ภายใต้สายตาจับจ้องจากทุกคน มู่เฟิงได้ะโลงจากแท่นประลองและเดินเข้าไปหามู่ลี่ เมื่ออีกฝ่ายเห็นดังนั้นก็รีบถอยหลังออกไปสองสามก้าวทันที แม้แต่มู่อวี่ซึ่งเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับจื่อฝู่ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่เฟิง ดังนั้นตัวเขาจะนับเป็อะไรได้ มู่ลี่ยังจดจำ่เวลาที่มู่เฟิงทุบตีเขาจนต้องนอนพักรักษาตัวเป็เวลาครึ่งเดือนได้อย่างชัดเจน
นอกจากนี้ด้านข้างของมู่ลี่ยังมีเด็กหนุ่มอยู่อีกคนหนึ่ง เด็กหนุ่มผู้นั้นก็คือมู่ชาง ในตอนนี้สายตาของมู่ชางกำลังเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาตระหนักได้เป็อย่างดีว่าไม่ควรจะเข้าไปยั่วยุอีกฝ่าย ด้วยความแข็งแกร่งของตนเองในตอนนี้ หากตกอยู่ในเงื้อมมือของมู่เฟิง เขาจะสามารถทำอะไรได้
“เ้า เ้าคิดจะทำอะไร”
มู่ลี่ผงะถอยด้วยความใ มู่เฟิงยังคงก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะคว้าคอเสื้อของมู่ลี่และกระชากเข้ามาใกล้ จากนั้นเขาได้กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเ็าว่า “นี่จะเป็ครั้งสุดท้าย หากมีคราวหน้า ข้าคงไม่รับประกันว่าจะยังเห็นแก่หน้าท่านลุงไห่อีกหรือไม่”
ในขณะที่มู่เฟิงกล่าวคำนี้ ั์ตาของเขาได้ทอประกายสีโลหิตออกมา กระทั่งรังสีสังหารยังเอ่อล้น ส่งผลให้สีหน้าของมู่ลี่พลันซีดเผือดลงด้วยความใ ก่อนจะพยายามตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้านว่า “ขะ ข้าขออภัย ข้าผิดไปแล้ว”
“ฮึ!”
มู่เฟิงพ่นลมหายใจออกมาอย่างเ็า เขาปล่อยคอเสื้อของมู่ลี่ ก่อนจะกวาดตามองบรรดาคนรุ่นเยาว์ในตระกูลมู่ เวลานี้ไม่มีใครกล้าสบมองดวงตาอันเฉียบคมของเด็กหนุ่มเลยสักคน
หาก้าที่จะยืนหยัดอยู่บนโลกใบนี้ ย่อมต้องทำตัวให้แข็งแกร่งและมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวเหนือผู้อื่น!
“ทำให้ทุกท่านต้องมาเห็นเื่น่าขบขันแล้ว”
มู่เฟิงกำหมัดก่อนจะค้อมศีรษะไปทางฝูงชนเพื่อเป็การขออภัย จากนั้นเขาก็เดินนำมู่ขวง ไป๋จื่อเย่วและมู่หลานจากไป โดยที่เหล่าฝูงชนได้แหวกทางให้พวกเขาในทันที
ในห้องใต้หลังคาไม่ไกลจากลานประลอง ชายวัยกลางคนและชายชรากำลังเฝ้ามองสถานการณ์ทั้งหมดอยู่ภายในห้องนี้
“เหตุใดเสียงหมัดทะลวงลมปราณของเขาถึงได้ดังขึ้นถึงสิบสองครั้ง เขาฝึกไปถึงขั้นนั้นได้อย่างไร ต่อให้เป็หมัดทะลวงลมปราณที่สมบูรณ์แบบที่สุดก็มีเสียงดังเพียงเก้าเสียงไม่ใช่หรือ?”
มู่ไห่ขมวดคิ้วมุ่น
“เสียงหมัดทะลวงลมปราณนั้นจะส่งเสียงดังตามจำนวนจุดลมปราณที่พลังปราณไหลผ่าน การที่มีเสียงดังขึ้นสิบสองครั้ง หรือว่าคุณชายมู่เฟิงจะสามารถทวงผ่านเส้นลมปราณได้ทั้งสิบสองจุดแล้ว!”
ลุงฝูกล่าวด้วยใบหน้าตกตะลึง
“เส้นลมปราณสิบสองจุด! จะเป็ไปได้อย่างไร ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีวิธีที่จะสามารถเปิดเส้นลมปราณทั้งสิบสองจุดได้!”
