สายตาของทุกคนต่างจับจ้องเงาดำบนท้องฟ้า
พวกเขาเห็นเพียงรอยยิ้มเ็าบนใบหน้าของเงาดำเท่านั้น มันกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “เ้าไม่จำเป็ต้องรู้ ข้าให้เวลาเ้า 10 ลมหายใจ หากเ้าไม่จบชีวิตด้วยตัวเองล่ะก็ ข้าจะลงมือแทน”
“ชีวิตของนักรบนั้นมีค่า แล้วจะยอมตายได้อย่างไร? หลิ่วชั่งหลันผู้นี้ขอยอมตายในาเสียดีกว่า แต่น่าเสียดายที่กองทัพของข้าต้องเข้ามาพัวพันด้วย”
หลิ่วชั่งหลันเงยหน้าขึ้นมองเงาดำร่างนั้น ทันใดนั้นเจตจำนงการต่อสู้ก็เริ่มหนาแน่นและลุกโชน ร่างของเขาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า หลิ่วชั่งหลันขอยอมตายในา ดีกว่าได้รับความอัปยศอดสูจนต้องฆ่าตัวตาย
เหล่าทหารของกองทัพเสวี่ยเยว่ต่างมีสีหน้าเศร้าโศก เพราะาในครั้งนี้มันไม่ยุติธรรม
“ในเมื่อเ้ารนหาที่ตาย ข้าก็จะสงเคราะห์ให้”
เจินหยวนสีดำที่อยู่รอบๆ ร่างของเงาดำที่เย็นะเืนั่นเริ่มแล่นพล่านอีกครั้ง มันอัดแน่นไปด้วยพลังทำลายล้าง
“ความเกรี้ยวโกรธจนเส้นผมชี้ชัน พิงระเบียงคราใด ฝนหนักจักต้องหยุด”
“แหงนหน้าทีไรจักต้องแผดเสียงอย่างบ้าคลั่ง”
“ลาภยศสามสิบปีเหลือเพียงเถ้าธุลี ทางแปดพันลี้ดุจเมฆและดวงจันทร์”
ทันใดนั้นได้มีเสียงเพลงอันไพเราะดังจากที่ไกลๆ และเสียงที่ไพเราะนั่นก็ได้เข้าสู่โสประสาทของทุกคน
“หากหลิ่วชั่งหลันตาย วันนี้องค์ชายโม่เจี๋ยก็ต้องถูกฝังไว้ที่นี่ด้วยเช่นกัน”
แม้เสียงนี้จะฟังดูเหลาะแหละ แต่มันกลับทำให้ผู้คนไร้ข้อกังขา
เงาดำที่ชักสีหน้าเคร่งขรึมเหลือบมองสถานที่ที่ห่างไกล ก่อนกล่าวอย่างเ็าว่า “ใครกันที่กล้ากล่าววาจาบ้าบอเช่นนี้?”
“ฮั่นมั่ว เ้าหลอกข้าว่าเสวี่ยเยว่นั้นไร้ผู้อ่อนแอ?”
เสียงที่มาจากที่ไกลเริ่มเข้าใกล้ขึ้นมาเรื่อยๆ จากนั้นได้มีอีกร่างเงาปรากฏอยู่บนท้องฟ้า
ข้างใต้ร่างเงานั้นมีเมฆเจินหยวนลอยอยู่ และคนคนนั้นก็นั่งอยู่บนเมฆเจินหยวนในขณะกำลังดีดกู่ฉินอยู่
“เยียนยวี่ผิงเซิง!”
