ข่าวที่โหยวเสี่ยวโม่หลอมยาได้เต็มร้อยนั้นไม่ได้รั่วไหลออกไป
คนพวกนั้นแม้จะทึ่งอยู่ไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่อยากเชื่อ พวกเขานึกว่าโหยวเสี่ยวโม่เพียงแค่ดวงดีเท่านั้น อีกทั้งโอกาสสำเร็จในการหลอมยาเซียนตันขั้นล่างนั้นสูงกว่าขั้นกลางและขั้นสูงอยู่แล้ว ดังนั้นเหตุการณ์เช่นนี้ก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้
ทว่าพวกเขาส่วนมากยังคงอิจฉาริษยาโหยวเสี่ยวโม่
เพราะพวกเขาไม่เคยดวงดีเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นพูดให้ถูกก็คือมีจิตอกุศล
แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่า ความคิดเช่นนี้ตรงใจโหยวเสี่ยวพอดี เพราะเขายินดีมากถ้าข่าวไม่รั่วออกไป
อีกด้านหลังจากที่โหยวเสี่ยวโม่ลากจ้าวต๋าตันออกไปแล้ว ก็เล่าเื่หญ้าเซียนให้เขาฟัง จ้าวต๋าตันได้ยินว่าตัวเองเกือบทำให้พ่อซวย ก็ตกอกใ พลันไม่กล้าพูดไปเรื่อยอีกแล้ว
แต่พอใเช่นนี้ ก็ทำให้นึกเื่หนึ่งขึ้นมาได้
จ้าวต๋าตันมองหน้าโหยวเสี่ยวโม่ สีหน้าคัดค้านแล้วเอ่ย “ศิษย์น้องเจ็ด ข้าได้ยินเื่นั้นแล้ว ก่อนหน้านี้ก็บอกกับเ้าแล้ว หากเ้ายอมให้ข้าช่วยแต่แรกล่ะก็ เ้าก็คงไม่ต้องถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเช่นนี้ ตอนนี้เป็ไงล่ะ ถึงข้าอยากช่วยก็ทำอะไรไม่ได้ อาจารย์นั้นกำหนดรายชื่อศิษย์ทั้งห้าคนเรียบร้อยแล้ว”
โหยวเสี่ยวโม่ฟังจนถึงตอนท้าย ถึงรู้ว่าเขาพูดเื่อะไรอยู่
เขานึกขึ้นได้แล้ว ตอนเช้าที่ออกมา ศิษย์พี่หยางที่อยู่ข้างห้องเขาบอกว่า เมื่อวานตอนเช้าจ้าวต๋าตันมาหาเขา แต่ตอนนั้นเขากำลังเก็บตัวหลอมยาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเขามา
ที่ศิษย์พี่ห้ามาหาเขาคงเพราะเื่นี้ แต่คำพูดปลอบโยนพวกนี้เขาฟังมาเยอะแล้ว ตอนนี้รู้แล้วว่าต้องรับมือยังไง
โหยวเสี่ยวโม่ยักไหล่เบาๆ อย่างทำอะไรไม่ได้ “ศิษย์พี่ห้า เื่นี้ข้ามีทางออกแล้ว ท่านไม่ต้องห่วงแทนข้าหรอก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จ้าวต๋าตันกลับขมวดคิ้ว “ศิษย์น้องเจ็ด ทางออกที่เ้าว่าคงเกี่ยวกับศิษย์เอกแขนงวรยุทธ์ หลินเซียวนั่นล่ะสิ?” เขาก็เคยได้ยินเื่ความสัมพันธ์ของทั้งสองคน
ถูกเผง!