มู่ไห่อุทานออกมาอย่างคาดไม่ถึง
“ตาเฒ่าอย่างข้าก็เพียงแค่คาดเดาเท่านั้นขอรับ อาจเป็ผลจากสาเหตุอื่น แต่เื่หนึ่งที่แน่ชัดในตอนนี้คือเส้นลมปราณของคุณชายเฟิงไม่ได้ถูกทำลาย ดูเหมือนว่าทางตระกูลหลักคงจงใจปล่อยข่าวลือนี้ออกมาเพื่อปกป้องคุณชายเฟิงขอรับ”
ลุงฝูกล่าวไปตามความคิดของตน
“อืม คงเป็เช่นนั้น ว่าแต่ไม่มีข่าวคราวเื่สินค้าที่ถูกปล้นไปเลยหรือ?”
มู่ไห่เอ่ยถามขึ้น
“ไอหยา ยังไม่มีข่าวคราวเลยขอรับ”
ลุงฝูถอนหายใจออกมาพร้อมกับส่ายหน้า ก่อนจะกล่าวต่อว่า “สถานที่เกิดเหตุถูกเก็บกวาดจนสะอาดหมดจน ไม่หลงเหลือร่องรอยใดให้ตามสืบได้เลยขอรับ ส่วนคนของเราที่ถูกสังหารนั้นก็ล้วนเป็การลงมือในครั้งเดียวแบบไม่ทันได้ตั้งตัวขอรับ”
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี? ไม่ได้การแล้ว หรือเราจะทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากตระกูลหลัก”
มู่ไห่ถอนหายใจ
“เกรงว่าเวลานี้ทางตระกูลหลักอาจจะกำลังเผชิญกับวิกฤติทางการเงินเช่นกันขอรับ หากเราเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ ข้าเกรงว่า... พวกเราส่งคนไปตรวจสอบอีกครั้งเถอะขอรับ”
ลุงฝูส่ายหน้า จากนั้นคนทั้งคู่ก็ได้เดินจากไป
“ฮ่าๆ พี่เฟิง ครั้งนี้ถือว่าท่านช่วยระบายความโกรธให้ข้าแล้ว สำหรับเ้าเด็กนั่น ข้าเองก็อยากจะทุบตีเขาด้วยมือของข้าเองเสียหน่อย”
มู่ขวงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
“ถูกต้อง เ้าคนที่ชื่อมู่ลี่อะไรนั่นทำให้ข้าหงุดหงิดนัก นอกจากเขาจะไม่เอาถ่านแล้ว จิตใจยังคับแคบอีกต่างหาก”
ไป๋จื่อเยว่กล่าวเสริมขึ้นในทันที
“คนแบบเขาบนโลกนี้ยังมีอีกมาก หากพบเจอคนเช่นนี้ไม่จำเป็ต้องใช้เหตุผล เพียงใช้หมัดตัดสินก็พอแล้ว เอาละ พวกเราไปฝึกฝนกันต่อเถอะ ส่วนเ้าจื่อเยว่ เ้ามากับข้าก่อน”
หลังมู่เฟิงกล่าวจบ มู่ขวงก็เดินกลับไปยังเรือนพักของตนเพื่อทำการฝึกฝนต่อในขณะที่ไป๋จื่อเยว่ได้เดินตามมู่เฟิงไป
“ทักษะวิชาหมัดนี้ รวมถึงเส้นลมปราณของเ้านั้นถือว่าได้เปรียบผู้อื่นเป็อย่างมาก แม้จะเป็เพียงวิชาหมัดระดับธาตุทองขั้นต่ำ แต่กลับสามารถเอาชนะวิชาหมัดระดับธาตุทองขั้นสูงของผู้อื่นได้ นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว ในเมื่อตอนนี้เ้าทะลวงขึ้นสู่ระดับจื่อฝู่ได้แล้ว เช่นนั้นเ้าก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะฝึกทักษะพลังปราณระดับนิลกาฬได้ ภายในหยกเทพชูร่านั้นมีวิชาหมัดระดับนิลกาฬขั้นสูงวิชาหนึ่งเรียกว่าะเิหมัดเก้าเพลิงสุริยา การะเิพลังของมันคล้ายคลึงกับหมัดทะลวงลมปราณ ซึ่งเหมาะสมกับเ้ามาก”
เสียงของซีเยว่ดังขึ้นในห้วงความคิดของมู่เฟิง
“อืม ข้าทราบแล้ว แต่ตอนนี้ข้าไม่ได้รีบร้อนจะฝึกทักษะพลังปราณ ซีเยว่ข้า้าศึกษารูปแบบลายเส้น เ้าช่วยสอนข้าได้หรือไม่?”
