เล่มที่ 1 บทที่ 10 อสุรกายกุ่ยเย่ชา
“ฮะ?” หลินเฟยเองก็หัวไว แต่เมื่อเทียบกับศิษย์น้องซูแล้วกลับตามไม่ทัน...
ไม่นานหลินเฟยก็สังเกตเห็นสายตาละโมบของศิษย์น้องที่มองมายังกระบี่ของตน
‘เป็เช่นนี้นี่เอง…’
หลินเฟยเข้าใจทันที ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี...
ไม่แปลกที่จะเข้าใจผิด การที่เขาสังหารอสรพิษปักษาได้ในกระบวนท่าเดียว ไม่ว่าใครก็คงจะคิดว่าเขาได้อาวุธล้ำค่ามา...
แต่เขาก็ไม่คิดจะอธิบาย ว่าแท้จริงแล้วมันเป็เพียงกระบี่ธรรมดา ที่สังหารเ้าปีศาจร้ายได้อย่างง่ายดายนั้น ก็เพราะเคล็ดวิชากระบี่ที่ยอดเยี่ยมต่างหาก...
“อย่าคิดว่ามีอาวุธล้ำค่าแล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจได้ การปองร้ายศิษย์ร่วมสำนักถือเป็โทษหนัก หากเ้ามอบกระบี่เล่มนั้นมา ข้าก็จะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น...”
“ดูเหมือนว่าศิษย์น้องซูคงจะชอบกระบี่เล่มนี้ หากอย่างนั้นเ้าเอาไปเถอะ ข้าหิวแล้ว จะรีบกลับไปกินข้าว” หลินเฟยส่งยิ้มพร้อมยื่นกระบี่ในมือให้
“แต่ขอเตือนอย่างหนึ่ง บริเวณนี้เป็ปลายธารแม่น้ำหยินที่เต็มไปด้วยปีศาจร้าย หากไม่มีกระบี่เล่มนี้ เกรงว่าตัวข้าคงไม่อาจปกป้องเ้าได้...”
“ศิษย์พี่หลินไม่ต้องห่วง” ศิษย์น้องซูกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะชักเอากระบี่ออกมาเชยชม ไม่สนใจคำพูดของหลินเฟย สิ่งที่สนใจในตอนนี้มีเพียงศาสตราวุธล้ำค่าในมือ หากมีสิ่งนี้แล้วก็ไม่กลัวปีศาจตนไหนอีก ไม่ต้องให้ใครมาปกป้องทั้งนั้น หากมีปีศาจโผล่มา เขาก็จะใช้กระบี่นี้นี่แหละ ฟันมันให้สิ้นซาก...
“ในเมื่อศิษย์น้องซูได้กระบี่แล้ว ก็คือว่าภารกิจของข้าจบสิ้น ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนแล้วกัน เหนื่อยมาทั้งวัน ข้าชักหิวแล้ว”
“ใช่ๆ กลับไปเถอะ...” พอเห็นกระบี่ในมือ ศิษย์น้องซูก็ตื่นเต้นจนตัวสั่น ไม่สนว่าหลินเฟยจะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่ การมีสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ในมือ แม้แต่ตอนเดิน ยังรู้สึกดีใจจนตัวแทบลอย คาดหวังที่จะได้เจอปีศาจโดยเร็ว แบบนั้นเขาจะได้ทดสอบพลังของกระบี่ล้ำค่าขั้นอิงฝูเล่มนี้เสียหน่อย
ผลก็คือ…
หวังสิ่งใดก็ย่อมได้สิ่งนั้น
อสุรกายกุ่ยเย่ชาที่ััได้ถึงกลิ่นของมนุษย์ ปรากฏกายโผล่ขึ้นจากแม่น้ำหยิน
