ข่าวการกลับบ้านของอวิ๋นอี้ มีสารมาบอกั้แ่เช้าแล้ว แม้อวิ๋นเส่าต้าวจะแปลกใจ แต่เมื่อคิดถึงสถานการณ์่นี้ดีๆ เขาก็พอจะเข้าใจได้
ลูกสาวคนที่เขาดูแลนางให้เติบโตมา ไม่เคยต้องทุกข์ระทมหนักหนาใดๆ ั้แ่เล็ก หว่านฉือเข้าจวน ทั้งยังมีไทเฮาตำหนิ สถานการณ์ของนางตอนนี้ถือว่าลำบากไม่น้อย
กลับจวนมาในเพลานี้ ถือว่าเป็เื่ดี
อวิ๋นเส่าต้าวเข้าใจแจ่มแจ้ง เขาสั่งให้คนกว่าร้อยคน ทำความสะอาดเรือนที่นางจะอยู่ทั้งนอกและใน เมื่อทำเสร็จก็ถึงเวลาที่นางถึงจวนพอดี
ดังนั้นคนทั้งจวนทั้งเล็กใหญ่ ก็ล้วนกรูกันออกไปต้อนรับนาง
พวกคนรับใช้คุกเข่าลงเต็มหน้าพื้น ะโต้อนรับพระชายากลับจวน และอวิ๋นเส่าต้าวพร้อมสองคน และน้องชายหนึ่งคนเดินออกมา
เมื่อเห็นรถที่มาจอดอยู่หน้าประตู ยังไม่ทันได้เห็นตัวนาง เสียงของเขาก็เปล่งออกมาก่อนแล้ว “อวิ๋นเออร์ ผ้าฝ่ายของพ่อกลับมาแล้วหรือ?” [1]
เดิมทีคิดว่าการกลับจวนจะต้องเป็เื่น่าอาย แต่เมื่ออวิ๋นเส่าต้าวแสดงออกเช่นนี้ ปูทางเดินให้นาง [2] อวิ๋นอี้ก็รู้สึกอุ่นใจ เดินลงมาตามทางที่เขาปูให้
นางโผล่หัวออกมาจากรถม้า ชะโงกออกมาดู แล้วตอบอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านพ่อ! อวิ๋นเออร์กลับมาหาท่านแล้วเ้าค่ะ!”
ในขณะที่พูดอยู่ หรงซิวก็ลงจากรถ ยื่นมือออกไปหานาง นางใช้แรงตนเองะโลงมาจากรถ แล้วพุ่งเข้าไปด้านหน้า
“ท่านพ่อ! เหตุใดท่านไม่สบายแต่ไม่บอกลูกเลยเล่าเ้าคะ? หรือว่าข้าแต่งออกไปแล้ว มิใช่คนตระกูลอวิ๋นแล้วหรืออย่างไร?” อวิ๋นอี้รู้สึกโกรธเล็กน้อย
แม้ว่าอวิ๋นเส่าต้าวจะเป็เพียงพ่อของเ้าของร่างเดิม แต่หลังจากที่ผ่านมานานเช่นนี้ อวิ๋นอี้ก็ถือว่าพวกเขาเป็ครอบครัวที่แท้จริงของนางไปแล้ว จึงปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความจริงใจ
ในความคิดของนาง ครอบครัวควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ดังนั้นเมื่อท่านพ่อไม่สบาย นางจำเป็ต้องรู้
อวิ๋นเส่าต้าวกวักมือเรียกให้นางเดินไป นางมุ่ยปาก เดินเข้ามาหาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ถูกกดบ่าลง แล้วฟังคำพูดที่เขาพูดช้าๆ ด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็กำลังจะบอก แต่เ้าก็มาพอดี ดูท่าเราพ่อลูกจะใจสื่อถึงกัน”
ต้องบอกเลยว่าไม้นี้สูงจริงๆ ทำเอานางพูดไม่ออกเลย สุดท้ายทำได้เพียงกระทืบเท้าแล้วจ้องเขาด้วยรอยยิ้ม
ก่อนออกเรือน อวิ๋นอี้อยู่ในจวนก็ถูกคนคอยดูแลเอาใจใส่ ตอนนี้ออกเรือนไปแล้ว ทุกอย่างก็ยังเป็เช่นเคย
ั้แ่หน้าประตูจนถึงห้องโถง คนรับใช้มากมายก็พากันทักทายนาง มีกระทั่งพูดคุยกับนางด้วยรอยยิ้ม ทำเอานางอารมณ์ดีเป็อย่างมาก ตอนนี้นางเอาเื่กวนใจล้วนทิ้งไว้ด้านหลัง
นางพยุงให้อวิ๋นเส่าต้าวนั่งลงแล้ว ก็ถาม “ท่านพ่อมิสบายตรงไหนหรือเพคะ?”
