแทบเท้าอยู่เลย ไม่ถึงสองวัน เขาก็ไปปรนนิบัติตระกูลหลิวถึงหน้าประตูแล้ว!”
เมื่อได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คน หลิวหรูเยียนยกริมฝีปากขึ้น แสดงรอยยิ้มแห่งความพอใจ
เหตุการณ์ที่เห็นนี้ หยวนจุนจะไม่รู้ล่วงหน้าได้อย่างไร ตอนที่สวีจิ้งให้เขาเปลี่ยนเป็เสื้อคลุมยุทธ์ของตระกูลหลิว เขารู้อยู่แล้วว่าจะต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้าง
อาจกล่าวได้ว่าทั้งหมดนี้เป็ความตั้งใจของหลิวหรูเยียน
ทั้งสามเดินไปประมาณสองก้านธูปก็เลี้ยวที่สุดถนนพลุกพล่านนี้ ฉากที่งดงามตระการตา ทำให้อาคารโดยรอบมีขนาดเล็กเท่าก้อนกรวด
“โรงประมูล!”
เมื่อมองแผ่นป้ายสีทองที่แขวนอยู่หน้าประตู หยวนจุนก็เลิกคิ้ว ที่ว่าสถานที่แห่งนี้เป็แหล่งทำเงินของทุกเมือง ไม่ได้กล่าวเกินจริงแม้แต่น้อย!
ดูแล้วตระกูลหลิวคงมาที่นี่บ่อยครั้ง เพราะเมื่อเข้าประตูก็มีหญิงรับใช้หน้าตางดงามออกมาต้อนรับด้วยมารยาทที่ค่อนข้างสุภาพ
ในฐานะที่ตระกูลหลิวเป็ผู้นำอันดับหนึ่งของเมือง และหลิวหรูเยียนก็มาที่นี่ด้วยตนเอง ไม่ช้าบุรุษอายุประมาณสามสี่สิบปีก็ออกมาต้อนรับ
“แม่นางหลิวมาเยี่ยมด้วยตนเอง ข้าไม่ได้ออกมาต้อนรับ ต้องขออภัยด้วย ฮาฮา!”
เขาคำนับสวีจิ้งกับหลิวหรูเยียนอย่างสุภาพ ครั้นหันมาทางหยวนจุน เขามีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับนิ่งเช่นเดิม แล้วทำท่าผายมือเชิญ
“ผู้จัดการฉาง ข้าทราบมาว่าวันนี้จะมีการประมูลกระบี่ดีเล่มหนึ่ง มิทราบว่าเปิดเผยได้หรือไม่?”
หลิวหรูเยียนกล่าวตรงประเด็น จากนั้นชายวัยกลางคนที่นางเรียกว่าผู้จัดการฉางก็ยิ้มแล้วพยักหน้า “เื่ที่แม่นางหลิวได้ยินมามิได้หลอกลวง วันนี้จะมีการประมูลกระบี่ดีเล่มหนึ่งจริงๆ!”
“อ้อ? แม้จะกล่าวกันว่าเป็กระบี่ดี ไม่ทราบว่ากระบี่นั้นอยู่ในระดับใด อยู่ในอาวุธระดับิญญาแล้วใช่หรือไม่?