อสุรกายกุ่ยเย่ชาเองก็เป็ปีศาจเช่นกัน แต่เพราะมีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ราวกับอสุกาย แผ่นหลังมีเนื้อปูดโปนคล้ายปีก มือถืออาวุธโลหะที่คล้ายง่าม และบนหัวก็มีเนื้อปูดโปน ยิ่งเสริมให้ใบหน้าที่อัปลักษณ์อยู่แล้ว เพิ่มความน่าสยดสยองเข้าไปอีก
อสุรกายกุ่ยเย่ชาชื่นชอบการกินหัวใจมนุษย์ แต่มันไม่ชอบกินดิบๆ หลังจากที่ฆ่าและควักเครื่องในออกมา มันก็จะใช้ง่ามโลหะในมือแทงหัวใจ จากนั้นก็พ่นไฟออกมาย่างให้สุก เมื่อสุกดีแล้วค่อยลิ้มรสอาหารอันโอชะนี้
หากเป็ศิษย์น้องซูคนเก่า เมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ คงวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปแล้ว เ้าอสุรกายตนนี้เป็ปีศาจที่เข้าใกล้ขั้นหลอมกาย ต่อให้เป็ผู้บำเพ็ญขั้นย่างชี่ ก็ยังไม่กล้าจะต้านรับตรงๆ มีมนุษย์มากมายที่ต้องถูกปลิดชีพด้วยน้ำมือของพวกมัน ผู้บำเพ็ญส่วนมากล้วนไม่อยากประจันหน้ากับพวกมัน
แต่วันนี้ไม่เหมือนกัน…
เขามีศาตราวุธขั้นอิงฝู!
รู้หรือไม่ ศาสตราวุธขั้นอิงฝูหมายความว่าอย่างไร?
ในอดีตหลัวอวี้เจินที่อยู่ในขั้นย่างชี่ แต่เพราะมีศาสตราวุธขั้นอิงฝูในมือ จึงสามารถเอาชนะเจ็ดยอดฝีมือขั้นย่างหยวนจากสำนักหลิงเจี้ยนได้ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะยังไม่บรรลุขั้นจู้จี แต่จะสู้เ้าปีศาจปลายแถวเช่นนี้ไม่ได้เชียวหรือ?
“โอ๊ะ นี่มันอสุรกายกุ่ยเย่ชานี่...” หลินเฟยกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ศิษย์น้องซู พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันหรอก...”
“ไม่ใช่คู่ต่อสู้อะไรกัน!” ศิษย์น้องซูที่กำลังฮึกเหิม ไหนเลยจะฟังคำของหลินเฟย
“ศิษย์พี่หลิน ถึงอย่างไรท่านก็เป็ถึงศิษย์สายใน แค่อสุรกายกุ่ยเย่ชาตนเดียว ท่านถึงกลับกลัวจนหัวหดเลยหรือ?”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับศิษย์สายในด้วย…”
“เอาเถอะ หากกลัวก็หลบไปห่างๆ รอข้าสังหารเ้านี่ก่อน แล้วค่อยออกไปด้วยกัน” สิ้นคำ ศิษย์น้องซูก็กระชับกระบี่ในมือมั่น ก่อนจะวิ่งพุ่งเข้าหาอสุรกายกุ่ยเย่ชา
ทันใดนั้นลำแสงกระบี่สายหนึ่งพลันสว่างขึ้น นี่คือหนึ่งในท่าไม้ตายของเขา กระบวนท่าที่สิบเจ็ด กระบวนท่านี้มีชื่อว่าพลีชีพล่อพยัคฆ์ กระบวนท่านี้เมื่อสะบั้นออกไปแล้วไม่มีหวนกลับ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่เขารู้สึกถึงพลังทำลายล้างของกระบวนท่านี้ที่ร้ายกาจกว่าปกติ
ดูท่าศาสตราวุธขั้นอิงฝูจะร้ายกาจสมคำร่ำลือจริงๆ...
น่าเสียดายที่อสุรกายกุ่ยเย่ชาไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
“ตู้ม!”
