หากเป็แต่ก่อน หวังซิ่วอิงก็คงเต็มใจมากที่จะให้หลี่เสวี่ยหรูมาเป็ลูกสะใภ้ของตนเพราะพ่อของหลี่เสวี่ยหรูเป็ถึงรองผู้จัดการโรงงานเสื้อผ้า ทั้งลูกชายคนโตกับสะใภ้ใหญ่นั้นมีงานทำทั้งคู่ แต่อันที่จริงแล้วพวกเขาสองคนก็เป็เพียงลูกจ้างชั่วคราวเท่านั้น ซ่งซุนซานต้องรอซ่งเป่าเถียนผู้เป็บิดาเกษียณอายุก่อนเขาถึงจะสามารถสืบทอดงานของซ่งเป่าเถียนได้อย่างเป็ทางการ แต่สะใภ้ใหญ่ไม่สามารถสืบทอดงานให้ใครได้นอกจากนี้ หากลูกสองคนของซ่งซุนซานโตขึ้น เสี่ยวจวินก็ยังสามารถสืบทอดตำแหน่งงานของซ่งซุนซานได้ต่อ แต่เสี่ยวสยาเล่าจะทำอย่างไร?
หากได้หลี่เสวี่ยหรูมาเป็ลูกสะใภ้ของเธอล่ะก็ ทุกอย่างก็คงต่างออกไป พ่อของหญิงสาวเป็ถึงรองผู้จัดการโรงงานกับแค่เื่ออกปากช่วยหางานประจำให้แค่นี้ทำไมจะทำไม่ได้เชียวหรือ?
แต่ว่าไม่นานมานี้หลี่เสวี่ยหรูชื่อเสียงย่ำแย่มากเหลือเกิน เพื่อนบ้านในตรอกต่างก็รู้กันทั่วว่าหญิงสาวคนนี้มีแฟนเก่าที่ตามมาจากชนบทคนหนึ่ง หากให้หลี่เสวี่ยหรูเข้าบ้านตระกูลซ่งมาจริงๆ เธอก็ไม่รู้เลยว่าจะโดนใครดูถูกอย่างไรบ้าง
หวังซิ่วอิงส่ายหน้า “ไม่ได้ๆ แกก็รู้นี่ว่าหลี่เสวี่ยหรูชื่อเสียงเป็อย่างไร”
“นั่นมันไม่ใช่เพราะซย่านีหรอกหรือ!” พอพูดมาถึงเื่นี้ซ่งเหม่ยอวิ๋นก็โกรธขึ้นมาทันที “พี่เสวี่ยหรูบอกว่าเธอกับจางหวาเฟิงอะไรนั่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกันเลย มันแค่ข่าวลือที่คนในตรอกซุบซิบกันไปก็เท่านั้น! แม่ แม่คงไม่รู้สินะ เดี๋ยวเร็วๆ นี้พ่อของพี่เสวี่ยหรูก็จะได้เลื่อนตำแหน่งเต็มตัวแล้ว!”
หวังซิ่วอิงดวงตาเป็ประกายทันที “จริงหรือ?”
ซ่งเหม่ยอวิ๋นเชิดหน้าขึ้น “จริงแท้แน่นอน! ฉันบอกแม่ไปแล้วไง แม่ดูสิว่าฉันทำงานที่โรงงานเสื้อผ้ามากี่ปีแล้ว ยังเป็ได้แค่พนักงานชั่วคราวอยู่เลย ถ้าพี่เสวี่ยหรูแต่งงานเข้าตระกูลของเราล่ะก็ งานของฉันจะไม่ได้เลื่อนขั้นเป็พนักงานประจำหรอกหรือ ถ้าฉันได้ทำงานประจำแล้วการจะหาคู่ครองที่มีคุณสมบัติดีๆ สักคนก็คงไม่ใช่เื่ยากหรอก!”
