หนิงมู่ฉือหยิบหม้อใบเล็กสำหรับตุ๋นน้ำแกงออกมา นำเห็ดหูหนูใส่ลงไปในหม้อ ก่อนจะหยิบน้ำเต้าอันใหญ่ซึ่งข้างในใส่น้ำเอาไว้มาเทลงในหม้อ ปิดฝาแล้วจุดไฟตุ๋น
“แม่นางหนิง ข้างในน้ำเต้าใส่สิ่งใดเอาไว้หรือ” ไซพานอันเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ว่าสิ่งที่อยู่ในน้ำเต้าคืออะไร
“นี่คือน้ำที่ใช้สำหรับตุ๋นน้ำแกง” นางยิ้มตอบ เห็นได้ชัดว่าน้ำที่อยู่ในน้ำเต้าไม่ใช่น้ำธรรมดา
“น้ำที่อยู่ในห้องครัวเป็น้ำที่เพิ่งนำขึ้นมาจากบ่อน้ำ ใช้น้ำนี้ไม่ได้หรือ” ไซพานอันถามต่ออย่างสงสัย อย่างไรก็น้ำเหมือนกัน สามารถใช้ดื่มได้เหมือนกัน หรือว่าน้ำก็มีแบ่งแยกด้วยว่าน้ำจากที่ใดใหม่กว่ากัน รสชาติดีกว่ากัน
นางยิ้มทว่าไม่ตอบคำ อีกเดี๋ยวชายหนุ่มทั้งสองก็จะรู้เอง นางจะเก็บเื่นี้ไว้เป็ความลับ นางจะสามารถทำน้ำแกงเห็ดหูหนูใส่รังนกได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับน้ำที่ใช้ทำน้ำแกงนี่แหละ
ส่วนจะทำออกมาได้รสชาติอย่างที่ใต้เท้าไซ้าหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับโชคของนางเอง เพราะวิธีการทำนางเดาเอาทั้งสิ้น ทว่านางก็มั่นใจว่าจะทำได้ถูกใจใต้เท้าไซถึงห้าส่วน
ไม่นานน้ำในหม้อก็เดือด “คุณชายไซ ไม่ทราบว่าใต้เท้าไซชอบแบบกรอบหรือแบบนุ่ม” นางลืมถามเื่นี้ไปเสียสนิท เวลาในการต้มเห็ดหูหนูไม่เท่ากัน รสััย่อมแตกต่างกัน
“เื่นี้…ท่านพ่อข้าน่าจะชอบแบบนุ่ม…”
“…” นางพูดไม่ออก แม้แต่บิดาของตัวเองชอบรสชาติแบบไหนก็ยังไม่รู้ สมกับเป็บุตรชายสกุลใหญ่จริงๆ
เมื่อเป็เช่นนี้นางจึงต้มน้ำแกงให้นานอีกสักครู่ นางนำน้ำตาลก้อนและองุ่นตากแห้งที่ได้เตรียมเอาไว้ใส่ลงไปในหม้อ เมื่อเปิดหม้ออีกครั้ง กลิ่นหอมพลันอวลไปทั่วทั้งห้องครัว
กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่โชยขึ้นมาจากหม้อทำให้ผู้คนรู้สึกโล่งและสบาย นางดับไฟ ตุ๋นต่ออีกสักพักจนน้ำตาลละลาย เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเสร็จเรียบร้อย
ครั้นใต้เท้าไซได้ยินว่า หลังจากหนิงมู่ฉือมาที่จวนเสนาบดีของตัวเองก็ตรงดิ่งไปที่ห้องครัว เขารู้ทันทีว่าหญิงสาวกำลังทำน้ำแกงข้นเห็ดหูหนูใส่รังนกให้ทาน ใต้เท้าไซทนนั่งรอต่อไปอีกไม่ไหวจึงเดินไปดูที่ห้องครัว
ด้านนอกห้องครัว บรรดาบ่าวรับใช้และแม่ครัวที่ทำงานอยู่ในห้องครัวต่างมายืนออกันอยู่ด้านหน้า สายตามองเข้าไปในห้องครัว ด้านในห้องครัวมีชายหนุ่มสองคนยืนอยู่ ทุกครั้งที่หนิงมู่ฉือทำอาหารมักจะเรียกสายตาทุกคนเช่นนี้เสมอ
“ใต้เท้าไซ ท่านมาได้เวลาพอดี อีกไม่นานน้ำแกงข้นเห็ดหูหนูใส่รังนกก็จะตุ๋นเสร็จแล้วเ้าค่ะ”
