ฉินอวี่นั่งอยู่ที่เดิม เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นในจิตใจของเขา เขาหวนนึกถึงคำพูดของตำราโบราณเล่มหนึ่งที่อยู่ชั้นบนสุดของหอตำราของสำนักเทียนฉี จนในใจของเขาเหมือนเกิดเคลื่อนซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง
“่เริ่มต้นของปราณชีวิต คนยุคโบราณแสวงหาพลังระดับสูงสุด และเปลี่ยนแปลงมาตามยุคสมัย สร้างเป็กลยุทธ์ ‘ร้อยหลอม’ สิ่งใดคือร้อยหลอม?”
“พันค้อนสร้างกาย ร้อยหลอมบ่มจิต”
“เหตุใดจึงเรียกพันค้อนสร้างกาย? สิ่งสกปรกของร่างกาย แก่นแท้ที่ควบแน่นจนแข็ง”
“เหตุใดจึงเรียกร้อยหลอมบ่มจิต? มีขึ้นมีลง กระจัดกระจายกลับไปมา ขัดเกลาจิตใจ อาศัยความเพียรมั่น”
“กลวิธีร้อยหลอมใช้ฝึกฝนร่างกาย ช่วยขัดเกลาการฝึกฝน สะสมไว้มากยิ่งแตกขยายได้มาก ต้องอาศัยเวลาจึงจะประสบความสำเร็จ ต้องเคี่ยวเข็ญกลวิชาพันค้อนสร้างกาย ร้อยหลอมบ่มจิต จึงจะสำเร็จได้อย่างยิ่งใหญ่!”
“ใน่ยุคต้นมีคนใช้กลวิธีเช่นนี้ เพื่อฝึกฝนกายที่ไร้เทียมทาน หัวใจที่เป็ะ จากนั้นเขาก็ถูกคุมขังอยู่เป็เวลานาน จนถึงตอนนี้วิชาร้อยหลอมจึงสูญหายไป และบุคคลนี้ จึงถูกเรียกว่าจอมเหี้ยมแห่งยุคต้น!”
“มีขึ้นมีลง กระจัดกระจายกลับไปมา สะสมไว้มากยิ่งแตกขยายได้มาก... มันคือกลวิชาร้อยหลอมจริงๆ? เป็ไปได้อย่างไร!” ฉินอวี่ใมาก จนอยากจะถามฉินจ้านขึ้นมาว่าเขาฝึกฝนวิชาอะไร...
หากเป็ “กลวิชาร้อยหลอม” จริง เช่นนั้นแล้วก็คงเป็เื่ยากมากที่จะจินตนาการได้ว่าฉินจ้านจะก้าวไปได้ไกลเพียงใดในอนาคต!
“ฮู้!” ฉินอวี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามระงับความใที่อยู่ภายใน หลังจากเขาย้อนนึกถึงคำพูดของฉินจ้านทีละประโยคอย่างถี่ถ้วน ในใจของของเขาก็ยิ่งสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะไม่ใช่ “กลวิชาร้อยหลอม” ก็คงจะไม่ต่างกันมากนัก นับั้แ่ระดับการฝึกฝนลดลง การฝึกตนใหม่แต่ละระดับก็จะมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นไปด้วย อีกทั้งยังมีการเปิดจุดทะเลทุกข์ขึ้นมา กลวิชาวิเศษที่เขาฝึกฝนจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ยิ่งกว่านั้น จุดทะเลทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะสามารถเปิดออกได้
เมื่อร่างกายเข้าถึงระดับที่ทรงพลังอย่างถึงที่สุดเท่านั้น จึงจะมีโอกาสที่จะเปิดมันออกได้ และเมื่อเปิดออก หนทางในการฝึกฝนก็จะยิ่งยากมากขึ้นด้วย
ทะเลทุกข์ตรงจุดกึ่งกลางระหว่างคิ้ว เหตุที่ถูกเรียกว่าทะเลทุกข์ เป็เพราะความยากลำบากในการฝึกฝน และความยากลำบากที่ต้องเผชิญนั้นไม่สามารถประมาณได้ แต่ความยากลำบากในการฝึกฝนเหล่านี้ กลับให้รางวัลตอบแทนที่ดีเยี่ยมและสมบูรณ์
ดั่งคำกล่าวที่ว่า ทะเลทุกข์นั้นไร้ขอบเขต กว้างไกลไร้เขตจำกัด
ในยุคโบราณ การเปิดทะเลแห่งความทุกข์มีให้เห็นไม่ยากนัก แต่ตอนนี้ ฉินอวี่ได้เรียนรู้ผ่านหอตำราตระกูลฉินมาว่า แทบไม่มีผู้ใดเลยที่สามารถเปิดจุดทะเลทุกข์ได้
แต่เดี๋ยวก่อน!