หวังซิ่วอิงส่งเสียง ‘เหอะ’ แล้วกล่าวว่า “ตอนนี้แกก็หาคู่ครองดีๆ ได้อยู่แล้ว! แกคิดดูสิ ชายหนุ่มที่ป้าหวังกับป้าจางแนะนำให้น่ะดีขนาดไหน? แต่แกเล่าไปพูดว่ารังเกียจเพราะเขาคนนั้นหน้าตาไม่ดี เดี๋ยวก็อ้างว่าไม่ชอบคนโน้นเพราะมีพี่น้องหลายคน ส่วนคนที่พี่สะใภ้ของแกแนะนำให้คนนั้นก็ดีนี่นา? สุดท้ายแล้วเป็อย่างไรล่ะแกกลับเบี้ยวนัดคนอื่นเขาเสียได้! เพราะเื่นี้สะใภ้ใหญ่ก็เลยบ่นกับฉันมาสองวันแล้วเนี่ย”
เวลานี้ซ่งเหม่ยอวิ๋นอยากตบตัวเองสักสองฉาด ทำไมถึงได้หาเื่ใส่ตัวแบบนี้กันนะ! เธอจับแขนหวังซิ่วอิงแล้วยิ้มทะเล้น “วันนั้นไม่ใช่ว่ามีเื่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นหรือไงคะ? ฉันเองก็ขอโทษพี่สะใภ้ใหญ่ไปแล้ว...พวกเรามาพูดเื่พี่รองกันดีกว่า แม่คะ แม่คิดเห็นอย่างไรบ้าง?”
หวังซิ่วอิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ต่อให้พวกเราเห็นด้วยแต่หลี่เสวี่ยหรูจะยินยอมหรือเปล่า? พี่รองของแกผ่านการหย่าร้างมาก่อนนะแถมยังมีลูกติดอีก...”
“แม่ไม่รู้เื่นี้สินะ!” ซ่งเหม่ยอวิ๋นโน้มตัวเข้าไปใกล้หวังซิ่วอิง แล้วกระซิบผู้เป็มารดา “อันที่จริงแล้ว พี่เสวี่ยหรูน่ะชอบพี่รองของเรามาตั้งนานแล้วค่ะ”
“จริงหรือ? เื่นี้...เื่นี้มัน...” หวังซิ่วอิงอยากจะพูดว่าแบบนี้ไม่เท่ากับว่าเื่นี้สำเร็จแล้วหรอกหรือแต่เธอก็เปลี่ยนความคิดเสียก่อน “แล้วทางฝั่งพี่รองของแกเล่า แกคิดว่าพี่รองของแกจะต้องตาต้องใจหลี่เสวี่ยหรูไหม?”
แม้ว่าเธอจะเป็มารดาของซ่งหานเจียงแต่เธอกลับไม่มีปัญญาทำอะไรลูกชายคนรองได้เลย หากไม่ใช่เื่ที่ซ่งหานเจียงเห็นด้วย ต่อให้เธอร้องห่มร้องไห้โวยวายเพียงใด แม่อย่างเธอก็คงไม่สามารถบีบบังคับเขาให้แต่งหลี่เสวี่ยหรูได้หรอก
ซ่งเหม่ยอวิ๋นมั่นใจมาก “พี่เสวี่ยหรูทั้งสวยและมีการศึกษา เว้นเสียแต่พี่รองจะตาบอดมองไม่เห็นของดีตรงหน้าก็เท่านั้น ฉันว่ายังไงพี่รองเขาจะต้องชอบพี่เสวี่ยหรูอย่างแน่นอน”
หวังซิ่วอิงตวาดขึ้น “เขามันตาบอดอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง!” มิเช่นนั้นเขาคงไม่มีทางแต่งงานกับซย่านีหรอก
ซ่งเหม่ยอวิ๋นคิดถึงท่าทางของพี่รองในตอนนั้น ไม่ว่าใครจะพูดอะไรเขาก็จะพาซย่านีมาอยู่ที่นี่ด้วยให้ได้ หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นผ่านไปสองสามวินาที เธอก็พูดขึ้นว่า “เดี๋ยวรอฉันไปปรึกษาเื่นี้กับพี่เสวี่ยหรูก่อนนะคะ!”