เมื่อพูดถึงระดับอาวุธ ผู้จัดการฉางก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย
“แม่นางหลิวย่อมทราบกฎของโรงประมูลดี แม้ว่าท่านจะเป็คนคุ้นเคย และตระกูลหลิวก็เป็แขกสำคัญของโรงประมูล แต่กฎที่สืบทอดกันมามิอาจเปลี่ยนแปลงได้”
“สำหรับข้อมูลของกระบี่เล่มนี้ เรามิอาจเปิดเผยได้ แม่นางหลิวกับพ่อบ้านสวีโปรดใจเย็น เมื่อมีการประมูลก็จะรู้เอง”
การที่ผู้จัดการฉางไม่เปิดเผยเื่กระบี่ ไม่ใช่เพราะตั้งใจปกปิด ดังนั้นเมื่อทราบกฎการประมูลแล้ว เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่หลิวหรูเยียนถามไปเมื่อครู่นั้นเกินขอบเขตไปจริงๆ
นางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แล้วตามหญิงรับใช้ไปยังที่นั่งสำหรับแขกพิเศษที่อยู่ชั้นสาม
“ชายหนุ่มผู้นี้ไม่มีพลังปราณออกมาจากร่างกายแม้แต่น้อย คงจะไม่ใช่นักยุทธ์ ไม่รู้เขามีความพิเศษอย่างไร ถึงมาโรงประมูลกับแม่นางหลิวได้”
“ดูจากเสื้อยุทธ์ที่เขาสวมแล้วคงเป็คนในตระกูลหลิว แต่เท่าที่ข้าทราบ ในตระกูลหลิวน่าจะไม่มีคนประเภทนั้นนะ” ผู้จัดการฉางขมวดคิ้วพึมพำ
เมื่อถึงโถงชั้นสามสำหรับแขกพิเศษ หยวนจุนได้ยินเสียงปรบมือดังมาจากด้านหลัง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตั้งใจทำแบบนั้น
“ไม่เจอแม่นางหลิวหนึ่งปี ยิ่งโตยิ่งมีเสน่ห์จริงๆ ฮาฮา!”
ร่างสูงลุกจากที่นั่งแถวสุดท้าย เขาสวมเสื้อคลุมสีขาวลายั มองหลิวหรูเยียนแล้วหัวเราะชอบใจ ซึ่งเสียงปรบมือที่ดังก่อนหน้านี้ก็มาจากมือของเขา
“เจียงเฮ่อ ข้าทราบมาว่าตอนเ้าเก็บตัวหนึ่งปีเ้าสามารถเข้าสู่วงแหวนใหญ่ขั้นห้าได้ ดูจากตอนนี้ คงจะสำเร็จแล้วใช่ไหม?” หลิวหรูเยียนมองเจียงเฮ่อด้วยรอยยิ้ม จากพลังปราณที่เขาจงใจแผ่ออกมาทำให้รู้ว่าเขาบรรลุถึงวงแหวนใหญ่ขั้นห้าแล้ว
เมื่อพูดถึงเื่เก็บตัวหนึ่งปี เจียงเฮ่อก็ยืดอกกล่าวขึ้นว่า “ถูกต้อง ในฐานะที่เป็ทายาทสายตรงหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนอวิ่น ข้ามิเคยมีหน้ามีตาเทียบเท่ากับแม่นางหลิวเลย ตอนนี้ข้าเข้าสู่วงแหวนใหญ่ขั้นห้าได้สำเร็จแล้ว ในที่สุดก็รู้สึกมั่นใจเสียที”
“ดังนั้น หลังจากการประมูลนี้สิ้นสุด แม่นางหลิวจะสามารถ...”
เจียงเฮ่อพูดไม่ทันจบ ด้านล่างก็ส่งสัญญาณเริ่มการประมูล เมื่อเห็นเช่นนี้ หลิวหรูเยียนจึงยิ้มให้เขาแล้วกล่าวว่า “ไว้โอกาสหน้าค่อยคุยกันนะ!”
แม้จะผิดหวังเล็กน้อย แต่เจียงเฮ่อก็ไม่ได้แสดงสีหน้าหงุดหงิด เขายิ้มแล้วพูดว่า “ได้ เช่นนั้นประมูลให้จบก่อนค่อยว่ากัน”
เมื่อเห็นคนทั้งสองสนทนากัน หยวนจุนจึงหาที่นั่งตามใจชอบก่อนจะนั่งลงเพื่อรอเวลาประมูล ครั้นเอนกายลงไปทำให้เขารู้สึกี้เีเล็กน้อย
หลิวหรูเยียนสั่งให้สวีจิ้งนั่งตามสบาย เขาจึงเอนกายลงไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่ข้างหยวนจุน หากไม่ใช่เพราะเจียงเฮ่อเห็นหลิวหรูเยียนคุยกับหยวนจุนอย่างสนิทสนม เขาคงคิดว่าตนเองตาฝาดแล้ว
เขารีบย้ายไปนั่งด้านซ้ายของหลิวหรูเยียน แม้ตาจะไม่ได้มองสองคนนั้น แต่หูของเขากลับยกขึ้นสูง อยากได้ยินสิ่งที่สองคนนั้นกำลังกล่าวถึง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้