มู่เฟิงเอ่ยถามกลับ เวลานี้ตระกูลมู่กำลังประสบปัญหาวิกฤติด้านการเงิน ดังนั้นเขาจึง้าช่วยเหลือตระกูล
“แน่นอนว่าย่อมได้ แต่หากเ้า้าจะเรียนรู้ เ้าจำเป็ต้องซื้อกระดาษหนังสัตว์มาจำนวนหนึ่งเสียก่อน กระดาษธรรมดาทั่วไปไม่อาจแบกรับพลังจากมีดแกะสลักและน้ำหนักของลายเส้นได้”
ซีเยว่กล่าว
มู่เฟิงพยักหน้าทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น เด็กหนุ่มพาไป๋จื่อเยว่กลับมายังเรือนพักของตัวเอง ก่อนจะพาอีกฝ่ายเข้าสู่ห้องลับ
“พี่เฟิง ท่านมีสิ่งใดจะบอกกล่าวกับข้างั้นหรือ?”
ไป๋จื่อเยว่เอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“จื่อเยว่ ข้ามีเคล็ดวิชาการฝึกวรยุทธ์ระดับสูงวิชาหนึ่งซึ่งเหมาะกับเ้ามาก แต่เ้าต้องสาบานก่อนว่าจะไม่แพร่งพรายเื่นี้ออกไปเด็ดขาด"
มู่เฟิงกล่าวอย่างจริงจัง
“หา อ้อ ได้ขอรับ”
ไป๋จื่อเยว่สาบานในทันทีโดยไม่นึกลังเลแม้แต่น้อย
จากนั้นมู่เฟิงได้นำพู่กันด้ามหนึ่งออกมา ก่อนจะเริ่มเขียนหมึกลงไปบนม้วนกระดาษ เขาใช้เวลาราวครึ่งชั่วยามในการเขียนวิธีการฝึกที่อยู่ภายในหัวของเขาออกมา
เคล็ดวิชาระดับโลกา เคล็ดจิติญญากลืนเจ็ดดารา!
นี่คือเคล็ดวิชาระดับสูงที่สามารถดูดซับได้กระทั่งพลังของดวงดาวบนท้องนภา!
ลำพังเพียงชื่อของเคล็ดวิชาก็สามารถทำให้ไป๋จื่อเยว่ตกตะลึงได้แล้ว นอกจากนี้ด้านล่างยังมีรายละเอียดของทักษะวิชาอยู่อีก
มู่เฟิงม้วนกระดาษแผ่นนั้นก่อนจะมอบมันให้กับไป๋จื่อเยว่ พร้อมกล่าวอย่างจริงจังต่อว่า “หลังจากจดจำมันได้แล้วให้ทำลายมันทิ้งเสีย”
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ขอบคุณพี่เฟิง…”
ดวงตาของไป๋จื่อเยว่ทอประกาย แน่นอนว่าหลังจากที่เขาได้เลือกเส้นทางการฝึกยุทธ์ เขาย่อมมีข้อมูลเกี่ยวกับการฝึกอยู่ในหัวบ้างแล้ว ดังนั้นเขาจึงทราบดีว่าเคล็ดวิชาระดับโลกานั้นคืออะไร และการที่มู่เฟิงยินดีมอบของสิ่งนี้ให้กับเขา นั่นแสดงว่าอีกฝ่ายเชื่อใจเขามาก สิ่งนี้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกซาบซึ้งใจเป็อย่างยิ่ง
“เ้าถือเป็พี่น้องของข้า สิ่งใดที่ข้าสามารถช่วยเ้าได้ ข้าย่อมยินดีช่วยเหลือเป็ธรรมดา เอาละ เ้าไปฝึกต่อเถอะ”
มู่เฟิงตบลงบนบ่าของไป๋จื่อเยว่
ไป๋จื่อเยว่เช็ดน้ำตาของตัวเองก่อนจะพยักหน้า
‘พี่เฟิง สำหรับบุญคุณนี้ของท่าน ข้าจื่อเยว่ยินดีจะมอบชีวิตทั้งหมดของข้าให้แก่ท่าน...’