ทันใดนั้นฉินอวี่ก็นึกขึ้นได้ว่าฉินจ้านพ่อของเขา กล่าวว่าท่านแม่ทิ้งบางอย่างไว้ในร่างกายของเขา แต่เมื่อฉินอวี่สำรวจร่างกายภายในของตนอย่างละเอียด ก็ไม่สามารถััถึงสิ่งใดได้เลย จะเป็ไปได้หรือไม่ว่าของสิ่งนั้นจะอยู่ในทะเลทุกข์?
เป็ไปไม่ได้!
เป็ไปไม่ได้อย่างแน่นอน!
หากวางอยู่ในทะเลทุกข์ คุณสมบัติของร่างเดิมนั้น ทั้งชีวิตไม่มีทางจะเปิดจุดทะเลทุกข์ได้อย่างแน่นอน
เว้นเสียแต่ว่า!
ตอนอายุสิบหก ทะเลทุกข์จะพัฒนาขึ้นเอง แต่หากเป็เช่นนี้... จะยิ่งน่าใไปกว่าเดิม!
แม้ว่าฉินอวี่จะมีข้อมูลของหอตำราของสำนักเทียนฉีทั้งหมด แต่เขาก็ไม่ไม่เคยได้ยินว่ามีจุดทะเลทุกข์ของใครสามารถเปิดตัวมันเองได้
เมื่อคิดถึงเื่นี้ ฉินอวี่ก็รู้สึกว่าท่านแม่ในความทรงจำของเขานั้นกลายเป็ความลึกลับมากขึ้น นอกจากนี้ ท่านพ่อจะต้องรู้เื่บางอย่างเกี่ยวกับความเป็มาของท่านแม่อย่างแน่นอน เพียงแต่ เขาไม่้าเปิดเผยมันเท่านั้นเอง
ท่านแม่มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่?
ฉินอวี่ตกอยู่ในห้วงความคิดลึกๆ แต่หลังจากระลึกถึงความทรงจำของร่างเดิมอย่างละเอียดแล้ว ฉินอวี่กลับไม่ได้รับเบาะแสอะไรแม้แต่น้อย เขาต้องทิ้งความคิดนี้ออกไป ด้วยสถานการณ์ที่มีศัตรูรออยู่ข้างหน้า ฉินอวี่จึงต้องฝึกฝนให้มากที่สุด และขึ้นสู่ขั้นปราณเสถียรให้ได้ภายในระยะเวลาห้าเดือน
เดิมทีแล้วฉินอวี่มักจะคิดอยู่ตลอดว่าตระกูลชุยจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลชิงเหลียนชุย เมื่อได้รับคำยืนยันจากฉินจ้านผู้เป็พ่อ จึงทำให้ฉินอวี่รู้สึกกังวลเล็กน้อย เกรงว่าใน่เวลาสั้นๆ นี้ตระกูลชุยอาจจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับชุยซั่ว โดยไม่ต้องอาศัยพลังภายนอกให้กับเขา อาทิเช่นพวกโอสถต่างๆ!
“ระยะเวลาห้าเดือนครึ่งนั้นไม่สั้นและไม่ยาวนัก สิ่งเดียวที่เขาสามารถพึ่งพาได้ในตอนนี้ คือวิชาปีศาจคลั่งหกปริวรรต แม้ว่าจะรู้ทักษะการต่อสู้จำนวนมาก แต่ตอนนี้ก็ยังไม่สามารถแสดงพละกำลังเ่าั้ออกมาได้”
“นอกจากนี้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงแรกของวิชาปีศาจคลั่งเป็การเผาลมปราณ ดังนั้น ใน่เวลานี้ข้าจำเป็จะต้องบ่มเพาะพลังปราณของตนเองให้ก้าวหน้าขึ้น และหากได้ศึกษาวิชาของสำนักว่านจ้งด้วย นั่นก็ยิ่งเป็เื่ดีมาก”
แม้ว่าฉินอวี่จะเป็ผู้สร้างวิชายุทธ์ว่านจ้ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถใช้มันได้ และยังต้องใช้ระยะเวลานานในการขัดเกลา!
หลังจากไตร่ตรองเล็กน้อย ฉินอวี่ได้ตัดสินใจในใจ จากนั้นจึงลุกขึ้นและจากไป แต่กลับพบเสวี่ยเอ๋อและองค์หญิงสิบสามที่อยู่ไม่ไกลออกไป และยังมีเสี่ยวเถาและเสี่ยวฮวาที่กำลังคุกเข่าอยู่ไกลออกไปพลางพูดอะไรกันบางอย่าง เมื่อเห็นว่าฉินอวี่กำลังเดินออกมา ทั้งสองคนต่างเงยหน้าขึ้น และหันมองฉินอวี่อย่างมีนัยสำคัญ
“พี่ชาย...” ฉินเสวี่ยะโวิ่งเข้ามา และหยุดยืนอยู่ตรงหน้าฉินอวี่ นางเงยหน้าขึ้นมองฉินอวี่ด้วยดวงตาสีแดงก่ำ และพูดขึ้นอย่างประหม่า “พี่ชาย... ท่าน้าสู้กับชุยซั่วในอีกห้าเดือนข้างหน้าจริงหรือ?”
ฉินอวี่ชำเลืองตาไปมองหลงอวี่ เช็ดน้ำตาบนแก้มของฉินเสวี่ยด้วยความทุกข์ใจ และกระซิบเบาๆ “เ้าเป็คนบอกไม่ใช่หรือ? อยากให้พี่ปกป้องเ้าใช่หรือไม่? ถ้ายังเอาชนะไม่ได้แม้แต่ชุยซั่ว พี่จะเอาอะไรมาปกป้องเ้าได้ล่ะ?”
“แต่... เสวี่ยเอ๋อไม่ได้้าให้พี่ชายมาปกป้อง เสวี่ยเอ๋อแค่อยากให้พี่ปลอดภัย พี่ชาย ท่านต้องสัญญากับเสวี่ยเอ๋อนะ ว่าท่านจะต้องชนะชุยซั่ว ตกลงไหม?” ฉินเสวี่ยที่ตัวเตี้ยกว่าฉินอวี่โผเข้ากอดฉินอวี่จนแน่นพลางกระซิบเบาๆ
ฉินอวี่ลูบผมของฉินเสวี่ยและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “แน่นอนสิ พี่ชายเก่งเสียขนาดนี้” จากนั้นฉินอวี่ก็มองไปที่เสี่ยวเถา ซึ่งอยู่ไม่ไกลและกล่าวว่า “เสี่ยวเถา ขอพู่กันและหมึกหน่อยสิ”
ก่อนที่เสี่ยวเถาจะกลับมารู้สึกตัว เสี่ยวฮวารีบหันหลังกลับไปเพื่อหยิบพู่กันและหมึก วันนี้เสี่ยวฮวาดูจะชื่มชมฉินอวี่มากเป็พิเศษ นางตกตะลึงอย่างมาก ในตอนแรกที่ฉินอวี่และชุยซั่วต่อสู้กัน แม้ว่าเสี่ยวฮวาจะได้รับาเ็ แต่ยังไม่ถึงกับหมดสติ นางจึงคอยแอบดูอยู่ตลอด ซึ่งต้องบอกเลยว่าการโจมตีที่ดุร้ายของฉินอวี่กระทบจิตใจของนางอย่างยิ่ง
“องค์หญิงสิบสาม ขอบคุณสำหรับสองครั้งนี้ด้วย” ฉินอวี่หันไปมองหลงอวี่และพูดด้วยความซาบซึ้งใจ ไม่ว่าหลงอวี่จะเข้าใกล้ตัวเขาด้วยจุดประสงค์อะไรก็ตาม แต่นางก็ออกหน้าช่วยฉินอวี่มาแล้วถึงสองครั้ง
หลงอวี่หน้าแดงเล็กน้อย แต่แสร้งทำเป็สงบแล้วพูดว่า “พี่ฉินเกรงใจไปแล้ว ข้ากับเสี่ยวเสวี่ยเป็สหายกัน อีกอย่าง ข้าไม่อาจทนดูความกำเริบเสิบสานของตระกูลชุยได้” หลงอวี่เคยได้ยินเื่เกี่ยวกับบุตรชายคนที่สามของตระกูลฉินมานานแล้ว ก่อนหน้านี้ หลงอวี่และฉินอวี่แทบไม่ได้ติดต่อพูดคุยกันมาก่อน แต่การต่อสู้ระหว่างฉินอวี่และชุยซั่วทำให้หลงอวี่รู้สึกเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ปรากฏเป็ความรู้สึกของดรุณีที่กำลังใฝ่หาคืนวันอันหอมหวาน และเมื่อได้ยินมาว่าฉินอวี่แอบมองตนเองอย่างไร ยิ่งทำให้หลงอวี่เขินอายมากยิ่งขึ้น
หลงอวี่แก่กว่าฉินอวี่สองปี แต่ตอนนี้นางกลับเรียกฉินอวี่ว่าพี่อย่างไม่รู้ตัว และหลงอวี่เองก็ไม่เคยตระหนักถึงสิ่งนี้เลย
การแสดงออกของหลงอวี่ ฉินอวี่มองไปอย่างกว้างๆ และครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น “รากฐานขององค์หญิงสิบสามคงจะอยู่ระดับธรรมดาใช่หรือไม่?”
