ในเมื่อเขาคิดแล้วว่าพนักงานที่นี่ก็มีปัญหา ดังนั้น เขาจึงไม่มีทางหลงเชื่อในคำพูดของคนคนนี้อีกแล้ว เดี๋ยวรอให้ท่านเฮ่อฉางเหอมาถึงก่อน เื่ราวทุกอย่างก็จะชัดเจนขึ้น ดังนั้น ตอนนี้เขาจึงได้แต่ใช้กลยุทธ์ยื้อเวลาออกไปก่อน
ถึงแม้ว่าหลินเยว่คิดจะซื้อสินค้า แต่พนักงานผู้นี้กลับไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด ซ้ำยังมีสีหน้าร้อนรนยิ่งกว่าเดิม เขาเดินหลบไปยังตำแหน่งที่หลินเยว่มองไม่เห็นแล้วพยายามส่งสายตาบอกผู้ชายทั้ง 4 คนอยู่หลายครั้ง แต่ทว่าถึงผู้ชายทั้ง 4 คนนี้จะร้อนใจอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อพวกเขาเห็นเงินจำนวน 6 แสนหยวนลอยอยู่ตรงเบื้องหน้า พวกเขาจึงไม่อยากออกไปจากที่นี่ ขอแค่หลินเยว่ไม่หนีไปไหน พวกเขาก็รู้สึกพอใจแล้ว
อันที่จริง ในใจของหลินเยว่ก็รู้สึกร้อนใจมากเช่นกัน ตอนนี้เป็เวลา 8 โมงเช้าแล้ว ซึ่งเป็เวลาที่ท่านเฮ่อฉางเหอนัดหมายเขาไว้ แต่ทว่าท่านเฮ่อฉางเหอกลับยังมาไม่ถึง ดังนั้น เขาจึงได้แต่เดินชมภายในบริเวณร้านโดยไม่สนใจปฏิกิริยาของคนอื่น
หลินเยว่เดินชมร้านของหรงเล่อเซวียนจนครบหนึ่งรอบ เขาพบว่าการตกแต่งภายในร้านของหรงเล่อเซวียนมีความประณีตมาก มีบางส่วนตกแต่งเหมือนกับร้านในสมัยโบราณ แต่บางส่วนก็ผสมผสานความทันสมัยลงไปด้วย ซึ่งทั้งความเป็โบราณและความทันสมัยก็สามารถส่งเสริมผสมผสานกันได้อย่างกลมกลืนลงตัว มีเสน่ห์น่าสนใจเป็อย่างยิ่ง
ทันใดนั้นก็มีเสียงเดินลงน้ำหนักเท้าอย่างมั่นคงดังขึ้นอยู่ตรงหน้าประตู
หลินเยว่รู้ได้ทันทีว่าท่านเฮ่อฉางเหอมาถึงแล้ว เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า สีหน้าของพนักงานคนนั้นพลันเปลี่ยนสีทันที เขารีบออกไปต้อนรับท่านเฮ่อฉางเหอ
“หลินเยว่มาถึงหรือยัง?” เสียงของท่านเฮ่อฉางเหอดังเข้ามาจากทางด้านหน้า
“ยังครับ เมื่อวานเถ้าแก่หวังนำเครื่องเคลือบโบราณมาชิ้นหนึ่ง เขา้าให้ท่านลองพิสูจน์ดูว่าเป็ของแท้หรือของปลอม แต่ท่านไม่อยู่ ดังนั้น จึงฝากวางไว้ที่นี่ ตอนนี้ผมได้นำไปวางไว้ที่ชั้นบนแล้ว ท่าน้าขึ้นไปดูก่อนหรือเปล่าครับ?” พนักงานคนนี้ถามขึ้น น้ำเสียงของเขาสั่นเล็กน้อย
“ก็ดีเหมือนกัน เดี๋ยวถ้าหลินเยว่มาถึงก็ให้เขาตามขึ้นไปข้างบนทันที”
“ท่านโปรดวางใจ ผมจะบอกเขาเองครับ”
ระหว่างการสนทนา ท่านเฮ่อฉางเหอก็เดินเข้าไปในหรงเล่อเซวียน เมื่อเห็นว่ามีคนจำนวน 4 คนอยู่ไม่ห่างจากตรงหน้าประตูมากนัก ท่านเฮ่อจึงมองหน้าพนักงานอย่างสงสัย
พนักงานคนนี้จึงรีบตอบ “นี่คือลูกค้าของร้านครับ พวกเขามาดูสินค้าน่ะครับ”
