ภายในกระท่อมตอนนี้ มีใครบางคนกำลังเข้าไปในนั้นอย่างเงียบเชียบ
หญิงสาวคนนั้นที่ตัวสั่นเทาเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่เข้ามาในกระท่อม หน้ากากทองแดงบนใบหน้าคนผู้นั้นช่างน่าหวาดหวั่น นางจึงถอยหลังไปทันที ทว่าดวงตาคมกริบภายใต้หน้ากากที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นนั้นไม่ได้มองหญิงสาวคนนี้แม้แต่น้อย ราวกับว่าคนคนนี้กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“ไม่คิดว่าม่อชั่งหลันและปิงเหอเถิงจะอยู่ที่นี่ นอกจากนี้หม้อัเก้า์ดูเหมือนจะยังอยู่ที่ม่อชั่งหลันสินะ ปิงเหอเถิงถึงได้ไล่ล่าเขาเช่นนี้” ป้าเตากล่าวเสียงแ่เบา กระท่อมหลังนี้อยู่ไม่ไกลจากที่ที่เขาและหลินเฟิงอยู่ ท่านหัวเองก็อาศัยอยู่ใกล้ๆ นี้ด้วยเช่นกัน
เมื่อครู่นี้เขาออกมาเดินเล่น แต่กลับััได้ถึงความเยือกเย็น จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงของม่อชั่งหลันและปิงเหอเถิง
ไกลออกไปได้มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้ป้าเตาตาเป็ประกายวูบหนึ่ง ตอนนี้เองที่ร่างของเขาวูบไหวก่อนทะยานสู่ท้องฟ้า เพราะเขาไม่อยากมีปัญหา
“หยุดนะ!” ขณะนั้นได้มีเสียงเฉียบขาดดังขึ้น ป้าเตาที่เพิ่งทะยานออกไปรู้สึกได้ถึงกำปั้นอันแข็งแกร่งมากดทับเขาไว้ จากนั้นกำปั้นดังกล่าวก็กลายเป็มีด
ตอนนี้พลันเกิดเสียงะเิดังก้องไปทั่วบริเวณ กระท่อมหลังนั้นพังทลายลง ส่วนร่างของป้าเตาก็ถูกแรงกดดันทับจนร่วงสู่พื้นดินไม่เป็ท่า
เบื้องหน้าเขาในตอนนี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งปรายตามองอย่างเ็า จากนั้นชายคนนี้ก็เหลือบมองซากศพทั้งสองและหญิงสาวที่นั่งตัวสั่นอยู่ที่พื้น
“ช่างเหี้ยมโหดยิ่งนัก!” ชายหนุ่มคนนั้นมีสีหน้าเยือกเย็นและเต็มไปด้วยจิตสังหารรุนแรง
“ข้าไม่ได้สังหารพวกนาง” ป้าเตาปฏิเสธเสียงเรียบ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ฟังเขาเลยสักนิด มิหนำซ้ำจิตสังหารก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“เ้าไม่ได้เป็คนสังหาร คิดว่าข้าจะเชื่อเ้างั้นหรือ?” ชายหนุ่มกล่าวอย่างเยือกเย็น “เ้าสังหารศิษย์น้องทั้งสองของข้า และยังพยายามทำมิดีมิร้ายกับศิษย์น้องของข้าอีก ถูกข้าจับได้แล้วยังจะคิดหนีอีกหรือ?”
“เขาไม่ได้เป็คนสังหารศิษย์พี่!” หญิงสาวที่นั่งอยู่บนพื้นพลันลุกขึ้นยืน และมองไปที่ชายหนุ่มที่มีแววตาอันเ็า ศิษย์พี่? เมื่อครู่นี้ศิษย์พี่ของนางก็ไม่ได้อยู่ไกลจากกระท่อมมากนัก น่าจะเห็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ทว่าตอนที่พวกนางร้องขอความช่วยเหลือ ศิษย์พี่ของนางคนนี้กลับไม่เข้ามาช่วย รอจนป้าเตาเข้าไปในกระท่อม เขาก็เพิ่งจะออกมา นี่เหรอคือศิษย์พี่ของนาง... ช่างน่าขันนัก
ศิษย์พี่ของนางรู้ว่าตนไม่สามารถจัดการกับฆาตกรตัวจริงได้ จึงใช้ป้าเตาเป็แพะรับบาป
“ศิษย์น้องจงวางใจเถิด ในเมื่อศิษย์พี่อยู่ที่นี่แล้ว จะไม่ปล่อยให้ใครรังแกเ้าได้ อีกอย่างข้าจะต้องล้างแค้นให้กับศิษย์น้องอีกสองคนให้ได้” เป็ไปตามที่หญิงสาวคาดเดาไว้ ชายหนุ่มคนนี้้าให้ป้าเตาเป็แพะรับบาป เพราะเขาและศิษย์น้องออกมาพร้อมกัน แต่ศิษย์น้องถูกสังหารไปถึงสองคน ส่วนเขาปลอดภัยดี ทว่าเขากลับจับฆาตกรไม่ได้ อย่างนี้เขาจะอธิบายอย่างไร? แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ไหน?
