“อะไรนะ! แล้วจะทำอย่างไรดี!”
เสี่ยวชุ่ยร้อนรนจนเบ้าตาพลันแดงก่ำขึ้นมา คว้าตัวหลานเล่อได้ก็ทำท่าจะวิ่งเข้าหอเซียวเซียง แต่โดนหลานเล่อจับไว้เสียก่อน
“พวกเราไปเรียกท่านหมอดีกว่า!”
“ข้ารู้ว่าที่ไหนมีท่านหมอ! ตอนนี้ท่านหมอหลวงจางมาตรวจฮูหยินเฒ่าอยู่ที่บ้านใหญ่ วิชาแพทย์ของเขาล้ำเลิศ พวกเราไปเรียกเขากันเถอะ!”
เสี่ยวชุ่ยที่กำลังร้อนอกร้อนใจ พลันนึกได้ว่าเยี่ยนเจาเจาสั่งคนไปเชิญท่านหมอหลวงจางมาตรวจฮูหยินเฒ่าเมื่อตอนเช้าตรู่ น้ำไกลมิดับไฟใกล้ ยามนี้จะออกไปเชิญท่านหมอข้างนอกก็คงไม่ทัน ท่านหมอหลวงจางจึงเหมาะสมพอดี!
เมื่อทั้งคู่วิ่งออกไปข้างนอกก็ปะทะกับเฝ่ยชุ่ยเข้าอีกคน จึงรีบไปบ้านใหญ่ด้วยกันหมด
ว่ากันตามจริงคือเยี่ยนหลิวซื่อมิได้ป่วยหนัก ปีศาจร้ายก็เป็เื่ปั้นแต่งขึ้นมาแต่แรก นางแค่อุปาทานไปเอง ความจริงร่างกายแข็งแรงอย่างยิ่ง
ส่วนเยี่ยนฟางเยว่เป็เพียงบุตรสาวอนุ ไม่มีสิทธิ์ให้หมอหลวงจากในวังตรวจอยู่แล้ว
เมื่อท่านหมอหลวงจางจับชีพจรของเยี่ยนหลิวซื่อก็พบว่าสุขภาพแข็งแรงดี แต่นางกลับเอนนอนบนเตียงทำท่าป่วยกระเสาะกระแสะ เขาจึงรู้สึกไม่พอใจ
หากมิใช่เพราะเทียบขององค์หญิง เขาคงไม่มีกะใจออกมาตรวจเหล่าฮูหยินผู้เฒ่าอารมณ์ร้ายที่วางมาดเสียใหญ่โตพวกนี้ ช่างน่ารำคาญยิ่งนัก
เขากล่าวไปสองหนแล้วว่าฮูหยินเฒ่าร่างกายแข็งแรง แต่เยี่ยนหลิวซื่อก็ไม่เชื่อ ส่วนหวังซื่อถึงขั้นเช็ดน้ำตาป้อยๆ หากเขาไม่ทราบฝีมือการแพทย์ของตนเอง คงคิดว่าเยี่ยนหลิวซื่อกำลังจะป่วยตายจริงๆ
ในที่สุดหมอหลวงจางก็หมดความอดทน เขาะโเรียกลูกศิษย์น้อยของตนเองให้เก็บกล่องยาเพื่อเตรียมผละจากไป แต่เยี่ยนหลิวซื่อก็ร้องโอดโอยขึ้นมาอีก จนท่านหมอหลวงจางที่อารมณ์ไม่ดียิ่งรับมือไม่ถูก
ทันใดนั้นเสียงโหวกเหวกโวยวายพลันดังขึ้นจากข้างนอก ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กโตไม่เต็มวัยสองคนแว่วมาลางๆ กล่าวคำพูดประมาณว่า “ขอเข้าพบท่านหมอหลวงจาง” “คุณหนูห้าหมดสติไปแล้ว” อะไรสักอย่าง ใจท่านหมอหลวงจางพลันกระตุกวาบ
ล้อเล่นหรือ ในวังหลวงจะมีใครบ้างที่ไม่ทราบว่าแก้วตาดวงใจของฮองเฮาคือคุณหนูห้าจากจวนเยี่ยน เหล่าโอรสของพระองค์เองยังเทียบหลานสาวแท้ๆ ผู้นี้ไม่ติดด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับฮูหยินผู้เฒ่าคนนี้
หมอหลวงจางแบกกล่องจากไปทันที ไม่ว่าใครก็รั้งไม่อยู่ เยี่ยนหลิวซื่อที่โดนหักหน้าอย่างแรงจึงมีสีหน้ามืดครึ้มลงฉับพลัน นางหันไปถามหวังซื่อที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายตนเอง “ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น?”
หวังซื่อปาดน้ำตายังไม่ทันตอบ ร่างหนึ่งก็พุ่งพรวดเข้ามาจนชนเข้ากับม่านลูกปัดส่งเสียงดังเกรียวกราว เยี่ยนหลิวซื่อจึงด่าทันที “ให้ตายเถอะ! จะฆ่าคนแก่อย่างข้าหรือ?”
