ราวกับมีบางสิ่งที่น่ากลัวเกิดขึ้น ทำให้ไม่อาจถอนตัวได้ชั่วขณะ
“นี่...”
เหตุการณ์นี้ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับทุกคน แดนมรดกไม่ใช่สถานที่ที่จะเข้าไปได้ง่าย ๆ ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นทะเล่อทะล่าเดินเข้าไปเองจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
“เฮ้ พี่ชาย เกิดอะไรขึ้นกับเ้าก่อนหน้านี้ พอจะบอกพวกข้าได้หรือไม่?” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งเดินเข้าไปถามคนผู้นั้น เขาอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ ๆ ถึงเปลี่ยนท่าทีไปเช่นนี้?
“น่ากลัวมาก อย่าถามข้าเลย ถ้าเ้าอยากรู้ก็ไปลองด้วยตัวเองเถอะ!” เมื่อได้ยินคำถาม ดวงตาของคนผู้นั้นก็แสดงความหวาดกลัวออกมาอีกครั้ง แล้วส่ายหน้าอย่างรุนแรง เหมือนไม่อยากพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้หลายคนในที่นี้เผยแววตาคมกริบ พวกเขาเดินทางมาที่วังเทพโอสถ เพื่อเข้าร่วมการทดสอบดินแดนศักดิ์สิทธิ์วังเทพโอสถ กว่าจะรอให้มรดกปรากฏขึ้น มันไม่ใช่เื่ง่าย ทว่าแม้จะปรากฏขึ้นต่อหน้า แต่พวกเขากลับทำได้แค่เฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น ไม่กล้าเข้าใกล้แม้เพียงครึ่งก้าว นี่เป็สิ่งที่เ็ปที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
“หึ!” พลันมีเสียงแค่นเ็าดังขึ้นจากหมู่ฝูงชน ก่อนจะมีสองเงาร่างเดินออกมา หนึ่งในนั้นเป็ชายหนุ่มที่มีแววตาเย่อหยิ่ง เขากวาดสายตามองฝูงชนแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยองว่า “ไม่ใช่ศิษย์วังเทพโอสถ แต่กลับคิดเพ้อฝันอยากสืบทอดมรดก พวกเ้ามีคุณสมบัติหรือพร์หรือ?”
ผู้พูดก็คือศิษย์วังเทพโอสถฟู่เจิน ส่วนผู้ที่อยู่ข้างกายฟู่เจินก็คือฟู่หยิง น้องสาวแท้ ๆ ของเขา หญิงงามแห่งเมืองหลวง นอกจากใบหน้าอันเ็าแล้ว ทุกอย่างล้วนสมบูรณ์แบบ ความงดงามนี้สั่นะเืไปถึงจิตใจ ทำให้ทุกคนล้วนอยาก
“มรดกที่นี่เป็ของข้าแต่เพียงผู้เดียว ข้าจะแสดงให้พวกเ้าดู!” ฟู่เจินกล่าว พลางมีกลิ่นอายทรงอำนาจมาแต่กำเนิดแผ่ออกจากร่างกาย ราวกับกลิ่นอายของาา นาทีต่อมาฟู่เจินและฟู่หยิงเดินไปยังแดนมรดกพร้อมกัน
“วิ้ง!” จู่ ๆ พลังประหลาดสองสายพุ่งออกมาจากแดนมรดกส่วนสอง เข้าห่อหุ้มร่างสองพี่น้องฟู่เจินและฟู่หยิง ทำให้ร่างกายของสองพี่น้องเรืองแสงออกมา แต่กลับไม่สามารถหยุดยั้งฝีเท้าของสองพี่น้องได้เลย
“ฟู่เจินกับฟู่หยิง สมแล้วที่เป็ศิษย์อัจฉริยะของวังเทพโอสถ ความสามารถล้นเหลือ พร์โดดเด่น แม้แต่พลังแปลก ๆ นั่นก็ไม่อาจหยุดยั้งพวกเขาได้!” ฝูงชนคิดในใจขณะเห็นความแตกต่างระหว่างพวกเขากับสองพี่น้องฟู่เจินฟู่หยิง สองพี่น้องก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเข้าสู่แดนมรดก ร่างกายจึงถูกห้อมล้อมด้วยแสงแห่งการสืบทอดของแดนมรดก เพื่อตัดการรับรู้จากโลกภายนอก