โหยวเสี่ยวโม่เอะใจเล็กน้อยที่เขาคิดได้ แต่ก็ไม่ถึงกับแปลกใจ เพราะคนที่เขามีสัมพันธ์อันดีด้วยในสำนักเทียนซินก็มีไม่กี่คน อีกทั้งคนที่ช่วยเขาได้นั้น ใช้หัวแม่เท้าคิดก็คิดได้อยู่แล้วว่าคือใคร
จ้าวต๋าตันเห็นเขายิ้มแต่ไม่พูดอะไรออกมา ก็รู้ว่าตัวเองเดาถูกแล้ว คิ้วที่ขมวดอยู่แล้วก็ยิ่งลึกขึ้น เขาเป็คนที่เก็บงำคำพูดไม่อยู่ ท้ายสุดก็เผลอพูดออกมาว่า “ศิษย์น้องเจ็ด มีเื่นึงข้ารู้ว่าเ้าอาจไม่ชอบฟัง แต่ในฐานะที่ข้าเป็ศิษย์พี่ของเ้า ข้าคิดว่าจำเป็ต้องบอกกับเ้าให้รู้ไว้”
“ท่านว่ามาได้เลย” โหยวเสี่ยวโม่เห็นท่าทีจริงจังของเขา จึงไม่ได้ขัด
จ้าวต๋าตันเอ่ย “ศิษย์น้องเจ็ด ข้ารู้ว่าความสัมพันธ์ของเ้ากับหลินเซียวนั้นดีมาก แต่ข้ารู้สึกว่าหลินเซียวนั้นเป็คนประหลาด ไม่น่าคบหาจริงจัง”
เขารู้สึกว่า หลินเซียวเป็ยอดอัจฉริยะที่โดดเด่น ไม่มีเหตุผลที่ต้องสนใจคนธรรมดาทั่วไปอย่างศิษย์น้องเจ็ด ดังนั้นเขาจึงเป็ห่วงว่าหลินเซียวเข้าหาศิษย์น้องเจ็ดคงมีอะไรแอบแฝง เพราะเขาเองก็นึกไม่ออกว่าตกลงศิษย์น้องเจ็ดมีอะไรดีนักหนาถึงดึงดูดเขาได้
โหยวเสี่ยวโม่หัวเราะแล้วเอ่ยกับเขา “ศิษย์พี่ห้า ท่านไม่ต้องห่วงข้าหรอก ข้าจัดการได้”
คนที่อยากให้เขาออกห่างจากหลิงเซียวมีเยอะแยะ แต่จ้าวต๋าตันเป็คนแรกที่เป็ห่วงเขาถึงเตือนให้เขาออกห่างจากหลิงเซียว ความรู้สึกนี้ไม่เลวเลย เสียดายเพียงว่าเขาไม่อาจบอกเื่พวกเขาให้จ้าวต๋าตันรู้ได้ ดังนั้นจึงได้แต่ขอโทษ
จากที่จ้าวต๋าตันดู คำพูดนี้เหมือนพูดเป็พิธี แต่ก็ไม่ได้รู้สึกผิดหวัง เขารู้อยู่แล้วว่าลำพังคำพูดเดียวของเขาคงทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองยุติลงไม่ได้
ในความเป็จริง เมื่อครู่มีเื่หนึ่งที่เขาไม่กล้าเอ่ยกับโหยวเสี่ยวโม่
เื่นี้เกี่ยวข้องกับอาจารย์เขา เพราะพ่อของเขา ดังนั้นเขารู้แต่เนิ่นๆ แล้วว่ารายชื่อคนทั้งห้าถูกกำหนดไว้ั้แ่ต้น ประมาณเดือนที่แล้ว อาจารย์ไม่ได้ตั้งใจให้โอกาสเขาอยู่แล้ว เพราะไม่คิดว่าเขาจะเป็นักหลอมโอสถขั้นสามได้ทันเวลา
จ้าวต๋าตันรู้สึกว่าสิ่งที่อาจารย์ทำช่างไม่ยุติธรรม แม้ว่าศิษย์น้องเจ็ดจะทำตามข้อเสนอเขาไม่ได้ แต่ยังไงเสียก็เป็ลูกศิษย์เขาทั้งคน แม้จะรู้ว่าอาจารย์คงไม่อาจปฏิบัติกับศิษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียม แต่ก็ไม่ควรลำเอียงถึงเพียงนี้
