บทที่ 9:เงามืดและดอกไม้
หิมะแรกแห่งฤดูหนาวโปรยปรายลงสู่เมืองหลวง ปกคลุมทุกสิ่งให้กลายเป็สีขาวโพลน บรรยากาศที่หนาวเหน็บทำให้ผู้คนบนท้องถนนบางตาลง แต่ความร้อนระอุจากศึกชิงบัลลังก์สุรายังคงคุกรุ่น ข่าวคราวการต่อสู้อันดุเดือดในโรงเตี๊ยมถังเหว่ยได้กลายเป็หัวข้อสนทนาที่เผ็ดร้อนที่สุดในวงสังคม
ภายในจวนตระกูลจ้าว ิซัวหลงยืนมองเกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นอย่างเงียบๆ ผ่านบานหน้าต่าง เขาครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทั้งอุบัติเหตุในตลาดและการลอบสังหารในโรงเตี๊ยม มันชัดเจนว่านี่ไม่ใช่แค่การข่มขู่ แต่คือความพยายามที่จะกำจัดพวกเขาให้สิ้นซาก
"ศัตรูคงไม่ยอมรามือแน่" จ้าวลู่ซื่อเอ่ยขึ้นเบาๆ ขณะเดินเข้ามาในห้อง "เราต้องระวังตัวให้มากขึ้น"
"แล้วอาการาเ็ของท่านเป็อย่างไรบ้าง" นางถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย
"แผลเล็กน้อย เดี๋ยวก็หาย" เขาตอบพลางหันมายิ้มให้อย่างอบอุ่น "แต่ที่น่าห่วงกว่าคือแผนการของพวกมัน เราต้องเตรียมคนของเราให้พร้อมและหาพันธมิตรเพิ่มเติม ตอนนี้เรามีกำลังคนเท่าไหร่"
"ร้อยกว่าคนเห็นจะได้" นางถอนใจ "ในยุครุ่งเรืองตระกูลเรามีคนมากกว่านี้หลายเท่า แต่เมื่อกิจการตกต่ำลง คนของเราก็แยกย้ายกันไป"
"ไม่เป็ไร" ิซัวหลงกล่าวอย่างหนักแน่น "เราไม่ได้สู้ด้วยจำนวน แต่สู้ด้วยสติปัญญาและคุณภาพ"ความคิดนั้นทำให้นึกถึงตราหยก "เทพสุราแห่งต้าิ" ที่ซ่อนอยู่ในอกเสื้อ เขารู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่กุญแจที่พาเขาย้อนเวลามา แต่จะต้องมีความลับบางอย่างที่สามารถช่วยเหลือเขาได้ซ่อนอยู่อีกเป็แน่
ณ โรงเตี๊ยมถังเหว่ย
อรุณรุ่งของวันใหม่ได้มาเยือน แต่กลิ่นอายของความตายและเศษซากของความโกลาหลยังคงหลงเหลืออยู่จางๆ ในอากาศ แม่นางหลิวเฟย ยืนทอดสายตามองเหล่าคนงานเก็บกวาดเศษโต๊ะเก้าอี้ที่พังยับเยินด้วยแววตาที่เรียบเฉย แต่ในห้วงคำนึงของนางกลับทบทวนเหตุการณ์เมื่อคืนวานซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ภาพของบุรุษลึกลับนาม "หยวนลู่" ยังคงฉายชัดอยู่ในความทรงจำของนาง นางเคยเห็นการต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วนในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ แต่สิ่งที่นางได้ประจักษ์เมื่อคืนวานนั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ท่วงท่าของบุรุษผู้นั้น...มิใช่การต่อสู้ แต่เป็ ‘ระบำมรณะ’ ที่เยือกเย็นและงดงาม ทุกย่างก้าวเปรียบดังการวางหมากล้อม อ่านเกมของศัตรูล่วงหน้า ปิดเส้นทาง และโต้กลับในจุดที่คาดไม่ถึง คมมีดในมือของเขามิได้ตวัดอย่างบ้าคลั่ง แต่เคลื่อนไหวอย่างมีเป้าหมาย ราวกับพู่กันของจิตรกรเอกที่ตวัดปลายพู่กันเป็ความตายอย่างแม่นยำ ทุกครั้งที่ศัตรูล้มลง มิได้เกิดจากความบังเอิญ แต่เกิดจากการคำนวณที่สมบูรณ์แบบ