ฮั่นมั่วประหลาดใจเมื่อเห็นร่างที่ปรากฏขึ้นกะทันหัน คนคนนี้คาดไม่ถึงว่าจะปรากฎตัวมาในเวลานี้
“จิตที่ฮึกเหิม ยามหิวโหยจนต้องกินเนื้อ หากหัวเราะเยาะจนกระหายก็จงดื่มเื” นิ้วเรียวยาวของเขาพลิ้วไหวไปตามสายกู่ฉินพร้อมกับแสงสีขาวที่เปล่งออกมา ทันใดนั้นได้มีเสียงอู้อี้ออกมาจากด้านล่าง และเห็นทหารโม่เยว่นับพันนายถูกเสียงพิณแทงหน้าอกจนสิ้นใจ
เสียงการสนทนาได้จางหายไป คนถูกฆ่าตายแต่กลับไม่เห็นเื
“ฮั่นมั่ว เ้าสังหารทหารเสวี่ยเยว่ของข้า ข้าก็จะสังหารทหารโม่เยว่ของเ้า หากเ้ากล้าสังหารหลิ่วชั่งหลัน ข้าก็จะสังหารโม่เจี๋ยซะ”
ชายวัยกลางคนมองฮั่นมั่วที่กำลังเกรี้ยวโกรธอย่างเยือกเย็น แม้เขาจะสังหารผู้คนไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงสง่างามขณะเล่นพิณ
ฝูงชนต่างแข็งทื่อ นี่เป็อีกหนึ่งผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งอย่างมาก เดิมทีแล้วพวกเขาไม่สามารถต่อต้านได้ และระหว่างที่นิ้วของเขากำลังพลิ้วไหวไปตามสายพิณ ในขณะเดียวกันมันก็สามารถคร่าชีวิตผู้คนได้นับพัน
เมื่อเหล่าทหารเสวี่ยเยว่เห็นคนคนนั้น ั์ตาของพวกเขาก็เผยแววบ้าคลั่งออกมา และแสงแห่งความหวังก็ปรากฏขึ้นในหัวใจของพวกเขาอีกครั้ง
เยียนยวี่ผิงเซิง แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่ในเมื่อเขากล้าพูดออกมาเช่นนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นไม่น้อยไปกว่าเงาดำนั่นเลย และยังเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเสวี่ยเยว่อีกด้วย
ในขณะนั้นหัวใจของหลินเฟิงกลับเต้นระรัวขึ้นมาอีกครั้ง เยียนยวี่ผิงเซิง… ที่แท้เขาก็มีนามว่า เยียนยวี่ผิงเซิง
ชายวัยกลางคนที่อยู่บนชั้นอากาศนั้นหลินเฟิงรู้จักดี ไม่มีเพียงแค่เขาที่รู้จักเท่านั้น แต่เชื่อว่าศิษย์ของสำนักเทียนอี้จะต้องรู้จักคนผู้นี้แน่นอน
ชายวัยกลางคนผู้นั้นสอนหลินเฟิงเล่นพิณ ทำให้จิตใจของหลินเฟิงสงบลง คนผู้นี้คือคนที่เล่นพิณอยู่ท่ามกลางของสวนท้อ และเขาก็ยังเป็ท่านอาจารย์ของหลินเฟิง
เดิมทีหลินเฟิงไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า อาจารย์ท่านนี้จะช่วยทำให้จิตใจของหลินเฟิงสงบลงได้ แม้กระทั่งพิณเขาก็ยังช่วยสอนให้ คาดไม่ถึงว่าเขาจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
ภายนอกดูเงียบสงบ แต่การเคลื่อนไหวนั้นราวกับฟ้าคำราม เขามีบางอย่างที่คล้ายกับเวิ่นอ้าวเสวี่ย นั่นคือใบหน้าที่งดงามกว่าหญิงสาว แต่ในสนามรบนั้นเขาเปรียบเสมือนเทพแห่งความตาย เพียงการโจมตีครั้งเดียวก็คร่าชีวิตของศัตรูได้
“เยียนยวี่ผิงเซิง” หลินเฟิงพึมพำชื่อออกมา ความแข็งแกร่งของท่านอาจารย์เยียนยวี่นั้น น่าจะแข็งแกร่งกว่ารองเ้าสำนักหลงติ่งแห่งสำนักเทียนอี้เสียอีก
ฮั่นมั่วจ้องเขม็งไปที่เยียนยวี่ผิงเซิง หลังจากเงียบไปชั่วครู่เขาก็กล่าวว่า “นานแล้วที่ไม่ได้ยินชื่อนี้ เยียนยวี่แห่งเสวี่ยเยว่ หากวันนี้ข้าท้าประลองกับเ้า เ้าจะว่าอย่างไร?”