“พ่ออายุมากแล้ว ทำงานหนักนิดหน่อย ร่างกายก็ทนไม่ค่อยได้น่ะสิ” อวิ๋นเส่าต้าวพูดตอบ ราวกับกังวลว่านางจะไม่เชื่อ จึงเงยหน้าหันไปมองทางลูกชายคนโตอวิ๋นฉี
อวิ๋นฉีสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน ทำให้เขาดูสง่างามและอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น หลังจากได้รับสายตาแล้ว เขาก็ก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า "อวิ๋นเออร์ ที่ท่านพ่อพูดน่าจะจริง ข้าวัดชีพจรให้พ่อแล้ว ไม่เป็กระไรมากหรอก เพียงแค่ทำงานหนักไปเล็กน้อยเท่านั้น”
ราชวงศ์ต้าอวี่นั้นสงบสุข ประชาชนอยู่กันอย่างสะดวกสบาย แม้ในเขตบุรุษแดนจะมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง ก็เป็เพียงแค่เื่บาดหมางเพียงเล็กน้อย มีหรงซิวคอยดูแลอยู่ มิมีผู้ใดกล้าทำการอุกอาจ
อวิ๋นอี้พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ท่านพ่อ! ท่านก็รู้ว่าตนเองอายุมากแล้วนะเ้าคะ อย่าทำงานหนักสิเพคะ! หรือว่างานราชการที่มากมายของต้าอวี่ มิมีท่านแล้วจะดำเนินต่อไปมิได้หรืออย่างไร?”
“อวิ๋นเออร์!” อวิ๋นเส่าต้าวเหลือบมองหรงซิวแล้วพูดตำหนิเบาๆ พ “คำพูดเช่นนี้พูดมิได้” เกรงว่านางจะไม่สบายใจ จึงได้ดึงแขนนางมาพูดเบาๆ “พ่อรู้แล้วว่าพ่อผิด เ้าอย่าโกรธไปเลยนะ?”
นางเอออออย่างไม่ชอบใจ ยังคงกังวล จึงพูดบอกเขาอีกสองสามคำแล้วหยุดพูดไป
หรงซิวกลับมากับอวิ๋นอี้ ตามมารยาท อวิ๋นเส่าต้าวจึงให้เขานั่งลง พวกเขาทั้งสองก็เริ่มคุยกันด้วยคำพูดเกรงใจกัน
เดิมคิดว่าคำพูดของอวิ๋นเส่าต้าวจะมีคำตำหนิหน่อย แต่ผู้ใดจะคิดว่าจนกระทั่งเขาจากไป เขากลับไม่ว่ากระไรเลย
แม้จะเป็เช่นนั้น หรงซิวก็รู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น
ตอนบ่ายเขายังต้องเข้าไปในวัง ปรึกษาเื่งานกับฮ่องเต้อวี่ซวน มิเช่นนั้นเขาคงจะอยู่ต่อ อธิบายเื่ราวกับเขาให้ดี
แต่ว่า...
เื่ของหว่านฉือ เขาจะอธิบายอย่างไรก็คงอธิบายได้ไม่ชัดเจน ถึงอย่างไรเื่ที่เขาแต่งงานกับหว่านฉือแล้วนั้นมันเป็ความจริง
ตอนที่หรงซิวออกไปจากจวน ก็ได้พบกับอวิ๋นจ้าน เป็น้องบุรุษสี่ของอวิ๋นอี้ อารมณ์ของเขาไม่ค่อยจะดีมาตลอด เมื่อเห็นเขาก็กลอกตาขาวใส่ทันที ไม่แม้แต่จะกล่าวทักทาย
“......”
เด็กน้อยมีอารมณ์รุนแรง ไม่รู้จักเก็บซ่อนอารมณ์ของตนเอง ทุกการแสดงสีหน้าแสดงออกถึงอารมณ์ที่แท้จริงของเขา
หรงซิวยิ้มอย่างช่วยมิได้ แล้วตบไหล่เขา จากนั้นก็เห็นเด็กหนุ่มขมวดคิ้วสูงแสดงสีหน้ารังเกียจแล้วเดินบิดออกไป
เขาตลกจนหัวเราะออกมา พูดกับอวิ๋นอี้ที่อยู่ข้างๆ “น้องสี่รักเ้ามากเลยเชียว”
“ฝ่าารู้ก็ดีเพคะ” สตรีสาวมุ่ยปาก “ข้ามีคนคอยปกป้อง ฝ่าาระวังไว้เถิดเพคะ อย่าทำให้ข้าโกรธบ่อยนักเลย”
“ข้าจะกล้าดีได้อย่างไร?” หรงซิวตอบทันทีด้วยท่าทีเกรงกลัว
อวิ๋นอี้ยิ้มเหอะ ตั้งใจปัดผมลง ไม่อยากจะไปสนใจเขา ตอนที่ทั้งสองมาถึงประตูทางเข้าเรือน ก็เป็ตอนที่พระอาทิตย์ร้อนแรงที่สุด แสงสว่างร้อนแผดส่องลงมาที่ผิวขาวของนาง ไม่นานนักมันก็เปลี่ยนเป็สีแดงมะเขือเทศ
หรงซิวดึงนางเข้าไปที่ชายคา เอามือป้องที่เหนือหัวนาง บังแสงแดดให้นาง แล้วก็พูดด้วยรอยยิ้ม “กลับเข้าไปเถิด ข้างนอกร้อนมาก”
“เพคะ”
“ข้าเสร็จงานแล้วจะมาหาเ้า”
อวิ๋นอี้อิดออดขึ้นมา มุ่ยปากพูด “ในจวนฝ่าายังมีหญิงงามอยู่อีกคน หว่านฉือรอฝ่าาอยู่ ข้าไม่อยู่แล้ว นางแทบอยากจะกลืนกินท่าน จะว่างมาหาข้าได้อย่างไรกัน?”