ซ่งเหม่ยอวิ๋นกับหลี่เสวี่ยหรูไม่ได้ทำงานที่โรงงานเดียวกัน ทางด้านหลี่เสวี่ยหรูนั้นไม่ได้เข้าทำงานที่โรงงานเดียวกับพ่อของตนเอง เมื่อเธอสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายแล้วเธอก็สอบเข้าทำงานด้วยตนเอง อีกอย่างคือเพื่อหลีกเลี่ยงข้อกังขาเธอจึงไม่ได้สอบเข้าในหน่วยงานที่พ่อของเธอประจำอยู่
แต่ที่ทำงานของพ่อและของเธอนั้นตั้งอยู่ใกล้กันมากและเวลาทำงานของโรงงานก็เท่ากัน ดังนั้นทุกๆ วันทั้งพ่อและเธอจะออกไปทำงานพร้อมกัน
ในวันนี้ซ่งเหม่ยอวิ๋นมารออยู่ที่หน้าบ้านของหลี่เสวี่ยหรูแต่เช้า หลังจากรอจนหลี่เสวี่ยหรูออกมาจากบ้าน เธอก็รีบขยับเข้ามาใกล้อีกฝ่ายทันทีแล้วพูดอย่างตื่นเต้นว่า “พี่เสวี่ยหรูๆ ฉันมีข่าวดีจะมาบอก”
“ข่าวดีอะไรกัน?” หลี่เสวี่ยหรูกลอกตาหนึ่งที “ใช่เื่ที่พี่รองของเธอหย่ากับซย่านีหรือเปล่า?”
ซ่งเหม่ยอวิ๋นเบิกตากว้าง “พี่รู้ได้ยังไง?”
หลี่เสวี่ยหรูขึ้นรถจักรยานแล้วพูดว่า “เมื่อวานพี่สะใภ้รองของเธอก็พูดเองกับปากว่าหล่อนจะขอหย่ากับพี่รองของเธอไม่ใช่หรือไง”
ซ่งเหม่ยอวิ๋นกับหลี่เสวี่ยหรูขี่จักรยานเคียงข้างกัน “อ๋อ ใช่แล้ว เมื่อวานซย่านีพูดไว้แล้วก็จริงแต่ฉันคิดไม่ถึงว่าซย่านีจะขอหย่ากับพี่รองจริงๆ แล้วพี่รองก็ตอบตกลงด้วยนะ! เมื่อวานซย่านีหนีไปแล้วไม่ใช่หรือไง พี่รองน่ะออกไปตามหาหล่อนแต่ก็ไม่รู้ว่าไปหาเจอที่ไหน พอกลับมาบ้านหน้าของเขานั้นเรียบเฉยราวกับน้ำแข็งแถมยังทะเลาะกับพ่อแม่เสียยกใหญ่”
หลี่เสวี่ยหรูระงับความตื่นเต้นของตนเองไว้ในใจแล้วเอ่ยถามอีกฝ่ายว่า “เธอแน่ใจใช่ไหมว่าพี่รองของเธอหย่ากับพี่สะใภ้รองแล้วจริงๆ”
ซ่งเหม่ยอวิ๋นตอบ “แน่นอนสิ พี่ก็รู้นี่ว่าพี่รองของฉันเป็คนยังไง เขาเป็คนพูดคำไหนคำนั้น หากเขาบอกว่าหย่าเช่นนั้นก็จะต้องหย่าอย่างแน่นอน”
หลี่เสวี่ยหรูยังคงเป็กังวลอยู่บ้าง “หากพี่สะใภ้รองของเธอเกิดเสียดายขึ้นมาทีหลังจะทำอย่างไรเล่า? หากเธอไม่ยอมหย่าแล้วกลับมาหาพี่รองของเธอ เขาจะยังยืนกรานที่จะหย่าอีกไหม? เธออย่าลืมนะว่าพวกเขาสองคนมีลูกด้วยกันถึงสามคน”
เมื่อหลี่เสวี่ยหรูพูดเช่นนี้ซ่งเหม่ยอวิ๋นก็เริ่มเป็กังวลขึ้นมาจริงๆ แล้ว ซย่านีเป็แค่หญิงชาวไร่ที่มาจากชนบท เธอไม่มีอะไรเลยสักอย่าง หากหล่อนหย่ากับพี่รองของเธอจริงๆ เช่นนั้นหล่อนคงต้องหอบลูกกลับชนบทมิใช่หรือไร? เมืองปักกิ่งเป็เมืองใหญ่ซย่านีได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของที่นี่แล้ว เธอจะยังตัดใจจากที่นี่แล้วยอมกลับไปยังสถานที่ยากจนข้นแค้นในเมืองชนบทได้หรือ?