“หากอยากสู้ก็เข้ามา”
น้ำเสียงของเยียนยวี่ผิงเซิงยังคงเ็าและสงบนิ่ง ราวกับไม่มีสิ่งใดไปรบกวนเขาได้
เจินหยวนสีดำเริ่มมารวมตัวด้านหน้าฮั่นมั่ว จากนั้นฮั่นมั่วก็ใช้ฝ่ามือหมุนไปรอบๆ ทันใดนั้นเจินหยวนสีดำก็รุนแรงมากกว่าเดิม
“สลายไปซะ!”
ฮั่นมั่วเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมเสียงฟ้าคำราม หมัดนั้นราวกับจะกลืนกินทั้ง์และปฐี จากนั้นหมัดก็พุ่งไปยังเยียนยวี่ผิงเซิง
เยียนยวี่ผิงเซิงยังคงนั่งอย่างสงบบนเมฆเจินหยวน และปลายนิ้วของเขาก็กำลังพลิ้วไหวไปบนสายพิณ จากนั้นก็ได้มีแสงสว่างเปล่งประกายออกมา แสงดังกล่าวได้แผ่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า
“ฟิ้ว... ฟิ้ว... ฟิ้ว...”
เสียงปะทะกันดังขึ้นต่อเนื่อง ทันใดนั้นแสงสว่างที่เจิดจ้าก็ทะลวงผ่านหมัดเจินหยวนสีดำ แล้วยังคงพุ่งตรงไปหาฮั่นมั่ว
“เปลี่ยนสถานที่เถอะ!” ฮั่นมั่วะโขณะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
“ข้าก็คิดเช่นเดียวกับเ้า” เยียนยวี่ผิงเซิงตอบกลับ จากนั้นเมฆเจินหยวนที่รวมเป็ก้อนก็ได้เคลื่อนย้ายออกไป
หลังจากนั้นไม่นาน ร่างเงาทั้งสองก็กลายเป็สีดำและพุ่งออกไปยังที่ห่างไกล ในที่สุดร่างเงาของทั้งสองก็ลับตาไป
ความแข็งแกร่งของฮั่นมั่วและเยียนยวี่ผิงเซิงล้วนทรงพลังมาก หากต่อสู้กันที่นี่ เกรงว่าอาจทำให้ผู้คนที่อยู่ด้านล่างได้รับาเ็จากลูกหลงได้ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนต่างก็ไม่้าเห็นใคราเ็ไปมากกว่านี้
เหล่าทหารด้านล่างมองไปที่ร่างเงาทั้งสองจนลับตาไป แต่สายตาก็ยังคงเหม่อลอยมองไปยังความว่างเปล่า
ความแข็งแกร่งนั้นอยู่คนละชั้นกับพวกเขาเลย เพียงแค่หนึ่งในสองคนก็สามารถส่งผลกระทบต่อาและทำลายกองทัพจนราบคาบได้ พวกเขาแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทั้งเก้าอาณาจักรถึงได้ทำสัญญาห้ามไม่ให้ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรเข้าร่วมา
“จิตที่ฮึกเหิม ยามหิวโหยจนต้องกินเนื้อ หากหัวเราะเยาะจนกระหายก็จงดื่มเื”
“ตาย!”
หลิ่วชั่งหลันส่งเสียงะโก้อง แล้วหยิบธนูออกมาจากด้านหลัง ทันใดนั้นจิติญญาสีทองก็ปรากฎออกมา ซึ่งดึงดูดสายตาผู้คนเป็อย่างมาก
หลิ่วชั่งหลันง้างธนู จิติญญาลูกศรที่คล้ายกับภาพเงานั่นไม่คิดว่าจะอยู่ในมือของหลิ่วชั่งหลัน จากนั้นเขาได้เล็งเป้าไปที่กองทัพโม่เยว่และปล่อยมือทันทีพร้อมกับแสงสีทองเจิดจ้า เพียงชั่วพริบตาได้มีทหารหลายสิบนายต้องสิ้นชีวิตไปเพราะลูกศรของเขา
“ตาย!”