ทั้งสองพูดคุยกันพักหนึ่ง โหยวเสี่ยวโม่จึงเอ่ยลาเขา ระหว่างทางกลับไปก็แวะหอคัมภีร์สักหน่อย คืนตำราแล้วยืมกลับมาอีกหลายเล่มค่อยกลับห้อง
หลายวันต่อมา ชีวิตของโหยวเสี่ยวโม่ผ่านไปอย่างสงบสุข ทุกวันนอกจากดูแลต้นหญ้าเซียนแล้ว ก็ฟังเื่ราวจากศิษย์พี่หยางห้องข้างๆ สำหรับเขาแล้ว ข่าวลือก็เป็สิ่งเดียวที่ทำได้ใน่การฝึกฝนอย่างน่าเบื่อเช่นนี้
คำโบราณว่าไว้ไม่ผิด บนโลกใบนี้ไม่มีมิตรและศัตรูที่ถาวร
ศิษย์พี่หยางข้างห้องที่เดิมทีไม่ค่อยชอบหน้าเขา แต่พอเวลาผ่านไป ทั้งสองก็เป็มิตรกันมากขึ้น ตอนนี้ ศิษย์พี่หยางข้างห้องก็จะมาหาเขาเพื่อพูดคุยบ้าง
และเพราะเขา โหยวเสี่ยวโม่จึงรับรู้เื่ราวมากมาย เดิมทีนิสัยเก็บตัวหมกแต่ในห้องของเขา รอเขารู้เื่ทุกอย่าง เื่ราวพวกนั้นคงจบไปนานแล้ว
โหยวเสี่ยวโม่คือผู้ภักดีต่อข่าวซุบซิบ ศิษย์พี่หยางนั้นทำหน้าที่อย่างเต็มที่ทุกครั้งที่เจอเขา นานวันเข้า เมื่อศิษย์พี่หยางรู้เื่อะไร ก็ต้องรีบมาหลอกล่อเขา แต่ท้ายสุดก็จะเล่าให้เขาฟัง
เหมือนกับวันนี้…
โหยวเสี่ยวโม่ที่ออกไปด้านนอกพึ่งกลับมาได้ชั่วครู่ ก็ถูกศิษย์พี่หยางดักไว้ก่อน ศิษย์พี่หยางเหมือนว่าจงใจยืนรอเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“ศิษย์พี่หยาง วันนี้ท่านมีข่าวอะไรน่าสนใจอีกงั้นเหรอ?” โหยวเสี่ยวโม่จ้องมองหยางอีที่ลากเขาไปยังศาลา ในศาลามีศิษย์พี่หลายคนนั่งอยู่ด้วย เป็พวกเดียวกับที่พักอยู่ด้วยกัน นับว่าเข้ากันได้กับเขา
ศิษย์พี่หลายคนเมื่อเห็นพวกเขามา ก็รีบเรียกพวกเขาไปนั่งด้วยกัน ราวกับกำลังรอพูดคุยข่าวลือ แต่ก็จริงตามนั้น เพราะคนที่รู้เื่ราวมากที่สุดเห็นจะเป็ศิษย์พี่หยาง
หยางอีถือจอกน้ำชาที่ศิษย์พี่คนหนึ่งรินให้เขา ค่อยๆ จิบเข้าไปหนึ่งอึก
นอกจากโหยวเสี่ยวโม่ ทุกคนต่างเบิกตากว้างจ้องมองเขา ทุกทีก็เป็เช่นนี้
หยางอีรับรู้ได้ถึงจิตใจที่บีบคั้นของพวกเขา จึงวางจอกชาลงช้าๆ เริ่มเอ่ย “วันนี้ข้าได้ข่าวลือชิ้นโตมา ทุกคนคงรู้ว่าแดน์วิมานอีกสิบวันก็จะเปิดแล้ว สำนักเทียนซินของเขาซึ่งเป็สำนักใหญ่อันดับหนึ่ง ได้สิทธิ์มาจำนวนไม่น้อย แขนงโอสถทั้งสามทัพล้วนได้สิทธิ์รายชื่อนั้น...”