“ไม่ได้นะ” เธอกล่าวทันควัน “เราจะปล่อยให้ซย่านีกลับคำไม่ได้!”
หลี่เสวี่ยหรูดวงตาเป็ประกาย “เธอจะหยุดพี่สะใภ้รองของเธอไม่ให้กลับคำได้หรือ? เธอไม่ได้สำคัญกับพี่สะใภ้รองของเธอขนาดที่จะสั่งให้หล่อนทำอะไรก็ได้”
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?” ซ่งเหม่ยอวิ๋นเริ่มร้อนใจขึ้นมา เธอไม่อยากเห็นซย่านีอยู่ที่บ้านของเธออีกต่อไปแล้ว! เพราะซย่านีเลยแท้ๆ เธอกับแม่ก็เลยต้องกลายเป็ตัวตลกในตรอก
หลี่เสวี่ยหรูยังคงเงียบ
ซ่งเหม่ยอวิ๋นเริ่มร้อนรนมากขึ้นเรื่อยๆ “พี่เสวี่ยหรู พี่เป็คนฉลาด พี่รีบคิดหาวิธีหน่อยสิ”
อันที่จริงหลี่เสวี่ยหรูมีความคิดอยู่ในใจแล้ว เธอจงใจเงียบเป็เวลานาน แล้วจึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น เธอก็คิดหาวิธีที่ทำให้พี่สะใภ้รองของเธอมิอาจที่จะเปลี่ยนใจไม่หย่าภายหลังได้สิ หรือไม่ก็ทำให้พี่รองของเธอจำต้องหย่าโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงแทน”
“จะทำอย่างไรๆ?” ซ่งเหม่ยอวิ๋นไม่เข้าใจ
หลี่เสวี่ยหรูลังเล ก่อนจะกล่าวว่า “นี่...นี่เป็ความคิดที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ก็อย่างเช่นเธอหาคู่ครองให้พี่สะใภ้รองของเธอสักคนให้พวกเขาเปลี่ยนจากข้าวสารกลายเป็ข้าวสุก[1] ถึงตอนนั้นเธอก็คงไม่มีหน้ามาพัวพันกับพี่รองของเธอได้อีกต่อไปแล้ว”
ซ่งเหม่ยอวิ๋นขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “ฉันจะไปหาผู้ชายจากไหนมาให้ซย่านีกันเล่า อีกอย่างจะว่าไปแล้วซย่านีก็มีรูปร่างหน้าตาเช่นนี้บุรุษที่ไหนจะยินดีเป็คู่ครองให้เธอกัน! แบบนั้นไม่สู้ฉันหาคู่ครองให้พี่รองไปเลยยังจะดีเสียกว่า แล้วค่อยให้พี่รองเปลี่ยนจากข้าวสารกลายเป็ข้าวสุกก็สิ้นเื่!”
[1] ข้าวสารกลายเป็ข้าวสุก 米熟成熟饭 หมายถึงเื่ราวซึ่งดำเนินมาจนถึงขั้นที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก
