“ค่าแรงไม่เลวเลย!” เจินจูเอามือรองคาง ฟังไปด้วยคิดตามไปด้วย
ตอนนี้ซาลาเปาไส้เนื้อหนึ่งอันเป็เงินสองเหวิน เนื้อหมูหนึ่งชั่งสิบแปดเหวิน หนึ่งวันสามสิบเหวิน สำหรับชาวบ้านทั่วไปนับว่าค่าตอบแทนไม่เลวเป็อย่างยิ่ง เมื่อก่อนพี่น้องสกุลหูเข้าเมืองทำงานรับจ้างชั่วคราว ค่าแรงส่วนใหญ่อยู่ระหว่างสิบแปดถึงยี่สิบห้าเหวิน
“ท่านอาหลิ่วบอกว่าเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิไปแล้ว หากสกุลเหอยังต้องซ่อมแซมบ้านอยู่ จะดูที่ไว้ให้พวกข้า หาก้าคนแล้วล่ะก็ เขาจะให้คนส่งข่าวมาบอกแก่พวกข้าสักคำสองคำ” ในคำพูดของหูฉางหลินมีความซาบซึ้งใจอยู่สายหนึ่ง
ท่านอาหลิ่วในคำพูดของเขาเป็ญาติห่างๆ ในหมู่บ้านเดียวกัน นามว่าหลิ่วฉางผิง อายุมิได้มากกว่าพวกเขาเสียเท่าไหร่ ทว่านับรุ่นในวงญาติแล้วโตกว่าหนึ่งรุ่น ครอบครัวของเขามีเด็กไม่กี่คน ทางบ้านก็ชักหน้าไม่ถึงหลัง ทำได้เพียงหางานรับจ้างชั่วคราวในเมืองใกล้เคียงเพื่อดำรงชีวิตอยู่บ่อยๆ ในหนึ่งปีมีชีวิตความเป็อยู่ค่อนข้างไม่แย่เท่าไรนัก เพียงแต่งานรับจ้างชั่วคราวนี้เวลาที่ใช้มากน้อยไม่มีความแน่นอน คนที่มีที่นาอยู่ที่บ้านจะไม่ดำรงชีวิตด้วยงานเฉพาะด้านนี้ ส่วนใหญ่จะเหมือนกับพี่น้องสกุลหู ใช้เวลาให้มีประโยชน์หลังจากเก็บเกี่ยวเสร็จ ด้วยการใช้แรงงานหาเงินต่อ
“ฉางผิงไม่เลวเลย ต่อไปเขามีเื่อันใดอย่าลืมช่วยเหลือเขาให้มากหน่อยล่ะ พวกเราห้ามทำตัวลืมบุญคุณ ต้องจำสิ่งที่เขาทำดีกับพวกเราไว้” ชายชราหูทานข้าวอิ่มดื่มสุราจนหน่ำใจอ ใบหน้าก็แดงเรื่อขึ้นมา เขากล่าวไปพลางจิบสุราไปในเวลาเดียวกัน บนใบหน้าแสดงออกว่ารู้สึกพึ่งพอใจเป็อย่างมาก
“ดื่มสุราให้น้อยหน่อยเถิด พอดื่มสุราแล้วก็หยุดไม่ลง ฉางกุ้ย ตักน้ำแกงเห็ดใส่ถ้วยให้ท่านพ่อเ้าที น้ำแกงนี้รสชาติดีนัก แล้วนี่ยังเป็วัตถุดิบที่บุตรสาวเ้าเก็บมาอีกด้วย กระต่ายก็เป็บุตรสาวเ้าจับกลับมา พวกเราเพียงได้รับผลประโยชน์จากนางจึงทานอย่างสบายใจเช่นนี้ได้” หวังซื่อยิ้มแล้วชมเชยเจินจู
“ท่านย่า ดูท่านสิท่านกล่าวอันใดกัน หากมิใช่ฝีมือครัวชั้นสูงของท่าน อาหารนี่จะอร่อยเช่นนี้ได้อย่างไร พวกข้าเพียงได้รับผลประโยชน์จากท่านสิจึงจะถูก” หมวกทรงสูงยื่นมาสวมลงบนศีรษะของหวังซื่อ [1]