“อ้อ ต้อนรับลูกค้าดีๆ ล่ะ อย่าทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าหรงเล่อเซวียนของพวกเรามีการบริการที่ไม่น่าประทับใจ” ท่านเฮ่อฉางเหอมองพวกเขาทั้ง 4 คนแบบผ่านๆ โดยไม่ได้สังเกตเห็นว่าคนที่ถูกเสาบังอยู่คือหลินเยว่
“ท่านโปรดวางใจครับ ผมจะบริการพวกเขาเป็อย่างดี”
พนักงานเห็นว่าท่านเฮ่อฉางเหอกำลังจะเดินขึ้นชั้นบน แต่หลินเยว่กลับไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ เลย เขาจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก หากอีกฝ่ายเรียกท่านเฮ่อไว้ และขอให้ท่านเฮ่อพิสูจน์ว่าเครื่องเคลือบเป็ของจริงหรือของปลอม เหตุการณ์นี้คงกลายเป็เื่ใหญ่แน่ๆ
เมื่อพวกเขาทั้ง 4 คนที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นว่าพนักงานคนนี้ถอนหายใจอย่างโล่งอก พวกเขาก็รู้สึกวางใจขึ้นมาบ้าง
แต่ขณะที่ทุกคนคิดว่าเหตุการณ์กำลังดำเนินไปได้ด้วยดีนั้น เสียงพูดของหลินเยว่ก็ทำให้พวกเขาต้องใจนแทบช็อก
“ท่านเฮ่อครับ ผมมาถึงแล้วครับ”
ระหว่างที่พูด หลินเยว่ก็เดินอ้อมเสาที่บังเขาอยู่แล้วเดินก้าวขึ้นไปทางด้านหน้า
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเยว่ พนักงานคนนั้นก็หน้าเสียขึ้นมาทันที
“หลินเยว่ ที่แท้คุณก็มาถึงตั้งนานแล้ว ผมคิดว่าคุณมาสายเสียอีก ฮ่าๆ ความจริงก็คือผมเป็คนมาสายนั่นเอง” เมื่อท่านเฮ่อฉางเหอได้ยินเสียงของหลินเยว่ เขาจึงรีบหมุนตัวกลับมา ตอนแรกท่านเฮ่อได้ยินว่าหลินเยว่ยังมาไม่ถึงสีหน้าของท่านจึงดูเคร่งเครียดมาก แต่ตอนนี้สีหน้าของท่านกลับกลายเป็ยิ้มแย้มอย่างพออกพอใจ
เมื่อประโยคนี้ของท่านเฮ่อถูกเอ่ยออกมา สีหน้าของพนักงานก็กลายเป็ซีดขาวอย่างกะทันหัน
ส่วนผู้ชายอีก 4 คนเมื่อเห็นสถานการณ์เบื้องหน้าในตอนนี้ พวกเขาจึงเข้าใจได้ทันที ที่แท้แล้วคนที่เขาชนเครื่องเคลือบด้วยนั้นรู้จักกับท่านเฮ่อฉางเหอผู้ซึ่งเป็ปรมาจารย์แห่งเครื่องเคลือบอันดับต้นๆ ของประเทศ และดูท่าว่าจะมีความคุ้นเคยกันมากพอสมควร ถึงแม้ว่าพวกเขาทั้ง 4 คนจะเป็แก๊งชนเครื่องเคลือบที่มีประสบการณ์สูง แต่เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์เบื้องหน้าดูผิดปกติ พวกเขาจึงเตรียมวิ่งหนีอย่างไม่รอช้า
เมื่อหลินเยว่เห็นสีหน้าของพวกเขาจึงรู้ได้ทันทีว่าตัวเองคาดการณ์ได้ถูกต้อง เขาเพิ่งถูก “ชนเครื่องเคลือบ” เพื่อหลอกเอาเงินจริงๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะวิ่งหนี หลินเยว่จึงรีบพุ่งตัวเข้าไปหาและพยายามคว้าแขนของชายหนุ่มไว้ แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับเคลื่อนตัวได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้เขาคว้าได้เพียงแขนเสื้อเท่านั้น