“ข้ามีวิธีของข้า”
“ผู้ใดสนกัน” นางผลักเขาออกไป ไม่พูดกระไรแล้วเดินไปเลย เหลือเพียงแผ่นหลังกระโดกกระเดกให้เขาเห็น
หรงซิวเอามือลูบจมูกอย่างช่วยมิได้ ยาชิงเข้ามาเรียกให้เขากลับจวน เขาถึงได้หันกลับไปอย่างไม่เต็มใจ แล้วขึ้นรถไป
ยังไม่ทันจะกลับถึงจวน ก็เห็นพ่อบ้านรออยู่ที่หน้าจวน ยาชิงรายงานเขาผ่านหน้าต่าง เมื่อพูดจบ ก็เงยหน้าขึ้นแล้วเห็นหว่านฉือยืนจับชายกระโปรงตั้งหน้าตั้งตารอ
“ฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ พระชายารองอยู่หน้าประตู”
หลังจากที่หรงซิวไปส่งอวิ๋นอี้ หว่านฉือก็สั่งให้คนนั่งรอดูความเคลื่อนไหวอยู่ที่หน้าประตู หากมีการเคลื่อนไหวใดๆ ให้รายงานให้นางรู้ทันที
ปราศจากอุปสรรคอย่างอวิ๋นอี้ ก็เป็โอกาสที่ดีในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหรงซิว
โอกาสที่ได้มาอย่างยากลำบาก หว่านฉือจะต้องใช้มันอย่างดี
นางเห็นหรงซิวลงจากรถมา ก็เดินเข้าไปช้าๆ แล้วเกี่ยวแขนเขาอย่างเป็ธรรมชาติ พูดเสียงเบาว่า “ฝ่าากลับมาแล้ว ข้างนอกร้อนมากเลยเพคะ ข้าเตรียมผลไม้ไว้ให้แล้ว รอเพียงท่านมาถึง”
หรงซิวอืมตอบ แล้วแกะมือนางออกอย่างไม่แสดงสีหน้าใด แล้วเดินเข้าไปในเรือน
เขาไม่อยากจะให้หว่านฉือเสียหน้ามากเกินไป จึงทานแตงที่นางเตรียมไว้ให้ ตอนที่นางยังกระตือรือร้นเอาขนมออกมา เขาก็ใช้ข้ออ้างเื่งานเข้าไปในห้องหนังสือ
ตอนเที่ยงหว่านฉือใช้ให้คนมาเรียกเขาไปทานอาหาร ก็ถูกเขาปฏิเสธ เมื่อถึงบ่ายแก่ เขาก็ได้รับสารจากฮ่องเต้อวี่ซวน เรียกให้เข้าไปในวัง
เหลียนเหอรายงานลำดับการขององค์ชายให้หว่านฉือฟังอย่างระมัดระวัง มิมีผู้ใดกล้าออกมายืนด้านหน้า “พระชายาเพคะ เราจะทำอย่างไรกันดี...”
“เขา้าที่จะหลีกเลี่ยงข้า ข้าก็จะตามไปโผล่หน้าเขา” หว่านฉือปักปิ่นทองลงมวยผม “เราเข้าวังไปพบไทเฮา ไม่แน่ว่าอาจจะเจอองค์ชายก็ได้!”
เชิงอรรถ
[1] ผ้าฝ้าย 小棉袄 คนจีนจะเปรียบเปรยลูกสาวเหมือนเป็เสื้อผ้าฝ้าย ให้ความอบอุ่นแก่คนในครอบครัว
[2] ปูทางเดินให้ 铺了台阶 หมายถึง การพูดไว้หน้า การพูดให้อีกฝ่ายมีบทบาทในการสนทนาต่อไป