เหล่าทหารเสวี่ยเยว่ต่างคำรามออกมาจนผืนดินสั่นะเือีกครั้ง ก่อนหน้านี้เพียงฝ่ามือเดียวของฮั่นมั่วก็สังหารทหารไปนับพัน และเขายังพยายามข่มขู่ให้หลิ่วชั่งหลันฆ่าตัวตาย ทำให้ทหารกองทัพล้วนไม่พอใจ แต่พวกเขากลับทำอะไรไม่ได้ วันนี้เยียนยวี่ผิงเซิงได้ปรากฏตัวและท้าสู้ฮั่นมั่ว เขาได้ช่วยทุกคนไว้ทันท่วงที ทำให้เหล่าทหารไม่ตาย สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ทำให้กองทัพเสวี่ยเยว่โกรธเกรี้ยวไม่สิ้นสุด
ตอนนี้โลหิตได้ย้อมไปทั่วผืนปฐี
หลินเฟิงจับดาบของตนแน่นและสังหารศัตรูที่ขวางหน้าทุกคนไม่หยุดหย่อน ข้างๆ เขามีคนมากมายต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ จนใบหน้าและร่างกายต้องถูกชะโลมไปด้วยเืที่สาดกระเซ็น
าขยายวงไปบริเวณใกล้เคียงอย่างต่อเนื่อง ไม่มีกลยุทธ์ใดๆ ทั้งสิ้นในการต่อสู้ มีแค่ต่อสู้หรือตายเท่านั้น
ในที่สุดหลินเฟิงก็เห็นร่างเงางดงามที่นั่งอยู่บนหลังม้า ซึ่งนางก็คือต้วนซินเยี่ย
อย่างไรก็ตามนางไม่สามารถขยับตัวได้เพราะถูกมัดเอาไว้ และรอบๆ ก็ได้มีทหารม้าแปดคนเฝ้านางอยู่ ทั้งแปดคนนี้ล้วนสวมชุดเกราะสีดำ แสดงให้เห็นว่าเป็ผู้คุ้มกันทมิฬ
ต้วนซินเยี่ยเองก็มองหลินเฟิงกลับนิ่งๆ ดวงตาของนางสวยงามราวกับดวงตะวันอันอบอุ่น และสีหน้าของนางบ่งบอกได้ว่ากำลังรอคอยความช่วยเหลือจากหลินเฟิง
แน่นอนว่าเหล่าผู้คุ้มกันทมิฬก็เห็นหลินเฟิงสังหารทหารฝั่งพวกเขา จากนั้นแววตาของพวกเขาก็วาวโรจน์ไปด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า มันทั้งแหลมคมและเยือกเย็นไปถึงกระดูกสันหลัง
ทันใดนั้นหลินเฟิงก็ะโไปข้างหน้า ในขณะเดียวกันเหล่าผู้คุ้มกันทมิฬก็พุ่งเข้าหาเขาอย่างไม่มีใครยอมใคร
“ฟับ!!!”
แสงที่เจิดจ้าถูกปลดปล่อยจากดาบของหลินเฟิง
ขณะนั้นฝ่ามือของผู้คุ้มกันทมิฬขยับ แล้วหลินเฟิงก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังที่พุ่งตรงมาหาเขา ทำให้ดาบของเขากวัดแกว่งอยู่ท่ามกลางพายุอย่างไม่มั่นคงเล็กน้อย
เมื่อพลังที่รุนแรงของพวกเขาเข้าปะทะกัน ทำให้หลินเฟิงต้องถอยหลังไป จากนั้นเขาก็เห็นผู้คุ้มกันทมิฬกลับขึ้นไปบนหลังม้า และมองหลินเฟิงด้วยสายตาเ็า จากนั้นพวกเขาก็ควบม้าออกไปพร้อมกับต้วนซินเยี่ย
“ร้ายกาจยิ่งนัก เหล่าผู้คุ้มกันทมิฬต่างเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งมาก!” ม่านตาของหลินเฟิงหดลง แม้ว่าเหล่าผู้คุ้มกันทมิฬจะมีเพียงแปดคน แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้น กลับยิ่งกว่าคนที่หลินเฟิงเคยสังหารมาก่อนหน้านี้มาก
หลินเฟิงกวัดแกว่งดาบแล้วพุ่งออกไป เขาะโขึ้นไปบนหลังม้า แล้วก็ไล่ตามพวกเขาไป
ต้วนซินเยี่ย… ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เขาจะต้องช่วยกลับมาให้ได้