“หืม?” ป้าเตาขมวดคิ้ว แม้ว่าหญิงสาวคนนั้นจะแก้ต่างให้เขา แต่อีกฝ่ายยังคงตัดสินว่าป้าเตาเป็ฆาตกร ดูเหมือนว่าเื่นี้จะไม่ง่ายเสียแล้ว
“ท่านจะฆ่าเขาได้อย่างไร? ในเมื่อข้าบอกแล้วว่า เขาไม่ใช่ฆาตกรตัวจริง” หญิงสาวกล่าวอย่างฉุนเฉียว
“ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี” ชายหนุ่มกล่าวขณะมองหญิงสาวที่ตอนนี้ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ก่อนกล่าวต่อว่า “หากเป็ศิษย์น้องถูกข่มขืนแล้วโดนสังหาร ข้าก็ต้องแก้แค้นให้ศิษย์น้องสิ แล้วมันผิดตรงไหนกัน?”
“อู๋กัง ท่านมันไร้ยางอายจริงๆ” สีหน้าของหญิงสาวกลายเป็ซีดเซียวเล็กน้อย ในขณะเดียวกันป้าเตาเองก็เพิ่งเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ที่แท้ชายตรงหน้าก็้าให้เขาเป็แพะรับบาป
“ศิษย์น้องหยุนซี เ้ายังไร้เดียงสาและอ่อนต่อโลกนัก แต่ข้าก็ชอบผู้หญิงที่ไร้เดียงสา เราคงมีชะตาต้องกันแน่ๆ” อู๋กังยิ้มอย่างเ็า เขาสนใจหยุนซีมาโดยตลอด แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ชอบเขา นั่นทำให้เขาไม่พอใจมาก ประกอบกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นแล้ว ในท้ายที่สุดความชั่วร้ายในใจของเขาก็ะเิออกมา
เมื่อได้ยินคำพูดของอู๋กังดังนั้น ใบหน้าของหยุนซีก็ซีดขาวลงไปอีก ชายผู้นี้ช่างหน้าไม่อาย
“ศิษย์น้องอย่าได้รีบร้อนไป รอข้าสังหารฆาตกรได้ก่อน แล้วเราค่อยมาสนุกไปด้วยกัน”
อู๋กังหัวเราะอย่างชั่วร้าย จากนั้นก็มองไปทางป้าเตาด้วยสายตาเยือกเย็นและแฝงไปด้วยจิตสังหาร
ป้าเตาไร้คำพูดใดๆ ตอนนี้เองได้เกิดแสงเจิดจ้าและมีดเสี้ยวจันทราก็ปรากฏในฝ่ามือของเขา เจตจำนงเยือกเย็นที่หนาวไปถึงขั้วกระดูกและความบ้าคลั่งได้พวยพุ่งออกจากมีดเสี้ยวจันทรา
“ไม่เลวนี่ อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 แล้วยังมีอาวุธจิติญญาระดับสูง แต่ยังไงเ้าก็ต้องตายอยู่ดี” อู๋กังยิ้มอย่างเ็า ซึ่งเขาเป็หนึ่งในศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของนิกายหหลั่วเซีย และยังอยู่ระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 9
ตอนนี้เองอู๋กังได้ก้าวออกมา พร้อมกับหมัดมายาที่กลายเป็แสงสุริยันอันไร้ขอบเขต มันยากที่มองตรงๆ ได้
“สะบั้น!” ป้าเตาะโอย่างเ็า ใบมีดของป้าเตาได้ฟาดฟันออกไป ราวกับบริเวณนั้นต้องแตกออกเป็เสี่ยงๆ จากนั้นมันก็ฟันไปที่แสงสุริยันที่ไร้ขอบเขตนั้น ทว่ามันกลับไม่เป็ผล ป้าเตารู้สึกเหมือนตนเพิ่งฟันถูกอากาศ