ไป๋จื่อเยว่ครุ่นคิดกับตัวเองในใจ จากนั้นเขาได้รับเอาม้วนกระดาษมาก่อนจะเดินจากไป
หลังจากนั้นมู่เฟิงก็ได้เขียนทักษะกำลังขาเพิ่มอีกหนึ่งวิชา นั่นคือวิชาร่างขาเงาผีเสื้อ เขา้าจะมอบของสิ่งนี้ให้กับมู่หลาน เมื่อเสร็จแล้วเด็กหนุ่มก็เดินมุ่งหน้าออกจากจวนตระกูลมู่เพื่อไปยังแหล่งการค้าของเมืองอันหนาน เขา้าหาซื้อกระดาษหนังสัตว์และหมึกชั้นดีสำหรับใช้ในการเรียนรู้รูปแบบลายเส้น
มู่เฟิงมุ่งหน้าไปตามทางเดินภายในเมืองอันหนานเพียงลำพัง เวลานี้บนท้องถนนกำลังพลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่กำลังสัญจรไปมา การมาในครั้งนี้เด็กหนุ่มได้วางแผนจะนำของมาขายเพื่อหารายได้ด้วย
ร้านว่านเป่า!
สถานที่แห่งนี้คือร้านค้าขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองอันหนาน ร้านแห่งนี้เป็อาคารโบราณสูงห้าชั้น ไม่ว่าจะเป็อาวุธ เครื่องมือ ยาอายุวัฒนะหรือวัตถุดิบสมุนไพรล้วนสามารถหาซื้อได้จากที่แห่งนี้ทั้งสิ้น
มู่เฟิงกวาดตามองโดยรอบ ก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน เด็กหนุ่มเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ที่มีสตรีในชุดคลุมสีเหลืองใบหน้าประดับรอยยิ้ม กำลังเตรียมพร้อมที่จะให้บริการอย่างมืออาชีพอยู่ “คุณชายท่านนี้ ไม่ทราบว่า้าสิ่งใดหรือเ้าคะ?”
“ข้ามีวัตถุดิบจากสัตว์้าขาย ไปตามเถ้าแก่ร้านของพวกเ้าออกมาเถอะ”
มู่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หาก้าขายวัตถุดิบจากสัตว์ เื่นี้ไม่จำเป็ต้องถึงเถ้าแก่ของพวกเราหรอกเ้าค่ะ ข้าสามารถจัดการให้ท่านได้ ไม่ทราบว่าท่าน้าจะขายสิ่งใดหรือเ้าคะ?”
สตรีในชุดคลุมสีเหลืองไม่คิดว่าเด็กหนุ่มอย่างมู่เฟิงจะมีของล้ำค่าอันใด ดังนั้นทัศนคติในการบริการของนางจึงลดลงเล็กน้อย
หลังได้ยินดังนั้นมู่เฟิงเพียงยิ้มบาง ฉับพลันนั้นแสงสีขาวพลันส่องสว่างขึ้นบนมือของเขา พร้อมกับถุงหนังสัตว์ที่ปรากฏขึ้นในมือ
“แหวนเฉียนคุน!”
สตรีผู้นั้นเผลออุทานออกมา ท่าทีแข็งกระด้างในคราแรกพลันเปลี่ยนเป็นอบน้อมลงในทันที บุคคลที่มีแหวนเฉียนคุนราคาแพงอยู่ในเช่นนี้ ไม่ใช่คนที่ผู้ช่วยตำแหน่งเล็กๆ ในร้านแบบนางจะสามารถสร้างความขุ่นเคืองให้แก่อีกฝ่ายได้
มู่เฟิงเปิดถุงหนังสัตว์ขนาดเท่าฝ่ามือออก จากนั้นผลึกอสูรสามก้อนก็ได้ปรากฏออกมาสู่สาธารณะ เมื่อเห็นสิ่งนี้สตรีผู้นั้นก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
จากนั้นมู่เฟิงได้นำถุงหนังสัตว์ใบใหญ่ออกมาอีกหนึ่งใบ ก่อนจะเทไข่อสูรสีครามที่อยู่ภายในถุงออกมาสองฟอง ฉับพลันนั้นกลิ่นอายพลังปราณอันแข็งแกร่งก็ได้แผ่ออกมาในทันที
“เอ่อ ไข่อสูรนี้คือ... เอ่อ ต้องขออภัยคุณชายด้วยนะเ้าคะ ข้าจะรีบไปเชิญเถ้าแก่ร้านมาเดี๋ยวนี้”
สีหน้าของสตรีผู้นั้นพลันเปลี่ยนเป็เคร่งขรึม จากนั้นนางได้รีบกล่าวขออภัย ก่อนจะเดินออกจากเคาน์เตอร์ไปกระซิบบอกบางอย่างกับสตรีในชุดคลุมสีเหลืองอีกคน เพียงไม่นานสตรีผู้นั้นก็รีบร้อนออกไปเชิญเถ้าแก่ร้านมาในทันที