ใช่ว่าเหลียนเซวียนไม่อยากไปเร็วๆ แต่เขาเร็วกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ
เหลียนเซวียนสีหน้าเคร่งเครียด ยกเท้าแต่ละก้าวเดินไปอย่างยากเย็น ก้าวแล้ว... ก้าวเล่า
หนึ่งนาทีผ่านไป ก็ขยับไปได้แค่ไม่กี่ก้าว
เซวียเสี่ยวหรั่นมุมปากกระตุก ปรกติแล้วไม่เคยรู้สึกว่าเขาจะช้ามากขนาดนี้ แต่ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานกลับรู้สึกว่าเขาเร็วกว่าหอยทากแค่นิดเดียว เซวียเสี่ยวหรั่นอยากแบกเขาขึ้นหลังใจจะขาด
แต่น่าเสียดาย กำลังของเธอมีจำกัด น้ำหนักของเขาก็ไม่เบา หากแบกเขาวิ่ง ก็คงไปไม่ได้ไกลเท่าไร
เซวียเสี่ยวหรั่นวางกระบุงลงพื้น หันกลับไปช่วยพยุงเขา
เหลียนเซวียนกลับปฏิเสธความช่วยเหลือ ชี้นิ้วมือไปข้างหน้าบอกให้เธอไปก่อน
"ไม่ได้" เซวียเสี่ยวหรั่นเข้าใจทันที ความหมายของเขาคือให้นางกับอาเหลยวิ่งไปก่อน
สภาพร่างกายของเขาตอนนี้ เซวียเสี่ยวหรั่นเข้าใจดีกว่าใคร เหมือนกับการออกแรงซัดอาวุธลับ ทำได้แค่สองครั้งก็นับว่าไม่เลวแล้ว
จำนวนหมาป่าฝูงหนึ่งหาใช่สิ่งที่เขาจะรับมือได้ในตอนนี้
เหลียนเซวียนย่อมรู้สถานการณ์ของตนเองดี แต่นางกับลิงน้อยอยู่ที่นี่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ แล้วเหตุใดตนเองต้องทำให้พวกนางพลอยตกอยู่ในอันตรายด้วยเล่า
เขาทำหน้านิ่ง ยังคงชี้ไปข้างหน้า
"ท่านอย่าดื้อกับข้านักเลย รีบเดิน รีบเดินเข้า ข้าจะไม่เดินไปก่อน" เซวียเสี่ยวหรั่นทำเป็มองไม่เห็นท่าทีของเหลียนเซวียน เอื้อมมือไปหมายประคองเขาขึ้นมา
เหลียนเซวียนยังไม่ยอม สถานการณ์เริ่มตึงเครียด
ทั้งสองต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลดราวาศอก เวลาแบบนี้ เขา (นาง) จะดื้อด้านไปถึงไหน!
เส้นทางสายนี้ไปไม่ได้ ต้องเปลี่ยนทาง เซวียเสี่ยวหรั่นถลึงตาใส่เหลียนเซวียน หันกลับไปมองหมาป่าที่นอนนิ่งตัวนั้น ใช้ความคิดอย่างหนัก
"หมาป่าใช้การดมกลิ่นค้นหาเป้าหมาย?" เธอพึมพำออกมาประโยคหนึ่ง หลังจากนั้นดวงตาก็ทอประกายวาบ
"นี่ เหลียนเซวียน ท่านรีบไป ข้าจะพ่นสเปรย์พริกใส่พวกหมาป่า กลิ่นฉุนแสบจมูกเช่นนั้นต้องกลบกลิ่นของพวกเราได้แน่"
พูดจบ เซวียเสี่ยวหรั่นก็ยิ้มเ้าเล่ห์ ล้วงสมบัติป้องกันตัวออกมาจากเสื้อชั้นใน
พอได้ยินเสียงเท้าวิ่งมาแต่ไกล เหลียนเซวียนก็นิ่งงัน
วิธีนี้ดูเหมือนจะไม่เลว
เซวียเสี่ยวหรั่นสูดหายใจลึกหลังจากนั้นก็กลั้นหายใจ แล้วพ่นสเปรย์ออกใส่หมาป่าที่ตายแล้วตัวนั้น ก่อนหันมาพ่นรอบบริเวณที่ตั้งค่ายของพวกเขา
สุดท้ายก็พ่นตามรอยเท้าที่พวกเขาก้าวเดิน
พอเห็นสเปรย์น้ำที่มีอยู่ครึ่งขวดลดไปอีกครึ่งหนึ่ง เซวียเสี่ยวหรั่นก็ปวดใจยิ่ง