หมัดสุริยันจากนิกายหลั่วเซียเป็ทักษะระดับพิภพ หมัดที่เหวี่ยงออกไปมันคล้ายกับแสงสุริยะที่ไร้ขอบเขตและไม่อาจจับต้องได้ หากถูกโจมตีด้วยทักษะนี้ล่ะก็ ผลลัพธ์ที่ออกมาคงน่าสะพรึงกลัวเป็อย่างมาก
“ตูม!” ขณะนั้นได้มีเสียงะเิดังขึ้น เมื่อฝ่ามือของอู๋กังปะทะกับป้าเตา ทำให้ป้าเตาร้องออกมาเสียงหนึ่งก่อนก้าวถอยหลังไป การบ่มเพาะระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 9 ซึ่งอีกขั้นเดียวก็จะทะลวงสู่ขอบเขตลี้ลับ ซึ่งการควบคุมพลังเจินหยวนนั้น มันช่างควบคุมได้ยากยิ่ง
“อาณาจักรเสวี่ยเยว่นั้นมีอำนาจล้นเหลือ แม้นิกายหลั่วเซียของข้าจะไม่ทรงอำนาจ แต่ใครจะกล้าดูแคลนนิกายหลั่วเซียของข้าได้ นอกจากแปดคุณชายแห่งเสวี่ยเยว่แล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่อยู่ในสายตาของข้าแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงผู้คนที่เ้าไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ” อู๋กังกล่าวอย่างหยิ่งผยองขณะมองหยุนซี คำพูดของเขาเหมือนกับตั้งใจพูดให้หยุนซีฟัง แต่ผู้หญิงคนนี้กลับไม่ได้สนใจฟังเขาแม้แต่น้อย ช่างน่าขำเสียจริง
“อย่างนั้นหรือ?”
ทันใดนั้นได้มีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา เป็เสียงที่ดังกังวาน แต่กลับไม่รู้ว่าเสียงนี่เป็ของใคร
อู๋กังขมวดคิ้วแน่น ก่อนะโออกไปอย่างเยือกเย็น “แกเป็ใคร ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”
ป้าเตายิ้มออกมา ยกเว้นแปดคุณชายแห่งเสวี่ยเยว่แล้ว อู๋กังก็ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย? อู๋กัง เ้าจะได้รู้เร็วๆ นี้แน่ ว่าสิ่งที่เ้าเพิ่งพูดออกมาช่างโง่เขลาเพียงใด
“เ้าพูดอย่างหยิ่งผยองขนาดนี้ แต่ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าเสียงนั่นมาจากไหน ช่างน่าหัวเราะจริงๆ” ป้าเตากล่าวเยาะเย้ย เมื่อเห็นสีหน้าตึงเครียดของอู๋กัง
“หุบปากเดี๋ยวนี้! คนที่เอ่ยเมื่อครู่จะต้องเหมือนกับเ้าแน่ๆ ที่ชอบทำลับๆ ล่อๆ” อู๋กังกล่าวอย่างไม่แยแส เมื่อเขาพูดจบก็หันไปอีกทาง ทันใดนั้นท่าทางของเขาก็กลายเป็แข็งทื่อไปทันที
ด้านหลังของเขาในตอนนี้มีใครบางคนกำลังยืนอยู่ คนผู้นี้ปรากฏกายอย่างเงียบเชียบ
คนคนนี้มีดวงตาสดใสและใบหน้าที่งดงาม มิหนำซ้ำยังดูเด็กกว่าเขา ดูไปแล้วชายตรงหน้าก็ไม่เห็นมีอะไรให้น่าสงสัยเลยสักนิด
“เ้าเป็ใคร?” อู๋กังถามอย่างไม่แยแสขณะจ้องเขม็งไปที่หลินเฟิง เพราะจู่ๆ ชายผู้นี้ก็ปรากฏกายด้านหลังของเขา จึงทำให้อู๋กังรู้สึกประหลาดใจ