ครู่เดียว อสุรกายกุ่ยเย่ชาก็ใช้ง่ามโลหะในมือปัดเอาลำแสงกระบี่ของศิษย์น้องหลินแตกสลายอย่างง่ายดาย มันะโย่ำลงบนผิวแม่น้ำหยิน จนเกิดเป็คลื่นน้ำที่รุนแรง ก่อนจะดีดตัวลอยขึ้นกลางอากาศสูงนับสิบจ้าง ง่ามในมือก็ถูกยกขึ้น หมายจะแทงลงไปที่ร่างของศิษย์น้องซู
“เก่งขนาดนี้เชียว?” ใบหน้าของศิษย์น้องซูเริ่มซีดขาว แต่ก็ยังคงปลอบใจตัวเอง
‘ใจเย็น ยังมีศาสตราวุธขั้นอิงฝูอยู่’
คิดได้ดังนั้น ใจก็พลันสงบลงบ้าง ศิษย์น้องซูก้าวถอยออกเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็โคจรพลังไปที่กระบี่
ทันใดนั้นเองศิษย์น้องซูก็เหมือนจะเห็นกระบี่เปล่งแสงเรืองรองออกมา
‘ใช่แล้ว นี่คือสัญลักษณ์ของศาสตราวุธขั้นอิงฝู’
ศิษย์น้องซูจดจ้องไปที่อสุรกายกุ่ยเย่ชาอย่างไม่วางตา สายตาเต็มไปด้วยความภูมิใจ เป็เพียงปีศาจชั้นต่ำ แต่กลับกล้าเหิมเกริมต่อหน้าข้า ตอนนี้มีศาตราวุธล้ำค่าในมือ ขอแค่โคจรพลังปราณเข้าไป ครู่เดียวก็ปลิดชีพเ้าได้อย่างง่ายดาย…
“ตายซะเถอะ!” ศิษย์น้องซูอัดพลังปราณใส่กระบี่เพิ่ม
‘เอ๋?’
เกิดอะไรขึ้น…
ทำไมโคจรพลังปราณเข้าไปแล้ว แต่กระบี่ในมือยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงล่ะ?
ศิษย์น้องซูเริ่มกังวล สองขาก้าวถอยหลัง สองมือก็รีบโคจรอัดพลังปราณเข้าเพิ่มอีก...
ทว่าไม่นานก็มีเสียงร้าวจากบางอย่าง ศิษย์น้องซูยังไม่ทันหันไปดูว่าอะไรร้าว อสุรกายกุ่ยเย่ชาก็ประชิดตัวเข้ามา เขาจึงฝืนยกกระบี่ขึ้นต้าน และเสียงปะทะกันของโลหะก็กังวานขึ้น
ฝ่ายหนึ่งคือปีศาจที่ใกล้จะบรรลุขั้นหลอมกาย แต่อีกฝ่ายกลับเป็เพียงผู้บำเพ็ญที่ยังไม่บรรลุแม้แต่ขั้นจู้จี มีหรือที่จะต้านทานไหว? ร่างของศิษย์น้องซูกระเด็นลอยออกไปไกล ก่อนจะกระแทกสู่พื้นอย่างแรง เืสีแดงสดกระอักออกจากปากไม่หยุด ใบหน้าก็พลันซีดขาวราวกระดาษ
กลิ่นคาวเืที่คละคลุ้งกระจาย ยิ่งกระตุ้นให้อสุรกายกุ่ยเย่ชาคลั่งหนักกว่าเดิม มือที่เต็มไปด้วยเส้นขนและเกล็ดกำง่ามโลหะแน่น จากนั้นก็พุ่งตัวมาหาศิษย์น้องซูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแหวกเสื้อออก เตรียมจะควักหัวใจ…
“อ๊า!” ศิษย์น้องซูร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว
“ศิษย์พี่หลิน ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย!”
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้