“แข็งแกร่งมาก พี่น้องสองคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ได้รับการยอมรับจากแดนมรดกในเวลาเดียวกัน ไม่รู้ว่าคนสองคนนี้จะได้รับมรดกแบบไหน?” เมื่อเห็นฉากที่น่าในี้ หัวใจของฝูงชนก็เต้นแรง และพวกเขาก็เข้าใจความจริงในทันที
์อาจให้โอกาสทุกคนเหมือนกัน แต่ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะไขว่คว้ามันอย่างไร ผู้ที่มีพร์แข็งแกร่งจะได้รับโอกาสได้ง่ายกว่าคนทั่วไป เช่นเดียวกับเวลานี้ มรดก์เป็สิ่งที่หลายคน้าได้รับ แต่การจะได้มรดกไปนั้นมันไม่ง่าย หลายคนที่มีพร์ปานกลางไม่อาจเข้าใกล้แดนมรดกนี้ พวกเขาเป็ได้เพียงผู้ชมเท่านั้น แต่สองพี่น้องฟู่เจินฟู่หยิงกลับได้รับการยอมรับโดยตรงจากแดนมรดก นี่คือช่องว่างระหว่างอัจฉริยะกับคนธรรมดา
ตอนนี้เองเซี่ยจวิ้นหลงและนักดาบแขนเดียวก็มาถึง สิ่งแรกที่พวกเขาทำก็คือ มองหาเย่เฟิงในกลุ่มฝูงชน แต่กลับไร้วี่แวว ทั้งคู่ประหลาดใจเล็กน้อย ด้วยความสามารถและนิสัยของเย่เฟิงแล้ว เขาน่าจะปรากฏตัวที่นี่เป็คนแรก แม้พวกเขาจะสงสัย แต่ก็ไม่คิดอะไรมาก พวกเขาเชื่อว่าเย่เฟิงคงมีเื่อะไรบางอย่างจึงมาช้า แต่เย่เฟิงคงไม่เป็อะไร บางทีอาจใกล้มาถึงที่นี่แล้วก็ได้
ที่โลกภายนอก เมื่อเห็นสองพี่น้องฟู่เจินและฟู่หยิงได้รับการยอมรับจากแดนมรดก ฟู่หยางก็ยิ้มกริ่มเต็มใบหน้า ดูภาคภูมิใจเป็อย่างมาก บุตรธิดาของเขาค่อย ๆ เผยความสามารถ ผู้เป็บิดาอย่างเขาก็ย่อมได้หน้าไปด้วย
“ศิษย์พี่ใหญ่ยินดีด้วย!” จี๋เหยียนที่อยู่ด้านข้างประสานมือกล่าวกับฟู่หยาง “พร์ของสองพี่น้องคู่นี้ช่างน่าประทับใจยิ่ง ได้รับการยอมรับจากแดนมรดกได้อย่างง่ายดาย ศิษย์พี่ใหญ่โชคดีมาก”
“อืม” ฟู่หยางพยักหน้า ร่างกายอาบด้วยรัศมีแห่งความภาคภูมิใจ “ลูก ๆ ของข้าอยู่ที่นี่ทั้งที การสืบทอดมรดกก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล”
เมื่อบุคคลระดับสูงของวังเทพโอสถไม่น้อยได้ฟังคำพูดของฟู่หยางต่างพากันพยักหน้า ฟู่เจินเป็เด็กหนุ่มที่โดดเด่นเหลือเกิน พร์ของเขาเหนือชั้นกว่าคนทั่วไป หากเป็ไปได้ พวกเขาอยากจะผลักดันฟู่เจินให้กลายเป็ผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขของวังคนถัดไป
“พี่แขนเดียว พวกเราไปดูมรดก์ในแดนลับยอดเขาเทพโอสถกันไหม” เซี่ยจวิ้นหลงกล่าวกับนักดาบแขนเดียวที่อยู่ใกล้ ๆ พร้อมรอยยิ้ม แม้เขาจะเติบโตมาในวังเทพโอสถ แต่ความจริงแล้วเขาไม่ได้สนใจวิถีโอสถเลย แต่ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็อยากลองดูสักหน่อย
“ก็ดีเหมือนกัน!” นักดาบแขนเดียวพยักหน้าอย่างไม่ลังเล ตัวเขาเองก็คิดเหมือนเซี่ยจวิ้นหลง อยากจะเห็นว่ามรดกมีหน้าตาเป็อย่างไร?