แก้มสีดอกกุหลาบเดิมเปลี่ยนเป็สีซีดทันที ฟันของนางกัดริมฝีปากสีแดงไว้แน่น และไม่กล้าที่จะมองตรงไปทางฉินอวี่
“ไม่ทราบว่าองค์หญิงสิบสามฝึกกลวิชาวิเศษชนิดใด” ฉินอวี่ถาม
“กลวิชาัฟ้า” หลงอวี่พูดขึ้นเบาๆ ไม่รู้ว่าเป็เพราะเหตุใด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายตาอันลึกซึ้งของฉินอวี่ ในหัวใจของหลงอวี่ก็คล้ายจะน้อยใจขึ้นมาเล็กน้อย นางลืมไปแล้วว่านางเป็ถึงองค์หญิงผู้สูงส่ง แต่ฉินอวี่กลับเป็เพียงลูกพ่อค้าวาณิชคนหนึ่ง
“ด้วยสถานะขององค์หญิง คงมีทรัพย์สมบัติและความมั่งคั่งอยู่ไม่น้อย ทำไมระดับฝึกฝนยังคงอยู่ในระดับที่สองของขั้นยุทธ์ล่ะ?” ฉินอวี่ดูเหมือนจะไม่ทันสังเกตเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของหลงอวี่ และถามอย่างต่อเนื่อง
“ในพระราชวังไม่ได้สวยงามอย่างที่เ้าคิด รากฐานที่ธรรมดาสามัญก็หมายถึงการที่เ้าไม่เข้าถึงทรัพยากรในการฝึกฝนได้” หลงอวี่กัดริมฝีปากสีแดงของนาง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง และครั้งนี้ นางเงยหน้าขึ้นสบตากับฉินอวี่
ฉินอวี่ไม่แปลกใจกับสิ่งที่หลงอวี่พูดมา ความรักในวังที่มีแต่ความจืดจาง และแคว้นอู่ก็เป็เพียงหุ่นเชิด ในฐานะของการเป็องค์หญิง หลงอวี่เป็เพียงความสวยงามที่บังหน้าไว้เท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้
“รากฐานระดับธรรมดา ก็หมายความว่าจะต้องอยู่อย่างปิดบังซุ่มเงียบไปตลอดชีวิต บางที การปล่อยวางั้แ่ต้น อาจจะเป็สิ่งที่ดีที่สุด” ฉินอวี่จ้องไปทางหลงอวี่ และพูดเน้นทีละประโยค
ใบหน้าของหลงอวี่ยิ่งซีดลงไปกว่าเก่า นางหายใจถี่ขึ้น ดวงตาของนางไม่ได้เต็มไปด้วยความไม่พอใจเหมือนก่อนหน้า แต่กลับถูกแทนที่ด้วยประกายแสงอันเฉียบคม หากจะพูดให้ชัด มันคือความทะเยอทะยานและความปรารถนาอันแรงกล้า นางสบสายตากับฉินอวี่ทันที และพูดขึ้นมาพร้อมน้ำตาที่เป็ประกาย “เพียงแค่มีรากฐานระดับธรรมดาก็ต้องถูกกำหนดให้เป็คนธรรมดาไปตลอดชีวิตด้วยหรือ? ข้าไม่เชื่อหรอก ว่าคนอย่างข้าจะเป็คนธรรมดาไปทั้งชีวิต จะต้องมีสักวัน ที่ข้าทำลายพันธนาการนี้ได้ และทำให้ทุกคนได้รับรู้ว่าความธรรมดาเ่าั้ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย!!!”
คำพูดท่อนหลังของหลงอวี่แทบจะเป็การร้องะโออกมา ในฐานะองค์หญิง นางได้รับคำชื่นชมยินดีจากผู้คนนับไม่ถ้วน แต่นางมีความปรารถนาที่จะฝึกตน และนางฝันว่าวันหนึ่งนางจะสามารถไปถึงจุดสูงสุดที่ทำให้กลายเป็คนเหนือคนที่แท้จริง!