คนมาเยือนคือเยี่ยนฟางหวาที่โกรธและอับอายแทบบ้าตายนั่นเอง นางชำระกายมาใหม่เรียบร้อยแล้ว เยี่ยนหลิวซื่อยังไม่ทันด่าว่านางออกมาเองทำไม นางก็ชิงทรุดตัวลงคร่ำครวญแทบเท้าเยี่ยนหลิวซื่อเสียก่อน
สิ่งที่นางพูดก็ไม่มีอะไรนอกจากคำพูดไร้ประโยชน์ และใส่ไฟยกใหญ่จนเยี่ยนเจาเจากลายเป็คนจิตใจโฉดชั่วที่ไม่เคารพผู้าุโ
เยี่ยนหลิวซื่อเดิมกำลังโมโหที่โดนท่านหมอหลวงจางตบหน้าอยู่แล้ว ทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าสวนมวลบุปผาหอมเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่ ยามนี้เลยเชื่อคำพูดของเยี่ยนฟางหวาจนหมดใจ พวงแก้มถึงกับแดงก่ำด้วยความโกรธ แทบจะยัดเจาเจากลับลงท้องแม่
นางตบหลังมือเยี่ยนฟางหวาอย่างแรง แล้วด่าทอเยี่ยนเจาเจาราวกับลืมเสียสิ้นว่าใครเป็คนเชิญท่านหมอหลวงจางมาตรวจนาง “จวนเยี่ยนของข้ามีคนอกตัญญูเช่นนี้ั้แ่เมื่อไหร่! นางคงอยากให้ข้าตายจนใจแทบขาด”
เห็นฮูหยินเฒ่าเกรี้ยวกราดเช่นนี้ เยี่ยนฟางหวาจึงอดยิ้มบางตรงมุมปากไม่ได้ นางจิตใจเบิกบานคิดแค่ว่าแผนการของตนเองสำเร็จ แต่เมื่อเห็นสายตาของหวังซื่อที่ร้อนๆ หนาวๆ นางก็เย็นวาบไปทั้งร่าง ไม่กล้าลำพองออกนอกหน้าอีก
ทางฝั่งสวนมวลบุปผาหอมไม่ได้สนใจเลยว่าตอนนี้บ้านใหญ่เป็อย่างไรบ้าง เพราะเยี่ยนเจาเจาหมดสติซ้ำแล้วซ้ำเล่า องค์หญิงกับเยี่ยนเหิงก็ยังไม่กลับมา ทุกคนเลยกระวนกระวายใจจนอยู่ไม่สุข
หนานิเหออยู่เคียงข้างเยี่ยนเจาเจาตลอดเวลา ยกเว้นเพียงตอนที่เสี่ยวชุ่ยเช็ดตัวและผลัดอาภรณ์ให้เยี่ยนเจาเจา เมื่อท่านหมอหลวงจางมาถึง สีหน้าของเจาเจาก็ดีขึ้นมากแล้ว แต่ทั่วร่างยังมีเหงื่อเย็นหลั่งออกมาเรื่อยๆ
สายตาของหนานิเหอลึกล้ำไร้ก้นบึ้ง เมื่อท่านหมอหลวงจางมองเขาแวบหนึ่ง เขาก็หลุบตาลง ก่อนจะมอบที่นั่งข้างกายเจาเจาให้แก่ท่านหมอหลวงจาง
หลังหมอหลวงจางตรวจเสร็จก็บอกได้เพียงว่าแปลก
ที่แท้อาการป่วยของเยี่ยนเจาเจามิได้ป่วยมาแค่วันสองวัน แม้องค์หญิงฉงหยางจะแกร่งกล้าหรือรบเก่งกาจเพียงใด สุดท้ายองค์หญิงก็ยังเป็สตรี นางตั้งท้องเจาเจาก่อนไปออกรบ จึงส่งผลต่อร่างกายทำให้ต้องคลอดก่อนครบแปดเดือน ร่างกายของเจาเจาเลยอ่อนแอกว่าเด็กที่คลอดตามกำหนดมาก
เพียงแต่องค์หญิงทรงฟูมฟักอย่างดี เยี่ยนเจาเจาจึงเติบโตขึ้นมาโดยไม่แตกต่างจากคนอื่นๆ นอกจากตัวผอมเล็กกว่าเหล่าคุณหนูวัยเดียวกันนิดหน่อยเท่านั้น
เมื่อได้ยินเสี่ยวชุ่ยบอกว่าหลายวันก่อนเยี่ยนเจาเจาก็หมดสติไปหนหนึ่งแล้ว ท่านหมอหลวงจางจึงยิ่งขมวดคิ้วแน่น
หากเขาตรวจไม่ผิด เยี่ยนเจาเจาร่างกายอ่อนแอมากมาั้แ่อายุยังน้อย
ท่านหมอหลวงจางจึงถามถึงสภาพร่างกายในวันทั่วไปของเยี่ยนเจาเจา ได้ความว่าหลายปีก่อนนางยังปกติดี มาเริ่ม่หนึ่งถึงสองปีนี้ที่เยี่ยนเจาเจามักจะแขนขาปวดเมื่อยไร้เรี่ยวแรง อีกทั้งยังจับสั่นและเป็ไข้หนัก ยิ่งใน่เหมันตฤดู แขนขาของนางถึงขั้นเย็นเยือก หลั่งเหงื่อเย็นออกมาประจำ และป่วยง่ายมาก
คุณหนูเล็กล้ำค่าที่คาบช้อนทองมาเกิดอย่างนาง จะเป็เช่นนี้ได้อย่างไร?