นางหลับตาลง ััได้ถึงพลังอำนาจที่แฝงอยู่ในความสงบนิ่งของเขา...มันเป็อำนาจของพยัคฆ์ที่ซ่อนคมเล็บไว้ รอจังหวะที่จะขย้ำเหยื่อให้สิ้นลมในคราเดียว
"บุรุษเช่นนี้..." นางรำพึงกับตนเอง "...หาใช่แค่ทหารธรรมดา"
ความสนใจใคร่รู้ที่มากกว่าความเป็ห่วงในฐานะเ้าของสถานที่ได้ก่อตัวขึ้นในใจอย่างรุนแรง นางตัดสินใจแล้วว่าต้องไปเยือนจวนตระกูลจ้าวให้ได้ในวันนี้
ณ จวนตระกูลจ้าว
รถม้าของแม่นางหลิวเฟยมาถึงหน้าจวนในเวลาใกล้เที่ยง นางก้าวลงจากรถในอาภรณ์สีน้ำทะเลสาบที่ขับผิวขาวผ่องให้ดูโดดเด่น เครื่องประดับน้อยชิ้นแต่ล้ำค่าเสริมให้นางดูสง่างามและสูงศักดิ์
หยางหลิง ที่ออกมารับหน้า สังเกตเห็นการแต่งกายอันพิถีพิถันนั้นแล้วก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ ‘นี่หาใช่การมาเยี่ยมเยียนธรรมดา แต่เป็การเตรียมตัวมาเพื่อ ‘พบพาน’ ผู้ใดผู้หนึ่งโดยเฉพาะ’ นางคิดในใจ
"คุณหนูเ้าคะ แม่นางหลิวเฟ่ยมาขอพบ รออยู่ที่ห้องรับรองค่ะ" หยางหลิงรายงานจ้าวลู่ซื่อ แต่สายตาของนางเหลือบมองไปยังทิศทางที่คุณชายหยวนลู่กำลังฝึกซ้อมร่างกายอยู่ไกลๆ
เมื่อจ้าวลู่ซื่อและิซัวหลงเดินเข้ามาในห้องรับรอง หลิวเฟยที่ยืนชื่นชมภาพวาดแขวนผนังอยู่ก็หันกลับมาพร้อมรอยยิ้มที่งดงามราวกับบุปผาแรกแย้ม
"คุณหนูจ้าว ข้ามาเยี่ยมเยียนเพราะเป็ห่วง หวังว่าพวกท่านคงไม่าเ็จากเหตุการณ์วันนั้นนะเ้าคะ" ขณะที่พูดประโยคแรกกับจ้าวลู่ซื่อ สายตาของนางกลับเลื่อนไปจับจ้องที่ิซัวหลงอย่างเปิดเผยในประโยคถัดมา
"ขอบคุณแม่นางที่เป็ห่วง" จ้าวลู่ซื่อตอบอย่างสุภาพ "นี่คือคุณชายหยวนลู่"
ิซัวหลงโค้งคำนับเล็กน้อยตามธรรมเนียม "ข้ายินดีที่ได้รู้จักแม่นางหลิวเฟย"
หลิวเฟยย่อกายคารวะตอบอย่างอ่อนช้อย สายตาของนางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขา “ได้ยินกิตติศัพท์ของคุณชายมานาน เพิ่งมีวาสนาได้ประจักษ์ฝีมือกับตาก็นับเป็บุญตายิ่งนัก ท่วงทีของท่านเมื่อคืนวาน... งดงามและน่าหวาดหวั่นในคราเดียวกัน”
คำชมที่ทั้งจริงใจและตรงไปตรงมานั้นทำให้ิซัวหลงแปลกใจเล็กน้อย ขณะที่หัวใจของหลิวเฟยกำลังเต้นแรงอย่างประหลาดเมื่อได้สบตากับเขาในระยะใกล้ รอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากของเขาช่างมีเสน่ห์จนนางแทบจะลืมหายใจ
หยางหลิงรีบยกน้ำชาเข้ามาเสิร์ฟ วางถ้วยลงบนโต๊ะคั่นกลางระหว่างคนทั้งสองเสียงดังกว่าปกติเล็กน้อย ราวกับ้าจะเตือนสติแขกผู้มาเยือน ก่อนที่ิซัวหลงจะเอ่ยถามถึงเื่สำคัญ
"ท่านพอจะทราบหรือไม่ว่าชายชุดดำเ่าั้เป็คนของใคร"
แววตาของหลิวเฟยเปลี่ยนเป็จริงจังในทันที "ข้าให้คนไปสืบมาแล้ว ได้ความว่าพวกมันคือกลุ่มนักฆ่ารับจ้าง แต่ผู้ที่อยู่เื้ั... ข้าเชื่อว่าคุณหนูจ้าวย่อมรู้ดีกว่าข้าว่าศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของท่านในยามนี้คือผู้ใด ในฐานะผู้ทำการค้าเช่นกัน ข้าย่อมไม่อยากเห็นพญามารกลืนกินปลาเล็กจนหมดสระ"
"ตระกูลหลี่...เสนาบดีหลี่เฉินกง" จ้าวลู่ซื่อตอบเสียงเรียบ แต่แววตากลับแข็งกร้าวขึ้น
หลิวเฟยพยักหน้ารับรู้ การมอบข้อมูลสำคัญนี้ให้ ไม่ใช่เพียงเพื่อสร้างสัมพันธ์ทางธุรกิจ แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากความประทับใจในตัวบุรุษผู้เปี่ยมด้วยปริศนาคนนี้ นางรู้ดีว่าการผูกมิตรกับพยัคฆ์เช่นนี้ ย่อมดีกว่าการสร้างศัตรูอย่างแน่นอน
หลังจากสนทนากันอีกครู่หนึ่ง หลิวเฟยก็ขอตัวลากลับไป ขณะนั่งอยู่บนรถม้าที่เคลื่อนตัวออกจากจวนตระกูลจ้าว นางยังคงครุ่นคิดถึงชายผู้นั้น...
‘บุรุษเช่นนี้...หากมิได้เป็สหาย ก็ย่อมเป็ศัตรูที่น่าสะพรึงกลัว... แต่หากได้เป็...?’
นางทิ้งท้ายประโยคนั้นไว้ในใจ พร้อมกับรอยยิ้มอันซับซ้อนที่ปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก
บัลลังก์ที่สั่นคลอน
ภายในห้องโถงอันโอ่อ่าของจวนตระกูลหลี่ บรรยากาศกลับเย็นเยียบและหนักอึ้งราวกับถูกกดทับด้วยภูผา เสนาบดีหลี่เฉินกงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้จันทน์หอมตัวใหญ่ ในมือของเขาคือถ้วยชาชั้นเลิศที่ยังคงอุ่น แต่ดวงตาที่จับจ้องไปยัง หวังเฟิง และ หวังหยู๋ ซึ่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้านั้น กลับเ็ายิ่งกว่าน้ำแข็งขั้วโลก
ความเงียบนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเสียงตวาดใดๆ
เพล้ง!
ถ้วยชาราคาแพงในมือของเขาถูกขว้างลงบนพื้นแตกกระจายอย่างไม่มีเยื่อใย เสียงนั้นทำให้ร่างของสองพี่น้องสะดุ้งสุดตัว ก่อนที่เสนาบดีจะลุกขึ้นยืนช้าๆ เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกมัน
เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!
ฝ่ามือที่หนักหน่วงฟาดลงบนใบหน้าของทั้งสองอย่างรุนแรงจนเืกบปาก แต่หลี่เฉินกงไม่ได้ตวาดลั่นอย่างที่เคย น้ำเสียงของเขากลับเยือกเย็นและลอดไรฟันออกมาทีละคำ
"พวกเ้ารู้หรือไม่...ว่าความล้มเหลวของพวกเ้ามันหมายถึงสิ่งใด"
หวังเฟิงและหวังหยู๋ก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะสบตา "ข้าน้อยขออภัยนายท่าน! พวกข้าน้อยประมาทฝีมือคนของตระกูลจ้าวเกินไป..."
"ประมาทรึ?" หลี่เฉินกงแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ "ข้าเลี้ยงพวกเ้าไว้ในฐานะเขี้ยวเล็บ...มิใช่เพื่อให้พวกเ้ากลับมาพร้อมกับความพ่ายแพ้เยี่ยงสุนัขจรจัด! ตระกูลจ้าวที่เปรียบดังซากศพไร้ค่าในสายตาข้า กลับสามารถตบหน้าพวกเ้าจนกลับมาฟ้องข้าได้อย่างนั้นรึ!"
เขาเดินวนรอบตัวสองพี่น้องราวกับราชสีห์ที่กำลังพิจารณาเหยื่อ "นี่มิใช่แค่การแข่งขันสุรา... แต่มันคือการประกาศศักดา! การที่ตระกูลจ้าวกล้าเผยอหน้าขึ้นมาท้าทาย... มันคือการลบหลู่เกียรติของข้า! ต่อหน้าขุนนางทั้งราชสำนัก! พวกมันกำลังบอกทุกคนว่า บัลลังก์เ้าแห่งสุราของหลี่เฉินกง... เริ่มสั่นคลอนแล้ว!"
ความโกรธของเขาไม่ได้มาจากความล้มเหลวในภารกิจ แต่มาจากอำนาจของเขาที่ถูกท้าทายอย่างซึ่งๆ หน้า นี่คือสิ่งที่เขายอมไม่ได้เด็ดขาด!
"ข้าไม่้าฟังคำแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น!" เขากลับมาหยุดอยู่เบื้องหน้า "ข้า้าเห็นผลลัพธ์! ข้า้าให้ชื่อของตระกูลจ้าวหายไปจากสารบบของการแข่งขันครั้งนี้...และตลอดไป!"
ดวงตาของเขาวาวโรจน์ด้วยความอำมหิต "ข้าจะให้โอกาสพวกเ้าอีกครั้ง... ไปจัดการมันให้สิ้นซาก... ใช้วิธีใดก็ได้ที่พวกเ้าคิดว่าเหมาะสม แต่อย่าได้ทิ้งร่องรอยให้สาวมาถึงตัวข้าได้"เขาโน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูของหวังเฟิงด้วยน้ำเสียงที่เย็นะเืที่สุด "หากพลาดอีก... ศีรษะของพวกเ้าจะถูกนำไปดองไว้ในไหสุราแทนพวกมัน"คำขู่นั้นทำให้หวังเฟิงและหวังหยู๋ตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัวสุดขีด พวกเขารู้ดีว่านี่คือคำขาด และเป็โอกาสสุดท้ายที่จะรักษาชีวิตของตนเองไว้
"ขอรับปากท่านนายท่าน!" หวังเฟิงกล่าวเสียงกร้าว ดวงตาของเขาแปรเปลี่ยนจากความหวาดกลัวเป็ความบ้าคลั่งที่จะต้องล้างอายให้จงได้ "ครั้งนี้ ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดิน... พวกมันก็จะไม่มีโอกาสได้แม้แต่จะเริ่ม!"
ทั้งสองโค้งคำนับจนศีรษะแทบจรดพื้น ก่อนจะถอยออกจากห้องมาด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความแค้นเคืองและความหวาดกลัวต่อผู้เป็นายอย่างสุดหัวใจ พวกเขารู้ดีว่าภารกิจครั้งต่อไปจะต้องโเี้และเด็ดขาดยิ่งกว่าเดิมหลายเท่านัก...เพราะเดิมพันครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ความสำเร็จ แต่คือชีวิตของพวกเขาเอง
หวังเฟิงและหวังหยู๋เดินออกมาจากจวนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ความเ็ปบนใบหน้าเทียบไม่ได้กับความอัปยศอดสูในใจหลังจากออกมาจากจวนทั้งสองก็วางแผนเพื่อจัดการตระกูลจ้าวตามคำสั่ง
"พี่ใหญ่ เราจะทำอย่างไรกันต่อ" หวังหยู๋ผู้เป็น้องเอ่ยถาม "ไอ้หยวนลู่นั่นมีฝีมือร้ายกาจ การบุกเข้าไปตรงๆ คงไม่ได้ผลอีกแล้ว"หวังเฟิงหยุดเดินแล้วหันมาแสยะยิ้มอย่างอำมหิต "ถ้าเราตัดหัวมันไม่ได้... เราก็ต้องตัดแขนตัดขามันแทน"
"ท่านหมายความว่า..."
"ตระกูลจ้าวกำลังจะจัดงานเลี้ยงสุราเพื่อเปิดตัวสินค้าใหม่" หวังเฟิงกล่าว "พวกมันต้องใช้วัตถุดิบชั้นเลิศ... เราก็จะไปตัด 'เส้นทาง' ของวัตถุดิบเ่าั้เสีย"แผนการอันชั่วร้ายได้ก่อตัวขึ้น พวกมันไม่ได้มุ่งเป้าไปที่การสังหารอีกต่อไป แต่เป็การทำลายล้างจากรากฐาน!
วันต่อมา ณ สวนดอกหอมหมื่นลี้ชานเมือง ซึ่งเป็ของ ลุงเฉิน เกษตรกรชราผู้ซื่อสัตย์ที่ส่งดอกไม้ให้กับตระกูลจ้าวมานานหลายสิบปี เขากำลังดูแลต้นไม้ของเขาอย่างมีความสุข แต่แล้วความสุขนั้นก็ถูกทำลายลงด้วยการมาถึงของแขกที่ไม่ได้รับเชิญ หวังเฟิงและหวังหยู๋เดินเข้ามาในสวนราวกับเป็เ้าของ พวกมันไม่ได้พูดจาข่มขู่ แต่กลับยื่นถุงเงินใบใหญ่ให้ลุงเฉิน
"นายท่านของเราชื่นชมในฝีมือการปลูกดอกไม้ของท่านมาก" หวังหยู๋กล่าวด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง "ท่าน้าจะซื้อดอกหอมหมื่นลี้ทั้งหมดของท่านในฤดูกาลนี้...ในราคาสามเท่าของที่ตระกูลจ้าวให้"
ลุงเฉินมองถุงเงินแล้วส่ายหน้าอย่างหนักแน่น "ข้าทำไม่ได้ ข้าส่งดอกไม้ให้ตระกูลจ้าวมาั้แ่รุ่นพ่อ จะให้ข้าทรยศพวกเขาได้อย่างไร"
รอยยิ้มของหวังหยู๋หายไปทันที เขาหันไปพยักหน้าให้หวังเฟิง พี่ชายของเขาจึงเดินไปที่ต้นหอมหมื่นลี้ที่สวยที่สุดต้นหนึ่ง แล้วใช้มือเพียงข้างเดียวหักกิ่งของมันจนแหลกคามือ!
แกร๊บ!
"ไม่นะ!" ลุงเฉินร้องออกมาด้วยความใ
"ข้าไม่ได้มาเพื่อต่อรอง" หวังหยู๋กล่าวเสียงเย็น "เงินนี่คือค่าจ้างให้เ้า 'ป่วย' หรือ 'เดินทางไกล' จนไม่สามารถส่งดอกไม้ได้ หากเ้าปฏิเสธ... ครั้งต่อไปสิ่งที่หักอาจไม่ใช่แค่กิ่งไม้ แต่เป็แขนขาของลูกชายเ้าที่ทำงานอยู่ในเมือง"คำขู่นั้นทำให้ลุงเฉินเข่าทรุดลงกับพื้น เขามองหน้าสองพญามารสลับกับสวนดอกไม้ที่เป็ดั่งชีวิตของเขาด้วยน้ำตานองหน้าในที่สุด เขาก็พยักหน้ารับถุงเงินนั้นมาด้วยมือที่สั่นเทา...
บ่ายวันเดียวกันนั้นเอง โจหลิว ก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในจวนตระกูลจ้าว"คุณหนู! แย่แล้วขอรับ!" เขาะโลั่น "ลุงเฉิน...ลุงเฉินส่งข่าวมาว่าเขาป่วยหนัก ไม่สามารถส่งดอกหอมหมื่นลี้ให้เราได้อีกแล้วขอรับ!"คำพูดนั้นทำให้จ้าวลู่ซื่อและิซัวหลงที่กำลังวางแผนเื่งานเลี้ยงสุราต้องนิ่งไป"ป่วยหนักรึ... ช่างประจวบเหมาะเกินไปแล้ว" ิซัวหลงพึมพำกับตัวเอง เขารู้ได้ทันทีว่านี่คือฝีมือของใคร
"คมเขี้ยวของพญามาร... มันเริ่มกัดกินเราจากภายนอกเข้ามาแล้ว"วิกฤตครั้งใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น พวกเขามีสุราที่ยอดเยี่ยม มีแผนการตลาดที่เหนือชั้น แต่บัดนี้... พวกเขากำลังจะไม่มีวัตถุดิบสำคัญที่สุดที่จะใช้สร้างสรรค์ "เหม่าไถพันลี้รำพันจันทรา" อีกต่อไป..!