บนใบหน้าของหญิงชราฉายความสุขเบ่งบานทันที นางยกมุมปากยิ้มกว้าง “นังหนูนี่ ยังรู้จักประจบคนด้วย ปากหวานเสียจริง”
“ท่านย่า ท่านพี่ข้ากล่าวได้ถูกต้อง อาหารที่ท่านทำอร่อยที่สุด!” ผิงอันลูบพุงที่กลมดิกแล้วกล่าวอย่างอิ่มอกอิ่มใจขึ้นมา
“ใช่เลย! ใช่เลย! อาหารที่ท่านย่าทำอร่อยที่สุด” ผิงซุ่นที่อยู่ด้านข้างกล่าวคล้อยตามไปอีกคน
หวังซื่อถูกบรรดาหลานๆ สรรเสริญอยู่พักหนึ่ง นางยิ้มจนดวงตาหยีเป็รอยเย็บ ทุกคนใช้เวลาอาหารเย็นหนึ่งมื้ออย่างมีความสุข ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างเบิกบาน
อาหารมื้อเย็นจบลง หูฉางกุ้ยจึงพาสองพี่น้องหญิงชายกลับบ้านไป หวังซื่อหยิบกับข้าวที่ตั้งใจเก็บไว้ให้หลี่ซื่อโดยเฉพาะออกมาจากในหม้ออย่างคล่องแคล่ว วางลงในตะกร้าใช้ผ้าลายดอกคลุมไว้ แล้วส่งไปในมือหูฉางกุ้ย กำชับว่า “รีบกลับเถิด หรงเหนียงน่าจะรอแย่แล้ว คืนนี้พักผ่อนให้ดีเล่า พรุ่งนี้ยังมีอีกหลายเื่ต้องทำ พรุ่งนี้เช้าเ้ากับฉางหลินลองทำตามวิธีของเจินจูดูว่าสามารถรมควันกระต่ายได้หรือไม่ อย่าให้คนอื่นเห็นเข้านะ ่บ่ายยังต้องไปตัดฟืน ฟืนที่เอาไว้ใช้ข้ามหน้าหนาวต้องตระเตรียมเยอะหน่อย ข้าอบแห้งเห็ดนี่เปลืองฟืนไปไม่น้อยเลย โอ๊ะ เอาทุกเื่มารวมกันหมดเสียได้”
หวังซื่อขมวดคิ้วกล่าวไม่หยุด
“ท่านแม่ ไม่ต้องกังวล ข้าทำให้เสร็จจนหมดได้” หูฉางกุ้ยก้มหน้ายิ้มซื่อแล้วมองไปที่นาง
“แม่รู้แล้ว เอาล่ะ รีบกลับเถิด” หวังซื่อตบเข้าที่หลังมือของบุตรชายคนเล็กเบาๆ มองใบหน้าเกือบครึ่งของเขาอย่างปวดใจ ผมหน้าม้าที่ยาวเล็กน้อยปกปิดรอยแผลเป็ไว้ นึกถึงอุบัติเหตุครั้งหนึ่งที่เขาได้รับาเ็สาหัสจนเกือบคร่าชีวิตของเขาไป ในใจหวังซื่อปวดหนึบ
“ท่านย่า พวกเราไปแล้วนะเ้าคะ” เจินจูโบกมือ จูงผิงอันก้าวไปตามทางกลับบ้าน
หูฉางกุ้ยตามอยู่ด้านหลังของลูกเงียบๆ ผิงอันหันศีรษะวิ่งกลับไปข้างกายเขา ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อ ตอนนี้บ้านเรามีกระต่ายเยอะแยะเลย พรุ่งนี้เช้าให้ข้าไปรมควันกระต่ายกับท่านเถิดนะ ข้าจะสอนท่านเองว่าจะรมควันเช่นไร ดีหรือไม่ขอรับ?”