พูดถึงรายชื่อสิทธิ์ทั้งสามทัพ คงมีศิษย์นั้นวาดหวังไม่น้อย เพราะทัพ์นั้นได้สิทธิ์มากกว่าอีกสองทัพนั้นถึงสองรายชื่อ แต่ก็ไม่แปลก เพราะความสามารถโดยรวมของทัพ์นั้นเหนือกว่า ทั้งยังร่ำรวยกว่า ทรัพยากรก็มากกว่า ดังนั้นจึงสามารถเลี้ยงดูศิษย์ที่เก่งกาจได้มากมาย
แต่ครั้งนี้หยางอีไม่ได้จะพูดถึงเื่นี้ เพราะเื่นี้ไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด แม้สองเดือนที่แล้วจะไม่ได้ประกาศออกมา พวกเขาก็พอเดาออก เพราะห้าสิบปีที่แล้วก็เป็เช่นนี้
ที่หยางอีจะเล่านั้นเกี่ยวกับศิษย์หนุ่มน้อยที่เด็กกว่ารุ่นหนึ่งของทัพ์คนหนึ่งต่างหาก นั่นก็คือศิษย์รุ่นสาม เหมือนโหยวเสี่ยวโม่ที่ยังเข้าร่วมสำนักได้ไม่ถึงสิบปี ล้วนนับว่าเป็ศิษย์รุ่นสาม
“หยางอี เื่สิทธิ์รายชื่อพวกข้ารู้มานานแล้ว เ้าพูดเื่นี้ทำไมกัน?” ศิษย์คนหนึ่งทนไม่ไหวขัดจังหวะพูดพล่ามของเขา
“อย่าใจร้อนนักซี่ นี่แค่เรียกน้ำย่อย จานหลักข้ายังไม่ได้พูดถึงเลย ฟังข้าพูดต่อเดี๋ยวก็รู้เอง” ในฐานะที่เป็ผู้หลงรักการปล่อยข่าวลือ เขารู้ว่าควรต้องมีหลักการยังไง ไม่งั้นเื่ราวคงน่าเบื่อตาย
โหยวเสี่ยวโม่มองพวกเขาอย่างสนุกสนาน อันที่จริงศิษย์พี่คนนี้ก็รู้ว่าเวลาที่หยางอีเล่าเื่มักเป็เช่นนี้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะขัดขึ้น เห็นได้ชัดว่าหยางอีวางหมากถูก
หยางอีเอ่ยต่อว่า “พวกเ้ายังจำการทดสอบนักหลอมโอสถสองเดือนกว่าที่แล้วได้หรือไม่?”
ศิษย์พี่คนนั้นรีบตอบรับ “จำได้อยู่แล้ว ข้าจำได้ว่าศิษย์ยอดคนของทัพ์ที่ชื่อเจียงหลิวนั้นพ่ายแพ้ให้กับศิษย์น้องโหยวต่อหน้าคนเยอะแยะ พวกเ้าไม่รู้แน่ว่า ตอนนั้นหน้าของพวกทัพ์หม่นหมองแค่ไหน หยางอี ที่เ้าจะพูดคงไม่ใช่เื่นี้หรอกนะ?”