ฉินอวี่เหลือบมองหลงอวี่อย่างซับซ้อน เขารู้สึกถึงความปรารถนาอันแรงกล้าและความไม่พอใจในสายตาของหลงอวี่ และพูดอย่างเรียบเฉย “ข้าหวังว่าเ้าจะจำสิ่งที่พูดในวันนี้ได้ตลอดไปนะ”
ในตอนนี้ เสี่ยวฮวานำพู่กันและหมึกมาแล้ว และเซียวเถาก็รีบวิ่งตามมาพร้อมแบกโต๊ะมาบนหลัง ฉินอวี่รับพู่กันมาทันที จุ่มหมึก และเริ่มเขียนลงบนกระดาษซวนจื่ออย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นาน ในขณะที่ทั้งสี่คนยังไม่ทันเห็นสิ่งที่ฉินอวี่เขียน ฉินอวี่ได้เขียนเสร็จแล้ว และหยิบกระดาษซวนจื่อแผ่นหนึ่งยื่นให้เซียวเถาและเสี่ยวฮวา พลางพูดว่า “เมื่อท่องจำแล้วก็ทำลายมันซะ!” พูดจบก็ยื่นกระดาษอีกแผ่นหนึ่งให้กับหลงอวี่ที่กำลังกำหมัดแน่นพร้อมดวงตาที่พร่ามัว
“พวกเ้าลองอยู่ที่นี่ศึกษามันดู ถ้าสามารถฝึกฝนได้ก็ลองฝึกฝนวิชาที่อยู่บนกระดาษดู เสวี่ยเอ๋อ ตามข้าไปหาท่านพ่อ” ฉินอวี่พูดจบก็พยักหน้าอย่างน่าสงสัย
ทั้งสองเดินออกมาจากสวนแล้ว ขณะที่อยู่บนทางเดิน เมื่อฉินอวี่พบว่าไม่มีผู้ใดอยู่โดยรอบแล้ว เขาจึงกระซิบขึ้นเบาๆ “จดจำกลวิชานี้เอาไว้ และห้ามเปิดเผยวิชานี้กับใครทั้งสิ้น!” พูดจบ ฉินอวี่ก็ท่องวิชาสัจจคาถาท่อนหนึ่งใส่หูของฉินเสวี่ย สัจจคาถาชนิดนี้ก็คือวิชาเซียนมรรคา์! ฉินอวี่จะให้ฉินเสวี่ยได้เริ่มฝึกฝนเสียก่อน วันข้างหน้าจึงจะช่วยนางได้ฝึกจนสมบูรณ์
แม้ว่าฉินเสวี่ยจะสงสัย แต่นางก็จำได้อย่างละเอียดรอบคอบ
หลังจากที่ฉินเสวี่ยท่องจำขึ้นใจ ฉินอวี่ก็หยิบจดหมายออกมาฉบับหนึ่ง และพูดว่า “เ้านำจดหมายฉบับนี้ไปยังร้านขายยาหมื่นสรรพสิ่ง บอกว่าเ้าขอพบนักปรุงยาจื่อ จื่อซวินเอ๋อ และนำคำของข้าไปบอกกับนาง ‘ครั้งนี้ยกเว้นให้ ภายหน้าอย่าทำอีก!’ เอาล่ะ จำไว้ว่าจะต้องฝึกฝนสิ่งที่เ้าเพิ่งท่องจำไปเมื่อครู่นี้ และข้าจะออกไปจากจวนตระกูลฉินสักสองสามเดือน ถึงเวลานั้นเ้าก็ช่วยบอกท่านพ่อให้หน่อยแล้วกัน ตกลงไหม?”
“พี่ชาย... ท่านจะไปไหน?” ฉินเสวี่ยพูดอย่างประหม่าและเป็กังวล
“เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้พละกำลังมากขึ้น เอาล่ะ เ้าไปหาท่านพ่อเถอะ เ้าเอาศิลาิญญานี้ไป หากเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลฉิน นำศิลาิญญาก้อนนี้วางไว้ที่ร่องใต้เตาปรุงยาในห้องของข้า ใน่เวลาอันสั้นนี้หากพอจะทำได้ขอให้ออกจากจวนตระกูลฉินให้น้อยที่สุด เข้าใจหรือไม่?”
ในเวลาเดียวกัน
เมื่อหลงอวี่จ้องไปที่ตัวอักษรขนาดใหญ่ที่ดูมีชีวิตชีวาบนกระดาษ ร่างกายที่บอบบางของนางก็สั่นเทาอย่างรุนแรง ดวงตาของนางหรี่ลงเล็กลง น้ำตาในดวงตาของนางได้หยดลงราวกับลูกปัดหัก แต่ใบหน้าที่บอบบางของนางกลับเผยสีของความปีติยินดีออกมา