จากนั้นทั้งสองคนมุ่งหน้าไปที่แดนมรดกด้วยกัน ฉากนี้ทำให้ผู้คนตะลึงเล็กน้อย เมื่อเป็เซี่ยจวิ้นหลง พวกเขาก็ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์อะไร ศิษย์วังเทพโอสถย่อมมีความใกล้ชิดกับพลังมรดกในแดนลับเป็ธรรมดา แต่ชายแขนเดียวคนนั้นเป็ใคร? เหตุใดถึงกล้าเข้าไปในแดนมรดก? พวกเขาได้แต่คิดในใจ ไม่กล้าแสดงออกมา แต่สายตาจับจ้องไปที่สองคนนั้นเงียบ ๆ
แดนมรดกทั้งเก้าส่วน แต่ละส่วนสามารถรองรับคนหลายคนในเวลาเดียวกันได้ นักดาบแขนเดียวกับเซี่ยจวิ้นหลงไม่ได้เลือกแดนมรดกที่สองพี่น้องฟู่เจินฟู่หยิงอยู่ แต่เลือกแดนมรดกส่วนหนึ่งที่ยังไม่มีใครแทน
“วิ้ง!” ทันใดนั้นพลังประหลาดสองสายเข้ามาห่อหุ้มร่างทั้งสองคน แต่เซี่ยจวิ้นหลงเดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเป็ปกติ ราวกับว่าไม่ได้รับผลกระทบจากพลังประหลาดนั่น ทุกย่างก้าวราวกับมีท่วงทำนองพิเศษ จำต้องบอกว่าพร์ของเซี่ยจวิ้นหลงไม่ได้ด้อยไปกว่าฟู่เจินเลย เพียงแต่เซี่ยชิงซานมีสถานะอ่อนแอในวังเทพโอสถ เซี่ยจวิ้นหลงจึงไม่ได้รับความสนใจเหมือนฟู่เจิน
เมื่อเซี่ยจวิ้นหลงเดินเข้าไปในแดนมรดก จู่ ๆ แสงสืบทอดก็ห่อหุ้มร่างกายของเขา จากนั้นเซี่ยจวิ้นหลงค่อย ๆ หลับตาทั้งสองข้างเพื่อเข้าสู่ห้วงสมาธิ
ฉากนี้สร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนอีกครั้งและคิดในใจว่า “สมแล้วที่เซี่ยจวิ้นหลงเป็ศิษย์วังเทพโอสถ สติปัญญาไม่ได้ด้อยไปกว่าฟู่เจินเลย”
นักดาบแขนเดียวขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาััได้ถึงพลังประหลาดที่พลุ่งพล่านอยู่รอบกาย จากนั้นก็ค่อย ๆ ปิดตาลง คล้ายกับรับรู้อะไรบางอย่าง ผ่านไปสักพัก แสงประหลาดที่ล้อมรอบตัวนักดาบแขนเดียวก็ค่อย ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงราวกับว่าเริ่มใกล้ชิดกับเขามากขึ้น เมื่อลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาดูเป็ประกายขึ้นมา จากนั้นเขาก้าวออกไป แม้แต่พลังประหลาดที่ปกคลุมร่างกายก็ไม่อาจหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของเขาได้
ย่างก้าวของนักดาบแขนเดียวเริ่มมั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ ความสามารถในการปรับตัวของเขาแข็งแกร่งมากราวกับว่าสามารถปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์ได้ เพียงไม่กี่ลมหายใจ จากนั้นนักดาบแขนเดียวก้าวเข้าสู่แดนมรดก
“พร์ของชายผู้นั้นแข็งแกร่งขนาดนี้เชียวหรือ?” เมื่อเห็นนักดาบแขนเดียวถูกปกคลุมไปด้วยแสงแห่งการสืบทอด ทุกคนต่างก็ใไปชั่วขณะ ไม่คาดคิดว่านักดาบแขนเดียวจะมีพร์ขนาดนี้ คนที่เข้ามาในแดนลับได้ล้วนแล้วแต่เป็เสือหมอบัซ่อนทั้งสิ้น แม้จะไม่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่กลับมีพร์สะท้านฟ้า