“ฮ่าๆ ข้าก็มาตามกลิ่นนี่แหละ เป็อย่างไร จมูกข้าดีไปเลยใช่หรือไม่เล่า” สายตาของใต้เท้าไซจ้องไปที่หม้อตุ๋นน้ำแกง ครั้งนี้เขารอคอยยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เพราะหนิงมู่ฉือได้ชื่อว่าเป็เทพแม่ครัว เขาจึงมีความหวังมากกว่าครั้งที่ผ่านมา
ในที่สุดน้ำแกงข้นก็ทำเสร็จ หนิงมู่ฉือหยิบถ้วยสามใบมาวาง ใช้ผ้ายกหม้อตุ๋นลงมาจากเตา จากนั้นตักน้ำแกงใส่ถ้วยทั้งสาม แต่ละถ้วยจะมีสีแดงของรังนกแดงที่ถูกฉีกเป็เส้นๆ สีขาวใสของเห็ดหูหนู และสีเขียวขององุ่นแห้ง เนื่องจากน้ำแกงข้นใส่น้ำตาลลงไปด้วยจึงมีลักษณะข้นเหนียว
ดูจากสีสันของน้ำแกงข้น มีทั้งสีแดง ขาว เขียว สีสันหลากหลายยิ่งนัก ดมจากกลิ่น น้ำแกงข้นมีกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยเข้าจมูกอยู่ตลอดเวลา และดูจากหน้าตา น้ำแกงข้นมีสีขาวใสดูไม่เลี่ยน เรียกได้ว่าเป็อาหารชั้นยอดเลยก็ว่าได้ น่ากลัวว่าแม้แต่พ่อครัวหลวงในวังก็ไม่มีทางทำออกมาได้เช่นนี้แน่
จ้าวซีเหอ ไซพานอัน และใต้เท้าไซต่างหยิบไปคนละถ้วย บรรดาบ่าวรับใช้ที่ดูอยู่ด้านนอกห้องครัวเห็นเช่นนั้นก็ลอบกลืนน้ำลายไปตามๆ กัน ต่างคนต่างคิดอยากจะลองชิมว่าน้ำแกงข้นจะมีรสชาติเช่นไร
“แม่นางหนิง น้ำแกงข้นเห็ดหูหนูใส่รังนกที่ข้าได้ทานตอนนั้นมีสีขาวเหลือง แต่นี่มีสีแดงมาด้วย…”
เนื่องจากใต้เท้าไซเห็นสีสันของน้ำแกงข้นเห็ดหูหนูใส่รังนกในครั้งนี้ไม่เหมือนกับปีนั้นที่ได้ทานจึงคิดจะปฏิเสธเื่ที่หนิงมู่ฉือทำน้ำแกงข้นเห็ดหูหนูใส่รังนกได้สำเร็จ
“ใต้เท้าไซ แม้รังนกที่อยู่ในถ้วยจะเป็สีแดง แต่ก็เป็เพราะมันมีคุณประโยชน์มากกว่ารังนกธรรมดา หากพูดถึงเื่รสชาติ มันมิได้แตกต่างจากรังนกธรรมดา ท่านลองชิมสักคำเถิด ตัดสินจากรสชาติจะดีกว่า”
ใต้เท้าไซได้ยินเช่นนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก ตักน้ำแกงข้นเห็ดหูหนูใส่รังนกเข้าปากเพื่อลองชิมดู เมื่อลิ้นได้ัักับน้ำแกงข้น เ้าตัวถึงกับชะงักนิ่งประหนึ่งลืมไปแล้วว่าต้องเคี้ยวอย่างไร
พอจ้าวซีเหอและไซพานอันตักทานเข้าปากต่างชมว่ายอดเยี่ยม เนื่องจากปริมาณไม่มากไม่นานทั้งสองคนก็ทานหมด
ทั้งสองคนหันไปมองใต้เท้าไซ ใต้เท้าไซยังไม่ทันตักคำที่สองเข้าปาก เพียงแค่คำแรกก็น้ำตาคลอ ยืนนิ่งราวกับกำลังนึกย้อนไปถึงความทรงจำในครานั้น ดูจากท่าทางแล้ว น่าจะเป็การนึกย้อนไปถึงความทรงจำอันแสนสุขถึงได้หลั่งน้ำตาแห่งความสุขใจออกมา
เห็นบิดาร้องไห้ ไซพานอันนิ่งอึ้งไป เพราะแต่ไหนแต่ไรมาตนไม่เคยเห็นด้านที่อ่อนแอของบิดาเช่นนี้มาก่อนเลย
“ท่านพ่อ!” เขาเอ่ยเรียก ใต้เท้าไซถึงได้หลุดออกมาจากความทรงจำในครั้งนั้น
“ท่านพ่อเป็อะไรหรือขอรับ เหตุใดถึงได้ร้องไห้” ใต้เท้าไซยกมือจับที่แก้มแล้วก็ต้องตะลึงงัน เมื่อเห็นว่าด้านนอกห้องครัวมีบ่าวรับใช้อยู่เต็มไปหมด ใต้เท้าไซก็รีบใช้มือปาดน้ำตา
“ไม่ ไม่เป็อะไร เพียงนึกถึงเื่ราวในอดีตเท่านั้น แม่นางหนิง ขอบคุณมาก เ้าทำให้ข้าได้ทานรสชาติในปีนั้นอีกครั้ง เพียงแต่รสชาตินี้…”
แม้ใต้เท้าไซจะทานเข้าไปแค่คำเดียว ทว่าแค่คำเดียวนี้ก็ได้ปลุกความทรงจำในตอนนั้นให้กลับมา เขาจึงรู้สึกแปลกใจ
“ใต้เท้าไซ ท่านบอกว่าน้ำแกงข้นเห็ดหูหนูใส่รังนกเต็มไปด้วยความทรงจำ แม้จะผ่านมานานหลายปีแล้ว ท่านก็ยังลืมมันไม่ลง ข้าจึงมาคิดว่ามีสิ่งใดที่จะทำให้คนเรารู้สึกเช่นนั้นได้บ้าง และต้องไม่ใช่วัตถุดิบที่ใส่ลงไปในอาหาร ขบคิดไปมา ข้าจึงตั้งใจทำน้ำแกงข้นถ้วยนี้ให้เหมือนกับกำลังเขียนเื่ราวอยู่”
หนิงมู่ฉือไม่คาดคิดเลยว่าตัวเองจะโชคดีเช่นนี้ ไม่อยากจะเชื่อว่าวิธีที่มาจากความรู้สึกก็ใช้ได้ผล
“กลิ่นหอมของน้ำแกงข้นถ้วยนี้มาจากดอกไม้ชนิดหนึ่ง ดอกติงเซียง[1]” นางเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ เพราะนางใส่ดอกไม้ชนิดนี้ลงในน้ำที่ใช้ทำน้ำแกง มันจะส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้ผู้คนเดาไม่ออกว่าคืออะไรกันแน่
“ดอกติงเซียง ใช่แล้ว พอเ้าพูด ข้าก็นึกออกทันทีว่ามันคือกลิ่นหอมของดอกไม้ชนิดนี้ เพียงแต่ได้กลิ่นไม่ค่อยจะชัดเจนเท่าใดนัก” จ้าวซีเหอที่อยู่ด้านข้างเอ่ยออกมา เขาได้เรียนรู้วิธีทำอาหารอีกวิธีหนึ่งแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะได้เอาไปใช้เมื่อไหร่เท่านั้น
นางเอ่ยต่อ “ดอกติงเซียงเป็ดอกไม้ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น ช่วยเปิดทวารทั้งเก้า บรรเทาอาการซึมเศร้าและทำให้ความรู้สึกผ่อนคลาย อีกทั้งกลิ่นหอมของมันยังมีผลต่อประสาท พูดตามตรงก็คือกลิ่นหอมของมันจะช่วยทำให้ความทรงจำดีๆ ใน่นั้นยังอยู่ในความทรงจำของเรา ผู้คนจึงเรียกดอกไม้ชนิดนี้อีกชื่อหนึ่งว่าความทรงจำ”
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้เองหรือ…” ใต้เท้าไซพึมพำพร้อมกับนึกขึ้นมาได้ว่า ตัวของสตรีผู้นั้นก็มักจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกติงเซียงซึ่งเป็กลิ่นที่เขาชื่นชอบมากเช่นกัน เพียงแต่หลายปีที่ผ่านมาเขาลืมนางไม่ลงแต่กลับลืมกลิ่นของดอกติงเซียงไปเสียสนิท ทว่าวันนี้กลิ่นนี้ได้ทำให้เขานึกย้อนไปถึงความทรงจำในตอนนั้นอีกครา
“นกไม่เคยนำข่าวคราวของคนไกลมา ทว่าดอกติงเซียงท่ามกลางสายฝนกลับ…”
ใต้เท้าไซเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
[1] ดอกติงเซียง คือดอกไลแลค พืชผลัดใบแบบพุ่ม สูงราว 2 – 10 เมตร ออกดอกเป็ช่อ มีกลิ่นหอม นิยมนำมาทำเป็น้ำหอม