ท่านหมอหลวงจางได้ยินว่าปกตินางไม่ค่อยทานยา จึงให้เสี่ยวชุ่ยนำเทียบยาทั้งหมดของเจาเจามาตรวจ ก่อนจะถามเกี่ยวกับอาหารการกินในชีวิตประจำวันของนาง แต่ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ
หมอหลวงจางจับต้นชนปลายไม่ถูก สุดท้ายจึงสรุปได้เพียงว่าพื้นฐานร่างกายเจาเจาเสียหายมาั้แ่เกิด ยามนี้เลยอ่อนแอยิ่งขึ้น
เสี่ยวชุ่ยฟังแล้วดวงตาแดงเรื่อ ส่วนหนานิเหอยืนสีหน้ามืดครึ้มอยู่ด้านข้าง
ด้วยความบังเอิญที่หนานิเหอยืนอยู่ข้างแจกันสูงสองจั้ง[1] พอดี เงาดำเลยทาบร่างเขาจนมิด ทั้งยังแผ่กลิ่นอายเย็นะเืออกมาเจือจาง
ท่านหมอหลวงจางจ่ายเทียบยา และสั่งบ่าวว่าห้ามเยี่ยนเจาเจาโดนไอเย็นเด็ดขาด แล้วท่านหมอก็ทำท่าจะผละไป
เด็กรับใช้ของหนานิเหอกลับมาพอดี หลังกล่าวกับหนานิเหออยู่ครู่หนึ่งก็เดินไปข้างกายท่านหมอหลวงจาง ประสานมือขอบคุณแล้วยื่นถุงปักดิ้นใบหนึ่งให้
หมอหลวงจางคิดว่าเป็รางวัลสำหรับการรักษาจึงรับไว้ เมื่อหันมองย้อนกลับไปก็พบว่าหนานิเหอกำลังคุกเข่าลงข้างกายเยี่ยนเจาเจา และจดจ่ออยู่กับการสอดผ้าห่มบนร่างของนาง
เขาทราบดีว่าจวนเยี่ยนมีคุณชายฐานะกระอักกระอ่วนผู้นี้อยู่ หากมิใช่เพราะองค์หญิงยืนกรานจะเลี้ยงเขา ก็ไม่รู้ว่ายามนี้จะโดนจวนเยี่ยนทิ้งขว้างไปอยู่ที่ใด และไม่รู้ด้วยว่าทางฝ่าาจะทรงคิดเช่นไร
หนานิเหอนับว่าเป็ชายหนุ่มที่โดดเด่นผู้หนึ่ง แม้ทั่วร่างสกปรกมอมแมมก็มิอาจลดทอนบุคลิกอันสูงส่งของเขาได้ เมื่อครู่ตนชำเลืองมองเพียงแวบเดียว แต่ก็ไม่พลาดดวงตาอันลึกล้ำของเด็กหนุ่มที่อายุเพิ่งสิบสี่คนนี้ รูปลักษณ์ภายนอกของเขานั้น กระทั่งโอรสน้อยหลายคนในวังยังเทียบไม่ติดด้วยซ้ำ
ท่าทางองค์หญิงน่าจะทรงใส่พระทัยอบรมสั่งสอนมาดี หมอหลวงจางทอดถอนใจแล้วพาลูกศิษย์เดินออกไปข้างนอก ระหว่างนั้นก็อดใจไม่ไหวที่จะจับของในถุงปักดิ้นไปด้วย เมื่อััก็รู้สึกได้ว่าสิ่งของในถุงนั้นผิดปกติ เขาจึงเทออกมาก่อนจะพบว่าเป็อำพันทะเล[2] ชั้นยอดที่หาไม่ได้จากที่ไหนใน่นี้
หากเด็กคนนี้ไม่เป็ใบ้ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาสามัญแน่
แต่องค์หญิงทรงเลี้ยงเด็กคนนั้นมาอย่างดีโดยไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาข้างนอกเช่นนี้ ก็น่าจะมีแผนการของพระองค์เอง ท่านหมอหลวงจางเป็เพียงหมอหลวงเล็กๆ เท่านั้น เื่ราวเหล่านี้ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับเขา
เชิงอรรถ
[1] 1 จั้ง เท่ากับ 10 ฟุต
[2] อำพันทะเล หมายถึง หนึ่งในสี่สุดยอดเครื่องหอมหายากของจีน ประกอบไปด้วยกฤษณา จันทน์หอม กระโปกกวาง และอำพันทะเล ซึ่งมีสรรพคุณในการรักษาโรค มีกลิ่นหอม และมีราคาค่อนข้างสูง