“เ้าเหยียดหยามทุกคน ยกเว้นแปดคุณชายแห่งเสวี่ยเยว่ ข้าคิดว่าในเมื่อเ้าไม่เคยแยแสใคร แล้วทำไมต้องรู้ด้วยว่าข้าเป็ใคร รู้แค่ว่าข้ากับเ้าเป็ศัตรูกันก็พอแล้วจริงมั้ย”
หลินเฟิงแสยะยิ้มเยือกเย็น เมื่อครู่นี้อู๋กังพูดออกมาเองว่า นอกจากแปดคุณชายแห่งเสวี่ยเยว่แล้ว คนอื่นๆ ล้วนไม่อยู่ในสายตาของเขา
“แม้ว่าอู๋กังผู้นี้จะเป็คนที่มั่นใจและเย่อหยิ่ง แต่ข้าก็ไม่อยากเป็ศัตรูกับผู้ใด หากเป็ไปได้ล่ะก็ ข้าย่อม้าสหายมากกว่าศัตรู” อู๋กังกล่าวขณะส่ายหัว ที่เขาเอ่ยออกมาเช่นนั้น เพราะไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายของหลินเฟิงที่มาอยู่ข้างหลังเขาเลยแม้แต่น้อย นั่นทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัยนัก
“ช่างหน้าไม่อายจริงๆ” หยุนซีพูดดูแคลน อู๋กังคนนี้ไร้ยางอายเกินไปแล้ว แค่เห็นหน้าก็ทำให้คนต้องรู้สึกขยาด
“ชายคนนี้เขาเป็สหายของข้า แต่เ้ากลับ้าสังหารเขา เห็นแบบนี้แล้วเ้าคิดว่าพวกเราควรเป็สหายหรือศัตรูต่อกันล่ะ?” หลินเฟิงถามอย่างไม่แยแสขณะชี้นิ้วไปทางป้าเตา ชอบใช้อำนาจกลั่นแกล้งและหลอกลวง นี่แหละคืออู๋กัง
“อู๋กังผู้นี้คือศิษย์หลักอันดับสองของนิกายหลั่วเซีย แล้วเ้าล่ะมีอะไรดี ถึงมาทำตัวหยิ่งผยองเช่นนี้อีก”
อู๋กังรู้ดีว่าตัวเองไม่อาจตอบโต้เขาได้ จู่ๆ สีหน้าของเขาก็เริ่มเยือกเย็นขึ้น เขาเชื่อว่าเพียงแค่เอ่ยชื่อนิกายหลั่วเซียออกไป ก็อาจทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวได้
“ข้าล่ะกลัวนักเชียว!” หลินเฟิงแสยะยิ้ม ตอนนี้เองร่างของเขาสั่นเล็กน้อยแล้วหายวับไปทันที วินาทีต่อมาเขาก็มาปรากฏตัวเบื้องหน้าอู๋กัง
“รนหาที่ตายซะแล้ว!” อู๋กังคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ในขณะนั้นหมัดสุริยันได้แผลงฤทธิ์อีกครั้ง ทำให้บริเวณนั้นราวกับถูกแสงสุริยันกลืนกิน
อย่างไรก็ตาม หมัดสุริยันที่ทรงพลังเมื่ออยู่ต่อหน้าขอบเขตผสานกับเทวโลกของหลินเฟิงแล้ว หมัดก็ไร้ตัวตนทันที เพียงหลินเฟิงขยับนิ้วเท่านั้น คลื่นดาบอันร้ายกาจก็ทะลวงออกไป
“ฉึก...!!!”
“อ๊าก…!!!”
มีเสียงกรีดร้องโหยหวยดังไปทั่วบริเวณ ขณะเดียวกันร่างของอู๋กังก็กระเด็นออกไปหลายสิบเมตร สภาพของเขาดูย่ำแย่อย่างมาก ตรงกลางฝ่ามือมีเืไหลออกมา ก่อนหน้านี้เป็พลังงานที่เฉียบขาดของหลินเฟิงที่แทงทะลุฝ่ามือเขา!
“นอกจากแปดคุณชายแห่งเสวี่ยเยว่ก็ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ช่างฉลาดเหลือเกิน” หลินเฟิงกล่าวเสียงเบาขณะยิ้มเยาะ แต่กลับเป็คำพูดที่รุนแรงอย่างมาก