โหยวเสี่ยวโม่คิ้วตกทันใด หลังจากการทดสอบนั่น ไม่กี่วันจากนั้นเขาก็ลงเขากับหลิงเซียว ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าการทดสอบส่งผลกระทบอะไรบ้าง เมื่อเขากลับมาก็ดูเหมือนประเด็นนั้นจะจบไปแล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจ
“ไม่ใช่ๆ!” หยางอียิ้มกริ่มยกนิ้วขึ้นโยกไปมา “ที่ข้าจะพูดคือเื่ราวหลังจากนั้น วันนั้นศิษย์ทัพ์ทดสอบเสร็จก็กลับไปหมด แต่ที่ข้ารู้มาคือ ศิษย์คนเก่งเจียงหลิวนั่น หลังจากนั้นก็เก็บตัวเหมือนศิษย์น้องโหยว คงเพราะรู้สึกแย่”
พูดถึงเก็บตัว หยางอีก็แอบชำเลืองมาทางโหยวเสี่ยวโม่
โหยวเสี่ยวโม่เก้อเขิน ชาติที่แล้วเขาก็เป็พวกชอบเก็บตัว อยู่แต่ในคอนโดไม่ออกไปไหน ดังนั้นชาตินี้เขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับการเก็บตัว แต่คิดไม่ถึงว่าในสายตาศิษย์พี่ศิษย์น้อง กลับกลายเป็พวกขยันตัวเป็เกลียว
เมื่อได้ยินคำพูดตอนท้ายของหยางอี ศิษย์หลายคนก็หัวเราะขึ้น
รู้สึกแย่เพราะอะไรไม่ต้องพูดก็คงเดากันได้ การทดสอบครั้งนั้นนับเป็ครั้งแรกที่ทัพ์รู้สึกเสียหน้า ตอนนี้มานึกย้อนดู พวกเขาก็ยังคงรู้สึกสะใจไม่น้อย
หยางอีหัวเราะ แล้วเอ่ยต่อ “ทัพ์ก็คงรู้สึกขายหน้าเช่นเดียวกัน จากนั้นก็เริ่มลงแรงฝึกฝนเคี่ยวเข็ญศิษย์รุ่นสามกันใหญ่ โดยมีเจียงหลิวเป็หลัก เพราะเขาเป็ศิษย์สายตรงของผู้นำทัพพิภพ เพื่อให้เขาเก่งกาจมากขึ้น ผู้นำอนุญาตให้เขาใช้หญ้าเซียนได้ไม่จำกัด ไม่เหมือนพวกเรา รับได้แค่วันละสามสิบต้น”
ประโยคท้ายสุด น้ำเสียงหยางอีก็มีความละเหี่ยใจปนอยู่บ้าง
รอยยิ้มของศิษย์พี่ทั้งหลายก็หายไป เปลี่ยนเป็ความอิจฉาขึ้นมาแทนที่
คนเดียวที่ไม่ได้ริษยาเห็นจะเป็โหยวเสี่ยวโม่ เขารู้มานานแล้วว่า จากศักยภาพของเจียงหลิวคงได้รับการให้ความสำคัญไม่น้อย โดยปกติแล้ว ศิษย์ที่มีศักยภาพดี สำนักเทียนซินไม่จำกัดการใช้หญ้าเซียนอยู่แล้ว จุดนี้ดูจากที่ขงเหวินปฏิบัติกับศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองก็รับรู้ได้
“ศิษย์พี่หยาง ที่เ้าจะพูดคงเกี่ยวกับเจียงหลิวสินะ? หรือว่าเขาเลื่อนขั้นแล้วงั้นเหรอ?” โหยวเสี่ยวโม่ปะติดปะต่อคำพูดของหยางอี จึงเดาได้ แม้กระทั่งผู้นำทัพ์ยังให้ค่ากับเจียงหลิวขนาดนั้น เลื่อนขั้นเป็นักหลอมโอสถขั้นสามในสองเดือนก็มีความเป็ไปได้อยู่