แค่พลั้งหายใจเข้าไปทีเดียว กลิ่นแสบร้อนก็พุ่งปะทะเข้ามา เซวียเสี่ยวหรั่นรีบอุดปากอุดจมูก แต่ก็ยังแสบจนน้ำมูกน้ำตาไหล
เห็นระยะทิ้งห่างออกมาพอสมควร เธอก็เก็บสเปรย์ แล้วรีบวิ่งถอยไปด้านหลัง
ตอนวิ่งมาถึงข้างกายเหลียนเซวียน น้ำตาของเธอยังไหลพราก เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง "พ่นเรียบร้อยหมดแล้ว พวกเรารีบไป"
โดนเข้าเองแบบนี้ ไม่เท่ากับข้าศึกาเ็หนึ่งพันตนเองสูญเสียแปดร้อยหรอกหรือ เหลียนเซวียนทอดถอนใจ
ทั้งคณะเริ่มออกเดินทางด้วยความเร็วอย่างกับเต่า หลังจากเดินอ้อมทางลาดชันที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้และวัชพืชรกเรื้อมาแล้ว เสียงหอนของฝูงหมาป่าก็แว่วมาแต่ไกล
หลังจากนั้นเสียงเห่าหอนของหมาป่าทั้งฝูงประสานกันอย่างพร้อมเพรียง บรรยากาศในป่าเย็นะเืทันควัน
ฝูงหมาป่ามากันจริงๆ เซวียเสี่ยวหรั่นกับเหลียนเซวียนหน้าถอดสี อาเหลยะโขึ้นไปบนกิ่งไม้ มองตามเสียงเห่าหอนของหมาป่าอย่างหวาดระแวง
"เหลียนเซวียน พวกเราขึ้นไปหลบบนต้นไม้กันดีหรือไม่"
เซวียเสี่ยวหรั่นกลัวว่าสเปรย์พริกจะไม่ได้ผล ฝูงหมาป่าใกล้มาถึงแล้ว พวกเขาวิ่งอย่างไรก็ไม่ทัน ขึ้นไปหลบบนต้นไม้อย่างน้อยก็ปลอดภัยชั่วคราว
เหลียนเซวียนมุ่นคิ้วขมวด ขณะกำลังคิดจะให้นางปีนขึ้นไปหลบบนต้นไม้ก่อน ก็ได้ยินเสียงจามไม่ขาดสายของฝูงหมาป่า เห็นชัดว่าสเปรย์พริกของเซวียเสี่ยวหรั่นได้ผลดีเยี่ยม
หมาป่าไวต่อกลิ่น กลิ่นยิ่งฉุนเท่าไรพวกมันก็ยิ่งแสบจมูกเท่านั้น
เสียงจามก็เหมือนกับการแพร่เชื้อ ฝูงหมาป่าตัวแล้วตัวเล่าจามกันไม่หยุด เสียงเห่าหอนของพวกมันเจือไปด้วยความทุรนทุราย
ใบหน้าของเซวียเสี่ยวหรั่นเผยรอยยิ้มออกมา ยกมือขึ้นชูสองนิ้วแสดงถึงชัยชนะ
"ฮิฮิ รสชาติของสเปรย์พริกไร้เทียมทานคงทรมานมากสินะ หากพวกเ้ากล้ามา ข้าจะให้พวกเ้าได้ลิ้มลองมันอีกหน"
เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มกว้างใบหน้าด้วยความลำพองใจ
สเปรย์พริกชนิดนี้มีประสิทธิภาพสูงยิ่งในการจัดการกับสัตว์ที่มีประสาทััไวเป็พิเศษ
พอได้ยินเสียงหัวเราะของนาง มุมปากของเหลียนเซวียนก็โค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว
"พวกเราฉวยโอกาสรีบหนีกันเถอะ"
ต่อให้ภาคภูมิใจอย่างไร เซวียเสี่ยวหรั่นก็ไม่โง่พอที่จะสู้กับหมาป่าซึ่งๆ หน้า
ฝูงหมาป่าไม่ได้ตามมาด้านหลัง
ทุกคนต่างโล่งอก
ก่อนที่ม่านราตรีจะโรยตัวลงมา เซวียเสี่ยวหรั่นก็หาที่พักได้อยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำ
ตำแหน่งของที่นั่นเป็แอ่งเว้าเข้าไปตรงหน้าผา หน้าผาลาดเทและสูงชัน พื้นที่เป็รูปสามเหลี่ยม สามารถกำบังลมฝนได้พอดี