เสียง “แควก” ดังขึ้น แขนเสื้อของชายหนุ่มขาดติดมือหลินเยว่ออกมาชิ้นใหญ่ แม้กระทั่งเศษเครื่องเคลือบในมือของอีกฝ่ายก็ตกพื้นตามลงมาด้วย
หลินเยว่ไม่มีโอกาสใว่าทำไมชุดสูทแบรนด์ดังของชายหนุ่มถึงได้ถูกเขากระชากขาดได้ง่ายถึงเพียงนี้ เพราะตอนนี้เขาได้ถือโอกาสที่อีกฝ่ายกำลังตะลึงงันจึงได้โผเข้าไปหาและคิดจะรวบตัวอีกฝ่ายไว้ แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับมีความคล่องตัวมากกว่า ด้วยความรีบร้อนชายหนุ่มจึงถอดสูทออกและดิ้นหลุดออกจากการจับกุมของหลินเยว่และวิ่งหนีหายไปทันที
หลินเยว่ถือสูทของชายหนุ่มผู้นั้นอย่างตกตะลึง เมื่อเขาจับเนื้อผ้าของเสื้อสูทเขาก็รู้ได้ทันทีว่าสูทตัวนี้เป็ของปลอม เพราะความรู้สึกขณะจับเนื้อผ้าช่างแตกต่างจากสูทแบรนด์ดังราวกับฟ้ากับเหว สูทตัวนี้อย่างมากก็เป็เพียงสูทจากร้านค้าธรรมดาที่มีราคาไม่กี่ร้อยหยวนเท่านั้น
พนักงานในร้านเห็นว่าสถานการณ์เริ่มดูไม่ค่อยดี เขาจึง้าวิ่งหนีเช่นกัน แต่ทว่าเวลานี้หลินเยว่รู้สึกตัวได้ทันเสียแล้ว เขาจึงออกแรงถีบจนอีกฝ่ายล้มลงบนพื้น
หลินเยว่โผตัวเข้าไปหาและใช้ท่าจับกุมหักข้อมือหงายกลับตามที่เขาเคยเรียนตอนอยู่มหาวิทยาลัยเพื่อคุมตัวอีกฝ่ายไว้ และกดอีกฝ่ายลงบนพื้นจนคนผู้นี้ขยับตัวไม่ได้
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนแรกท่านเฮ่อฉางเหอยังไม่ทันตั้งตัว แต่รอจนท่านมีสติกลับมา พนักงานของเขาก็ถูกหลินเยว่กดตัวไว้ที่พื้นเสียแล้ว
หลินเยว่จับแขนพนักงานยกขึ้นตรงๆ ไปทางด้านหลัง ชายผู้นั้นจึงร้องโอดครวญด้วยความเ็ป
“วันนี้ผมมาถึงค่อนข้างเช้า จึงไปเดินเล่นบนถนนหินหยกเส้นนี้ แต่ปรากฏว่าผมกลับเจอแก๊ง ‘ชนเครื่องเคลือบ’ ที่้าหลอกเอาเงินกลุ่มหนึ่งครับ”
หลินเยว่เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งหมดออกมา
พอท่านเฮ่อฉางเหอได้ยิน ดวงตาคู่นั้นของท่านเฮ่อจึงเต็มไปด้วยความโกรธจัด เขามองพนักงานที่อยู่บนพื้นพร้อมถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเ็า “เซวียซาน สิ่งที่หลินเยว่พูดเป็ความจริงหรือเปล่า?”
“ผมถูกกล่าวหาจริงๆ นะครับ! ตอนเช้าผมขายแจกันเคลือบเอกรงค์หูช้างสีถั่วเขียวในสมัยจักรพรรดิเฉียนหลงใบหนึ่งให้พวกเขาจริงๆ และแจกันเคลือบใบนั้นก็เป็ของแท้ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาเอาของปลอมมาจากไหนครับ!”