ผิงอันเงยใบหน้าเล็กที่เต็มไปด้วยความคาดหวังขึ้น
หูฉางกุ้ยยิ้มน้อยๆ ก่อนตอบ “ได้สิ”
“ท่านพ่อ ท่านพี่บอกว่าจับกระต่ายบนยอดเขาไปหมดไม่ได้ ไม่เช่นนั้นปีถัดไปเสือ หมีดำกับหมาป่าในป่าจะไม่มีอาหารกิน พวกมันจะวิ่งออกจากป่าเขาสร้างความเดือดร้อนให้แก่ทุกคนได้ ท่านเองก็ทราบเื่นี้ใช่หรือไม่?” ผิงอันยังคงสานต่อจิติญญาแห่งการศึกษาและเผยแพร่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาซึมซับมาจนถึงทุกวันนี้ให้แก่คนอื่น
หูฉางกุ้ยฟังจบก็มองเจินจูที่เดินอยู่ข้างหน้าด้วยสายตาแปลกใจ ไม่พูดไม่จาอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวตอบ “ทราบแล้ว”
“ท่านพ่อ ่นี้ข้าเลี้ยงกระต่ายมาหลายวันแล้ว กระต่ายเลี้ยงอย่างไรข้าล้วนรู้หมด หากท่านไม่เข้าใจก็ถามข้าได้ ดีหรือไม่?” ผิงอันกล่าวต่อ
“ดี”
“ท่านพ่อ ไม่กี่วันก่อนตอนข้ากับท่านพี่เก็บเห็ด บังเอิญจับงูดำลายพาดกลอนได้ตัวหนึ่ง ยาวขนาดนี้แหนะ” เขากางมือเทียบความยาวอย่างโอ้อวด “ท่านพี่ใช้ไม้ง่ามกดมันไว้ ข้าเองก็ช่วยตีงูจนตาย เก่งมากใช่หรือไม่?”
“เก่งมาก แต่... คราวหน้าให้พ่อจับเถิดนะ”
“ท่านพ่อ…”
เจินจูฟังจนมุมปากเหยียดออก หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็ก คนหนึ่งกล่าวน้ำไหลไฟดับคนหนึ่งกล่าวสั้นกะทัดรัด แต่ยังคุยกันได้ไม่หยุด นางยังคงเป็ลูกสาวแสนสวยที่เดินเงียบๆ ต่อไป
คลำความมืดตลอดทางจนกลับถึงบ้าน หลี่ซื่อรอคอยอยู่นานแล้ว หูฉางกุ้ยเห็นหลี่ซื่อจากที่ไกลๆ จึงรีบเพิ่มความเร็วฝีเท้า หลังเดินเข้าไปใกล้ก็เริ่มกล่าวอย่างเอียงอาย “หรงเหนียง ข้ากลับมาแล้ว”
หลี่ซื่อยิ้มอ่อนโยนให้หนึ่งที รับห่อของในมือเขามา แสดงเจตนาให้พวกเขาเข้าไปในบ้าน
“ท่านแม่ ท่านยังไม่ได้ทานอาหารเย็นเลย กับข้าวเย็นหมดแล้ว ทานข้าวก่อนเถิด” เจินจูถือตะกร้าที่ใส่กับข้าวมา นำกับข้าวด้านในออกมาวางบนโต๊ะ
ครอบครัวหูฉางกุ้ยอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา นอกจากเสียงคิกๆ คักๆ ที่สนุกสนานไม่หยุดของผิงอันแล้ว คนอื่นๆ ต่างแยกกันไปทำกิจวัตรของตนเองอย่างทานข้าว ล้างหน้าบ้วนปาก