การที่นักดาบแขนเดียวเดินเข้าไปด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย ก็ได้สร้างความอิจฉาตาร้อนให้กับคนเป็จำนวนมาก คนบางส่วนทยอยเดินเข้าไปบ้างแล้ว ทว่าคนหลายสิบคนกลับไม่มีใครสักคนที่ทำสำเร็จ และฉากดังกล่าวก็เกิดขึ้นอยู่หลายครั้ง
นี่จ้านเทียนกับอี้ชิงเดินออกมาจากส่วนสองพร้อมกัน ราวกับใจตรงกันก็ไม่ปาน ขณะที่เดินออกมา ทั้งสองต่างก็สบตากันเล็กน้อย ก่อนจะเห็นประกายไฟแล่นออกมาจากดวงตาของอีกฝ่าย พวกเขาสองคนมาจากคนละสำนัก และเป็อัจฉริยะที่โดดเด่นในสำนักของตัวเอง บัดนี้พวกเขามารวมตัวกันเพื่อแย่งชิงมรดกในแดนลับ จึงเป็ธรรมดาที่พวกเขาจะแข่งขันกัน แต่ทั้งสองคนก็เข้าใจดีว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่พวกเขาจะมาแข่งขันกันเอง ผู้ที่ได้รับมรดกจึงจะเป็ผู้ชนะคนสุดท้าย
ทั้งสองต่างมีพร์ไม่ธรรมดา แม้ไม่เคยััวิถีโอสถมาก่อน แต่ทักษะความเข้าใจนั้นสูงมาก กระทั่งความเร็วตอนเข้าแดนมรดกยังเร็วกว่านักดาบแขนเดียวและเซี่ยจวิ้นหลงหลายเท่า แต่สุดท้ายนี่จ้านเทียนเลือกแดนมรดกลำดับที่หนึ่ง ส่วนอี้ชิงเลือกแดนมรดกเดียวกับเซี่ยจวิ้นหลง
แดนมรดกเวลานี้เริ่มไม่สงบมากขึ้น ผู้ฝึกยุทธ์นับไม่ถ้วนต่างพากันเดินเข้ามา พวกเขาจ้องมองแดนมรดกด้วยแววตาที่ตื่นเต้น เพียงพริบตาแดนมรดกทั้งเก้าแห่งกลายเป็จุดสนใจของทุกคน หลายคนไม่อยากละทิ้งโอกาสจึงพยายามเข้าไป แต่มีเพียงไม่กี่คนที่ได้รับการยอมรับจากแดนมรดกเหมือนคนก่อนหน้า
ผ่านมาครึ่งวันก็มีเพียงสองคนที่ทำได้ สองคนนั้นคืออัจฉริยะของกองกำลังจากเมืองหลวง เป็คนรุ่นเยาว์ผู้มีสติปัญญาล้ำเลิศ ที่สำคัญคือ พวกเขามีชะตาที่ไม่เลว และมีวงแหวนชะตาหุ้มร่าง นี่เป็สิ่งสำคัญที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ จึงได้สร้างความอิจฉาให้กับทุกคนเป็อย่างมาก กล่าวได้ว่าทุกอย่างในแดนลับล้วนต้องอาศัยชะตา แม้แดนมรดกจะปรากฏอยู่ตรงหน้า แต่หากมีชะตาไม่พอ ต่อให้มีพร์แข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่ได้รับการยอมรับจากแดนมรดกอยู่ดี
เย่เฟิงไม่รู้เื่พวกนี้ ตอนนี้เขายังอยู่ในถ้ำ ธาตุไฟที่นี่รุนแรงอย่างมาก แต่เย่เฟิงแช่อยู่ในนั้นเป็เวลานาน จนเขารู้สึกว่าความเข้าใจของตัวเองที่มีต่อธาตุไฟนั้นเหมือนจะลึกซึ้งมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงไม่อยากเสียโอกาสนี้ไป อย่างไรเสีย่เวลาเรียนรู้เป็สิ่งที่หาได้ยากยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงเลือกบ่มเพาะอยู่ที่นี่