ท่านเฮ่อฉางเหอเกิดความลังเลเล็กน้อย เพราะในร้านของเขามีแจกันเคลือบเอกรงค์หูช้างสีถั่วเขียวในสมัยจักรพรรดิเฉียนหลงอยู่ใบหนึ่งจริงๆ ดังนั้น เขาจึงมองไปยังตำแหน่งที่วางแจกันหูช้าง และพบว่าตอนนี้ไม่มีแจกันหูช้างวางอยู่ตรงนั้นเสียแล้ว
เมื่อหลินเยว่เห็นสายตาของท่านเฮ่อฉางเหอ เขาก็รู้ว่าในใจของท่านเฮ่อเริ่มเกิดความลังเล แต่ทว่าตัวหลินเยว่เองกลับรู้สึกมั่นใจว่าเซวียซานคนที่เขากดตัวไว้กับพื้นคนนี้มีปัญหาจริงๆ ดังนั้น เขาจึงถามขึ้น “แล้วทำไมเมื่อตะกี๊คุณถึงคิดจะวิ่งหนีล่ะ?”
“ผม้าวิ่งตามพวกเขา! ผมเห็นว่าคุณวิ่งตามพวกเขา ผมก็เลยวิ่งตามไปด้วย”
คำพูดประโยคนี้ของเซวียซานก็ทำให้หลินเยว่ไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้อีก ทั้งๆ ที่เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเถียงข้างๆ คูๆ แต่เขาก็ยังไม่สามารถหาเหตุผลมาโต้แย้งได้ ขณะที่เขาคิดเงยหน้าขึ้นถามท่านเฮ่อว่าควรทำอย่างไรดีนั้น เขาได้เห็นกระดาษ 2 แผ่นในกระเป๋าเสื้อสูทที่ชายหนุ่มคนนั้นทิ้งไว้โดยบังเอิญ ดังนั้น เขาจึงคิดแผนบางอย่างออกมา เขาจึงถามเซวียซานขึ้น “คุณบอกว่าวันนี้คุณขายแจกันงาช้างให้พวกเขาไป 1 ใบ แล้วคุณได้ออกใบเสร็จหรือเปล่า?”
เมื่อเซวียซานได้ยินประโยคนี้ ร่างกายของเขาเกร็งค้างขึ้นทันที และหลินเยว่ก็รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเซวียซานเรียบร้อยแล้ว
“ต้องออกสิ ร้านของพวกเราเวลาขายสินค้าออกไปจะไม่ออกใบเสร็จได้อย่างไร” น้ำเสียงของเซวียซานไม่ได้แข็งกร้าวเหมือนเมื่อสักครู่แล้ว
หลินเยว่ถามเพียงประโยคนี้ประโยคเดียว เพราะหากมีการออกใบเสร็จจริงๆ ก็แสดงว่าเซวียซานได้ขายแจกันหูช้างออกไปหนึ่งใบจริงๆ เช่นกัน เช่นนี้เซวียซานในฐานะที่ตกเป็ผู้สงสัยก็จะกลายเป็ผู้บริสุทธิ์ทันที แต่หากอีกฝ่ายร่วมกระทำความผิดด้วย นั่นก็แสดงว่าใบเสร็จในมือของหลินเยว่เป็เพียงใบเสร็จปลอม เพราะเขาไม่ได้ทำการขายแจกันหูช้างจริงๆ เนื่องจากหากมีใบเสร็จก็จะต้องมีเงินเข้าบัญชี ซึ่งตรงจุดนี้จะกลายเป็หลักฐานชิ้นสำคัญมาก แต่จากการลองสอบถามของเขาเพื่อดูปฏิกิริยาของเซวียซาน เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเซวียซานเป็หนึ่งในตัวปัญหาจริงๆ
หลินเยว่เงยหน้าพูดกับท่านเฮ่อฉางเหอ “ท่านเฮ่อครับ รบกวนท่านไปที่เคาน์เตอร์เพื่อตรวจสอบว่าตอนเช้าวันนี้มีข้อมูลการขายแจกันชิ้นนี้หรือเปล่าครับ”