ตอนกลางคืน เมื่อมองผิงอันที่หลับสนิทอยู่ด้านข้าง หูฉางกุ้ยก็รื้อค้นเหรียญทองแดงออกมาหนึ่งพวงจากห่อบรรจุของส่งให้หลี่ซื่อ กล่าวเสียงทุ้มว่า “หรงเหนียง นี่เป็เงินที่เก็บได้จากการทำงานหลายวันมานี้ เ้าเก็บไว้ให้ดี ให้ท่านพ่อท่านแม่ทางนั้นเสียสองร้อยเหวิน ปีนี้ควรแสดงความเคารพกตัญญูต่อผู้ใหญ่เสียหน่อย ข้าให้ล่วงหน้าไปบ้างแล้ว”
หลี่ซื่อพยักหน้าอมยิ้ม ไม่ได้นับเงินให้ละเอียด รับมาใส่เข้าไปในตู้ข้างเตียงแล้วล็อกกุญแจ หลังจากนั้นก็หาเสื้อผ้าของหูฉางกุ้ยออกมา ยื่นส่งไปให้ นางต้มน้ำร้อนไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ไปข้างนอกหลายวันการอาบน้ำย่อมไม่ง่ายเลย ออกจากบ้านไปกลับทุกครั้งต้องอาบน้ำหัวจรดเท้าหนึ่งหน หูฉางกุ้ยไม่กล่าวอะไรมาก รับเสื้อผ้ามาแล้วไปขัดล้างตนเอง
ส่วนฝั่งด้านนี้ บนเตียงของบ้านเก่าห้องฝั่งตะวันออก หวังซื่อและหูฉางหลินยังยุ่งอยู่กับการอบเห็ด ชายชราหูนั่งอยู่ด้านข้างถักตะกร้าไผ่สาน ทั้งสามคนทำงานไปพลางพูดคุยกันไปพลาง
“ท่านแม่ นี่เป็เงินหนึ่งพันหนึ่งร้อยสิบเหวินที่เก็บมาเดือนกว่า สามวันหลังฝนตกไม่ได้ทำงานให้เสร็จ จึงขาดไปเก้าสิบเหวิน ข้างในยังมีสองร้อยเหวินที่ท่านให้ไว้เล็กน้อยก่อนไปด้วย เดินทางนั่งเกวียนไปกลับซื้ออาหารการกินจ่ายไปเพียงยี่สิบเหวิน” หูฉางหลินควักถุงเงินหนักออกจากในอกส่งให้หวังซื่อ เงินของบ้านเก่ามีหวังซื่อเป็คนคอยจัดการมาตลอด หูฉางหลินเชื่อฟังบิดามารดามาก แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีปัญหาความเห็นเื่การเงินเลย แม้เหลียงซื่อจะตำหนิเขาเป็การส่วนตัว เขาก็ไม่เคยใส่ใจ
หวังซื่อยิ้มปลื้มอกปลื้มใจ ล้วงเหรียญทองแดงสองพวงในถุงเงินออกมาส่งให้เขา กล่าวด้วยความอ่อนโยน “สองร้อยเหวินนี้ให้ภรรยาเ้าเก็บไว้ ้าขาดเหลืออันใดพวกเ้าก็ซื้อกันเอง ที่เหลือพวกนี้แม่จะเก็บไว้ ต้องเอาไปคืนหนี้สินก่อนสิ้นปี”
“ท่านแม่ เก็บนี่ไว้ด้วยเถิด พวกข้ามิได้ขาดอันใด เอาไปใช้คืนหนี้สินก่อน” หูฉางหลินบอกปัด
“ให้เ้าแล้วก็รับไว้ หลายปีมานี้ที่บ้านไม่สามารถสะสมเงินอะไรไว้ได้ ในมือจึงขาดและไม่มีกินมีใช้อยู่บ่อยๆ ปีนี้ขอเพียงเห็ดอบแห้งขายได้ราคาดี เช่นนั้นพวกเราก็สามารถคืนหนี้สินได้หมดแล้ว ต่อไปหากสามารถจับกระต่ายได้หลายคอก ปีนี้ก็จะสามารถมีเงินเหลือกินเหลือใช้ได้หน่อยแล้ว พวกเราขยันอีกนิด ความเป็อยู่ก็จะดีขึ้นได้” หวังซื่อพลิกเห็ดกลับด้านเบาๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็สิ่งล้ำค่าที่พาไปสู่ความมั่งคั่ง ต้องปรนนิบัติอย่างระมัดระวัง