เย่เฟิงนั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับมรดกของวังเทพโอสถเหมือนคนอื่น ๆ ตราบใดที่เป็ประโยชน์ต่อเขา เขาก็สามารถบ่มเพาะในทุกที่ได้ บัดนี้ความเข้าใจของเขาที่เกี่ยวกับธาตุไฟในถ้ำมีความคืบหน้าเล็กน้อย เย่เฟิงจึงไม่อยากไปจากที่นี่ในเร็ว ๆ นี้
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ร่างกายของเย่เฟิงผสานเข้ากับธาตุไฟได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเขาเรียนรู้อำนาจฟ้าดิน ทำให้ร่างกายประสานกับจังหวะไหลเวียนของฟ้าดินได้ ความเข้าใจของเขาจึงเร็วกว่าคนธรรมดาหลายเท่า เขานั่งขัดสมาธิอย่างเงียบ ๆ โดยร่างกายนิ่งไม่ไหวติง แต่ภายในร่างกายกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าใ ธาตุไฟแทรกซึมเข้าไปในทุกอณูรูขุมขนของเย่เฟิง และหลอมรวมเข้ากับเส้นชีพจรของเขา
ขั้นตอนนี้จะสร้างความเ็ปเป็อย่างมาก แต่สำหรับเย่เฟิงที่ฝึกทักษะหล่อิญญาและทักษะหล่อกายาเทพา ความเ็ปดังกล่าวเป็เื่ที่สามารถทนได้ ดังนั้นเย่เฟิงจึงกัดฟันทน ปล่อยให้ธาตุไฟผสานเข้ากับเส้นชีพจร มันไหลเวียนไปตามเส้นชีพจรในร่างกาย และค่อย ๆ หลอมรวมเข้ากับร่างกาย ทำให้ร่างกายของเขามีคุณสมบัติธาตุไฟ
ผ่านไปสักพัก เย่เฟิงรู้สึกได้ว่าธาตุไฟที่อยู่ในร่างกายค่อย ๆ ถึงจุดอิ่มตัว จนไม่สามารถไปต่อได้ เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พร้อมมีแสงเปลวเพลิงส่องสว่างในดวงตา ทั่วทั้งร่างราวกับมีกลิ่นอายแห่งไฟลุกโชน จากนั้นเย่เฟิงประสานมือ อัดพลังหยวนใส่ฝ่ามือ จากปราณอันร้อนระอุค่อย ๆ เปลี่ยนเป็เปลวเพลิงที่แท้จริง อากาศสีแดงฉานราวกับถูกเผาไหม้ อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้น
“ย้าก!” เย่เฟิงะโออกมา ทันใดนั้นเปลวเพลิงที่ลุกโชนกลางฝ่ามือก็พุ่งไปกระแทกเข้ากับก้อนหินั์ภายในถ้ำ
“ฟู่ว!” เปลวเพลิงที่น่ากลัวแผดเผาทุกสิ่ง พริบตาเดียวก้อนหินั์ก็ค่อย ๆ ละลายภายใต้เปลวเพลิงทั้งสองสาย และกลายเป็ลาวาสีแดงเพลิงไหลออกมา
“ทรงพลังมาก!” เมื่อเย่เฟิงเห็นฉากนี้ก็อดใไม่ได้ การโจมตีของธาตุไฟนั้นช่างน่ากลัวจริง ๆ หากโจมตีผู้ฝึกยุทธ์ด้วยธาตุไฟเมื่อครู่ ต่อให้เป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งแค่ไหน ก็อาจจะถูกกำจัดได้ภายในพริบตา
“ตึง!” ขณะเดียวกัน ไข่มุกในร่างของเย่เฟิงก็เกิดปฏิกิริยาขึ้นมา ทำให้เย่เฟิงตาลุกวาว
“หรือว่าไข่มุกนี้้าจะกลืนกินธาตุไฟ?” เมื่อคิดได้เช่นนั้น เย่เฟิงก็ปล่อยพลังจิตสื่อสารกับไข่มุกทันที บนผิวของไข่มุกเกิดประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ พลังกลืนกินอันแข็งแกร่งถูกปลดปล่อย ก่อนจะกลืนกินธาตุไฟอย่างบ้าคลั่ง