สีหน้าหยางอีเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลันเอ่ยสีหน้าขมขื่น “เ้าตอบถูกเพียงครึ่งเดียว แต่ก็ใกล้แล้ว สองวันก่อน ข้าสืบรู้มาว่า เจียงหลิวใกล้บรรลุขั้นแล้ว อีกเพียงไม่กี่วัน ดังนั้นเขาจะได้สิทธิ์รายชื่อ”
ศิษย์ทุกคนสูดหายใจดังเฮือก
เลื่อนขั้นได้ในสองเดือน ความเร็วนี้ทำลายสถิติหลายร้อยปีที่ผ่านมา แม้กระทั่งศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองก็ทำไม่ได้
หากเจียงหลิวเลื่อนขั้นได้จริง ทัพ์คงฮึกเหิมได้อีกครั้ง ทัพพิภพที่เป็ปฏิปักษ์กับทัพ์ เห็นทีคงเงยหัวไม่ขึ้นอีก แม้การเลื่อนขั้นของเจียงหลิวจะเป็เพราะการดูแลของทัพ์ แต่ก็น่ายกย่องจริงๆ
เมื่อพูดจบ ทุกคนต่างหดหู่ จากนั้นก็แยกย้ายกัน
โหยวเสี่ยวโม่ก็กล่าวลาและแยกย้ายกลับห้อง ส่วนเื่เจียงหลิว หากครั้งนี้ไม่ใช่เพราะศิษย์พี่หยางเอ่ยขึ้น เขาก็คงลืมเจียงหลิวไปสิ้น หากว่าเจียงหลิวไปแดน์วิมานจริง ถึงตอนนั้นพวกเขาคงได้พบกัน
สำหรับเพื่อนร่วมบ้านเกิดนี้ โหยวเสี่ยวโม่ค่อนข้างรู้สึกสับสน
เริ่มแรกเขารู้สึกดีกับเจียงหลิวทีเดียว แต่ผ่านการพบเจอหลายหนเข้า เขากลับพบว่า ทั้งสองนั้นมีความต่าง แม้จะมาจากที่เดียวกัน แต่ไม่ได้มีความผูกพัน อีกอย่างสังคมของพวกเขาก็ต่างกัน จะกลมกลืนไปกับพวกเดียวกันก็ไม่แปลก ดังนั้นหลังผ่านเื่ที่หอคัมภีร์แล้ว เขาก็ตัดสินใจตัดขาดเลิกคบหาเจียงหลิว เพื่อเลี่ยงการทำตัวไม่ถูก
ส่วนเื่ที่เจียงหลิวเลื่อนขั้นได้อย่างรวดเร็วนั้น เทียบกับการฝึกฝนของตัวเองแล้ว เขาแอบรู้สึกดีใจ
แม้ว่าเจียงหลิวจะเลื่อนขั้นเป็นักหลอมโอสถขั้นสาม แต่เขานั้นมาหยุดที่ขั้นสามหลายเดือนแล้ว ตอนนี้กำลังเข้าสู่การเลื่อนขึ้นขั้นสี่ ดังนั้นแม้เขาจะมีอาจารย์ที่ดีมาก แต่เขาก็ไม่ได้อิจฉาแต่อย่างใด เพราะเขามีคนที่ดีกับเขามากกว่าอาจารย์ของเจียงหลิว ซึ่งก็คือ...หลิงเซียวนั่นเอง
ในสมองจู่ๆ ก็มีชื่อเขาโผล่ขึ้นมา ทันใดนั้นโหยวเสี่ยวโม่ก็ขนลุกตัวสั่นวาบ ดวงตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง
ย้อนนึกถึงความรู้สึกเมื่อครู่ จู่ๆ เขาก็ค้นพบว่า เขายิ่งอยู่ยิ่งรับรู้ถึงการมีตัวตนของหลิงเซียว อีกทั้งทุกครั้งที่เกิดเื่หรือนึกถึงเื่อะไรก็ตาม ก็จะนึกถึงเขาเพียงคนเดียว เห็นทีคนที่ถูกกลมกลืนไปแล้ว จะเป็เขาเสียเอง…
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้