“ทราบแล้วท่านแม่ พรุ่งนี้พอเช้าแล้วข้ากับฉางกุ้ยจะไปลองดู แต่ทำไมเจินจูถึงรู้เื่พวกนี้ได้เล่า นางเป็เพียงเด็กสาวคนหนึ่ง ไปฟังมาจากที่ใดกัน?” หูฉางหลินสงสัยเล็กน้อย เขาไม่เหมือนกับหูฉางกุ้ย นอกจากก้มหน้าก้มตาทำงานแล้วอะไรก็ล้วนไม่เข้าใจทั้งนั้น
หวังซื่อยิ้ม เอาเื่ของเผิงต้าเฉียงบอกแก่เขา หลังจากนั้นก็กำชับว่าห้ามบอกคนอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดเื่ทะเลาะวิวาท
หูฉางหลินพยักหน้าตอบรับ เจินจูเป็คนมีวาสนาจริง ชายชราหูที่อยู่ด้านข้างฟังแล้วไม่ได้กล่าวอะไรมากมาย เพียงยอมรับปากว่าจะไม่หลุดพูดออกจากปาก เพื่อเลี่ยงการนำพาความยุ่งยากมาสู่สกุลหู หลังจากคุยเรื่อยเปี่อยอยู่ครู่หนึ่งแต่ละคนจึงหยุดพักการทำงานลง
ไม่กี่วันหลังจากนั้น พี่น้องสกุลหูก็ยุ่งเสียจนแทบปลีกตัวออกมาไม่ได้ ตื่นแต่เช้าแล้วแบกตะกร้าไผ่สานขึ้นเขา หูฉางกุ้ยพาผิงอันขึ้นเขาไปด้วยเพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นเพื่อป้องกันการถูกคนเห็นเข้า สองพี่น้องก็ยิ่งเข้าไปในป่าเก่าแก่ให้ลึกขึ้นอีกหน่อย ในตอนแรกประสบกับมือเท้าทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง พอต่อมาสองคนแบ่งหน้าที่กันชัดเจนและร่วมมือกัน คนหนึ่งจับคนหนึ่งเตรียมพร้อม กระต่ายสกุลหูก็เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า แต่... ทั้งสองล้วนจำคำของเจินจูได้ ที่ว่ากวาดเรียบกระต่ายมาทั้งเขาไม่ได้ หลังจากวิ่งไปไม่กี่ป่าเขา อากาศก็ค่อยๆ หนาวลง งานเก็บเห็ดกับจับกระต่ายจึงได้หยุดลง
ฟืนของทั้งสองบ้านยังตระเตรียมไม่เสร็จดี ที่พักกระต่ายของบ้านหูฉางกุ้ยก็ต้องสร้างขึ้นใหม่อีกอัน ขณะนี้เล้าไก่ในบ้านไม่พอใช้ตั้งนานแล้ว ตอนนี้ยังมีกระต่ายจำนวนหนึ่งที่ขังไว้ในห้องฟืนอีก เจินจูยังบอกอีกว่า กระต่าย้าพื้นที่เคลื่อนไหว ไม่เช่นนั้นกระต่ายจะไม่กินอาหารและไม่อ้วน
เพื่อไม่ให้ดึงดูดความสนใจของคนในหมู่บ้าน จึงเลี้ยงกระต่ายไว้ที่บ้านหูฉางกุ้ย กระต่ายตัวผู้ที่ชอบทะเลาะวิวาท ชอบชนคอกเอาไว้กลุ่มหนึ่ง แยกออกไป กระต่ายตัวเมียก็จะขี้หงุดหงิดน้อยลง เจินจูค่อนข้างปวดหัวกับความยุ่งยากจุกจิกเช่นนี้ นางรู้ว่า กระต่ายป่าไม่ใช่กระต่ายบ้าน ไม่ใช่ว่าจะเลี้ยงในคอกได้ง่ายเพียงนั้น โชคดีนักที่นางใช้หัวไชเท้าและใบผักกาดขาวที่เป็ผลผลิตในมิติช่องว่างมาเลี้ยงเรียงตัวอยู่ครั้งสองครั้ง พวกมันจึงประพฤติตัวดีขึ้นเล็กน้อย