กองไฟลุกโชน แสงสว่างโชติ่ไปทั่วเห็นตะไคร่น้ำชัดเจนบนกำแพงหิน
"แต่เสียดายน้ำแกงปลาหม้อนั้น ยังไม่ได้กินสักคำ ก็ต้องเททิ้งหมดเลย" เซวียเสี่ยวหรั่นใส่เนื้อหมูป่าลงไปในหม้อ "รอให้พวกเรากินหมดก่อนค่อยมาก็ไม่ได้ น่าแค้นใจนัก"
เหลียนเซวียนปรายตามองนาง ก้นบึ้งดวงตาแฝงไปด้วยรอยยิ้มขบขัน
เมื่อวิกฤติผ่านพ้นไปแล้ว เธอก็โทษฝูงหมาป่าเ่าั้อย่างเปิดเผย
"แต่ข้าไม่ให้พวกมันสบายอยู่แล้ว ปลาตัวนั้นมีแต่พริก พวกมันได้แต่มองอยู่ไกลๆ เท่านั้นแหละ ฮ่าๆ "
เซวียเสี่ยวหรั่นหัวเราะลั่น "พวกเราไม่ได้กิน พวกมันก็อย่าฝัน"
ดวงตาของเหลียนเซวียนอาบย้อมไปด้วยรอยยิ้ม อุปนิสัยของนางนี่จริงๆ เลย ไม่เหมือนหญิงสาวทั่วไปแม้แต่น้อย
ดวงตาสุกใสของอาเหลยเบิกกว้างจดจ้องเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเพราะเหตุใดเธอถึงยิ้มเบิกบานขนาดนี้
เซวียเสี่ยวหรั่นลูบหัวของมันอย่างมีความสุข
หลังมื้อเย็น เซวียเสี่ยวหรั่นตัดหญ้าแห้งมาจากพงหญ้ารกที่อยู่ไม่ไกลกลับมาวางข้างกองไฟ
"วันนี้ไม่มีพระอาทิตย์ตลอดทั้งวัน วันอากาศสดใสคงใกล้จะสิ้นสุดแล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นพึมพำพลางจัดหญ้าหวงเหมาให้เป็ระเบียบ
"ฤดูใบไม้ผลิของทางใต้จะมีฝนตกทุกรูปแบบ ทั้งฝนปรอย ฝนเบา ฝนปานกลาง ฝนตกหนัก อากาศชื้น และอับชื้น พวกเราต้องเตรียมทำหมวกฟางล่วงหน้า จะได้ไม่ขาดแคลนยามฝนตก"
ของที่แม่นางผู้นี้ทำเป็มีไม่น้อยเลย เหลียนเซวียนทอดถอนใจอีกหน
"หญ้าสำหรับสานหมวกฟางที่จริงมีหลายชนิด หญ้าหวงเหมาแบบนี้น้ำหนักเบา ยามสวมบนศีรษะไม่หนัก อาเหลย ข้าจะสานให้เ้าหนึ่งใบ ต้องสวมให้ดี เข้าใจหรือไม่"
เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มกล่าวกับอาเหลย
"เจี๊ยกๆ " อาเหลยง่วงนอนแล้ว ขึ้นไปขดตัวบนเสื่อฟางของมันเอง พอได้ยินเสียงเธอเรียก มันก็ตอบกลับมาคำหนึ่ง
"นอนเถอะ นอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางต่อ" เซวียเสี่ยวหรั่นมองมันด้วยความเวทนา อาเหลยยังเล็กมาก ต้องติดตามพวกเขาทั้งวันคงลำบากมาก
"แต่หมวกฟางกันได้แต่ฝนปรอยๆ ไม่อาจกันฝนที่ตกอย่างหนัก ดังนั้นต้องทำเสื้อกันฝนด้วย เสื้อกันฝนต้องใช้ใบจาก ครั้งหน้าถ้าพบต้นจากต้องตัดมาทำเสื้อกันฝนสักสองชุด" เซวียเสี่ยวหรั่นพึมพำต่อไป แต่มือยังคงเคลื่อนไหวไม่หยุด
"เฮ่อ หากไม่เพราะฝีมือการสานของข้าดูไม่ได้ ก็คงทำเครื่องสานชนิดต่างๆ ออกไปขายแล้ว"
เซวียเสี่ยวหรั่นคัดใบที่เหี่ยวเฉาออก แล้วเริ่มสานหมวกฟางด้วยรอยยิ้ม
วาจาที่ทั้งโอ้อวดและตำหนิตนเองไปพร้อมกันเช่นนี้ทำให้เหลียนเซวียนทั้งฉิวทั้งขันอย่างอดไม่ได้