แต่... เจินจูยังคงเสนอความเห็นว่า เอากระต่ายสิบกว่าตัวแรกขายทิ้งไปก่อน กระต่ายโตตัวผู้เอาแต่กินหญ้า กินอย่างไรก็ไม่อ้วนขึ้นแล้ว เลี้ยงไว้ในบ้านก็เปลืองเสบียงหญ้า เหลือไว้เพียงกระต่ายตัวผู้แข็งแรงกำยำสองตัวเอาไว้เพื่อผสมพันธุ์ก็พอ
ทุกวันเจินจูกับผิงอันล้วนยุ่งอยู่กับการตุนเสบียงหญ้า ชุ่ยจูและผิงซุ่นก็มาช่วยอยู่ตลอด เพราะกลัวว่าเสบียงอาหารของกระต่ายจะหมดลงก่อนหมดหน้าหนาว
ความเห็นของเจินจูได้รับการสนับสนุนจากหลี่ซื่อ
ดังนั้น รุ่งเช้าวันหนึ่ง พี่น้องสกุลหูต่างคนต่างแบกกระต่ายตัวผู้คนละสี่ตัวไว้ พาเจินจูเดินลัดไปทางเส้นทางเล็กๆ เส้นหนึ่ง เดินออกจากหมู่บ้านวั้งหลิน ตามความเห็นเดิมของหูฉางหลินคือไม่พาเจินจูไป เพราะจากหมู่บ้านถึงในเมือง ผู้ใหญ่เดินเท้าล้วนต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยาม ส่วนเจินจูที่ยังเป็แค่เด็กสาวคนหนึ่ง ความเร็วยังต้องช้าลงหน่อย หากนั่งเกวียนจะเร็วขึ้นเล็กน้อย แต่คนที่นั่งเกวียนล้วนเป็คนในหมู่บ้าน กระต่ายที่พวกเขาแบกอยู่เดิมก็อำพรางแทบจะไม่ได้อยู่แล้ว หากเผิดเผยมากกว่านี้ ทั้งหมู่บ้านคงรู้กันทั่ว ดังนั้นคงต้องอาศัยการเดินทางเท้าเข้าไป ลำบากหน่อยแต่ก็ปลอดภัยกว่า
เจินจูจะพลาดโอกาสดีๆ ที่จะได้เข้าเมืองได้อย่างไร นางมาถึงยุคนี้นานแล้ว แม้แต่นอกหมู่บ้านยังไม่เคยออกไป ถ้าไม่ถือโอกาสนี้ออกจากบ้าน คาดว่านางคงไม่มีโอกาสได้ออกไปจนกว่าจะถึงปีวอกเดือนจอ [2]
นางไม่ให้ความสนใจหูฉางหลิน เพียงชี้แจงกับหวังซื่อว่าจะเข้าเมืองไปสอบถามเกี่ยวกับโอกาสในการเลี้ยงกระต่ายเสียหน่อย เลี้ยงกระต่ายมากแล้วก็ต้องมีลู่ทางการขายจึงจะถูก ตนเองเลี้ยงไว้เพื่อกินทั้งหมดคงไม่ได้กระมัง คำกล่าวของเจินจูยั่วเย้าให้หวังซื่อหัวเราะเสียงดังชอบใจ ในเวลานั้นจึงตัดสินใจให้นางเข้าเมืองไปด้วย ใบหน้าเจินจูไม่ปรากฏสิ่งใด แต่ในใจยิ้มบานสะพรั่ง
เชิงอรรถ
[1] หมวกทรงสูงยื่นมาสวมลงบนศีรษะของหวังซื่อ หมายถึง การที่เจินจูยกยอปอปั้นหวังซื่อ
[2] ปีวอกเดือนจอ อุปมาว่าไม่รู้วันรู้เดือนรู้ปี หรือไม่รู้ว่าต้องรอจนถึงเมื่อไหร่