แม้จะเป็ลูกนอกสมรส แต่เ้าจำเป็ต้องพูดออกมาต่อหน้าเช่นนี้หรือ?
ก่อนที่ตนเองจะสามารถสงบสติอารมณ์ลงได้ หวังมู่กลับยั่วยุเขาขึ้นมาอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะโตมาด้วยกันกับหวังมู่ แต่หลิงซวีก็ยังตำหนิเขาอย่างไม่ลังเล
นี่ก็เพื่อช่วยชีวิตเขา
ใบหน้าของหวังมู่ดูมืดมนลงอย่างมาก ก่อนหน้านี้เขาเคยระงับความโกรธของตนเองไว้แล้ว แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเพื่อนที่ร่วมเล่นด้วยกันมาจะต้องตำหนิเขาเพราะเื่ของลูกนอกสมรสเช่นนี้ หวังมู่จึงโกรธมาก และพูดไปอย่างเ็า “หลิงซวี เ้าบอกให้ใครหุบปาก?”
“ไม่ใช่เ้าแล้วจะหมายถึงใครอีกล่ะ! เ้ารู้หรือไม่ว่าเขาเป็ใคร?” หลิงซวีขยิบตาให้หวังมู่ และแอบกังวลอยู่ในใจ และพอจะคาดเดาได้ว่าหวังมู่ที่อยู่แต่ในเมืองเทียนโหมวชั้นใน คงจะไม่เคยได้ยินเื่ตัวตนของฉินอวี่มาก่อน
แต่หวังมู่จะครุ่นคิดอะไรได้ในเมื่อกำลังโกรธเคืองอยู่? เขาที่กำลังโกรธอย่างมาก จึงพูดกลับไปอย่างขุ่นเคือง “ข้าก็อยากรู้นักว่าเ้าคนนอกสมรสคนนี้มันจะมีสถานะอะไรกัน ที่ทำให้คนอย่างเ้าหลิงซวีต้องหวาดกลัวเช่นนี้”
ฉวีหย่งเซิง หยางซาน และไป๋ฉีต่างหันมองหลิงซวีด้วยความสงสัย จากนั้นจึงหันไปมองฉินอวี่อีกครั้ง ครั้งนี้จึงมองดูด้วยความสงสัยที่เต็มอยู่ในใจ พวกเขาต่างเคยได้ยินชื่อเสียงของหลิงซวีกันมาแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าหลิงซวีผู้ยิ่งใหญ่สูงส่ง จะเกรงกลัวหลี่โหย่วฉายถึงเพียงนี้ และเมื่อนึกไปถึงสิ่งที่ฉินอวี่ได้กล่าวเตือนหวังมู่ตอนอยู่ในจวน ทำให้ทั้งสามคนจึงยิ่งอยากรู้มากขึ้น
เป็ไปได้หรือไม่ว่า หลี่โหย่วฉายยังมีสถานะหรือตัวตนอื่นๆ อีก?
“เขาคือ...” หลิงซวีเริ่มเอ่ยปาก แต่ยังไม่ทันพูดจบ กลับรู้สึกได้ว่าฉินอวี่หันกลับมามอง หลิงซวีจึงรีบกลืนคำพูดที่กำลังจะเอ่ยออกมา กลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของหลิงซวี หวังมู่ก็หัวเราะขึ้นเสียงดัง “หรือว่า เ้าเด็กนอกสมรสคนนี้จะได้รับการยอมรับจากตระกูลเหลยของตี้หวัง? จึงทำให้เ้ากลัวถึงเพียงนี้?” พูดจบ สีหน้าของหวังมู่ก็มองฉินอวี่อย่างดุดัน และพูดขึ้นเสียงดัง “ต่อให้หลี่โหย่วฉายจะเป็คนของตระกูลเหลย แล้วจะทำไม? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าตระกูลเหลยของตี้หวังจะกล้าฉีกหน้าตระกูลหวังเทพาเพื่อลูกนอกสมรสอย่างเ้า!”
ตระกูลหวังเทพา!
ตระกูลหวังเทพาหนึ่งในสี่เต้าจวินภายใต้ธงของเทียนโหมว แม้ว่าในตอนนี้จะไม่มีตระกูลหวังเป็หนึ่งในเต้าจวินทั้งสอง แต่การทำาในอดีต เต้าจวินทั้งสี่ต่างาเ็ล้มตาย และเต้าจวินของตระกูลหวังก็ยังมีชีวิตรอดมาได้ ถึงแม้จะเพิ่งตายไปได้ไม่นานนัก แต่ก็ทิ้งโชคและมรดกสืบทอดไว้ในตระกูลหวังอยู่ไม่น้อย
ทุกวันนี้ตระกูลหวังยังคงอยู่ด้วยการอาศัยสิ่งตกทอดจากเต้าจวินในอดีต จึงยังมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับตระกูลใหญ่ในแดนต้าโหมวเทียน และนับได้ว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลใหญ่อย่างตระกูลเหลยของตี้หวัง
ดังนั้น หวังมู่จึงมีความเชื่อมั่นว่าตระกูลเหลยของตี้หวังไม่มีทางยอมฉีกหน้าเขาเพื่อลูกนอกสมรสเพียงคนเดียว
ใบหน้าของหลิงซวีกระตุก ตระกูลเหลยของตี้หวังไม่น่าจะยอมฉีกหน้าเขาเพื่อลูกนอกสมรสเพียงคนเดียว แต่ผู้เฒ่าร้องไห้ทำได้แน่นอน!
สยงถูมองหวังมู่ด้วยสายตาที่แปลกไป ราวกับว่ามองเห็นตนเองในตอนแรก สยงถู้าที่จะสื่อนัยบางอย่างให้กับหวังมู่ แต่ก็กังวลว่าจะทำให้ฉินอวี่โกรธ จึงได้แต่นิ่งเงียบเอาไว้
“ข้าสงสัยอย่างมากมาโดยตลอด แม้ระหว่างพวกเราจะไม่มีความแค้นที่ฝังรากลึก แต่เ้าก็เกือบทำให้ข้าต้องพลาดจากความพยายามในครั้งสุดท้าย ที่ไม่ฆ่าเ้าก็เพราะคิดว่าเ้าคงทำอะไรไปโดยไม่คิด ข้าไว้ชีวิตเ้า แต่เ้ากับกัดไม่ยอมปล่อยแบบนี้หรือ?” ฉินอวี่มองหวังมู่อย่างสงสัย และพูดอย่างช้าๆ ในใจยังรู้สึกแปลกๆ เห็นได้ชัดว่าเป็เพียงแค่เื่เล็กน้อย แต่หวังมู่กลับคิดจะมอบความตายให้ตนเองอยู่ตลอดเวลา สิ่งนี้คือเื่ที่ฉินอวี่ไม่เข้าใจเลย
หวังมู่กะพริบตาเล็กน้อย แม้้าจะบอกว่าเพราะอะไร แต่ความเป็จริงก็ไม่สามารถพูดได้ว่าเพราะอะไร บางทีอาจบอกได้ว่า เมื่อเห็นว่าฉินอวี่มีอสุนี์ ในใจของหวังมู่มีความอึดอัดเป็อย่างมาก เขาไม่สามารถจะยอมรับได้เลยที่ลูกนอกสมรสคนหนึ่งจะมีพร์ที่สูงส่งเช่นนี้!
เมื่ออยู่ใต้เมืองต้าโหมวเทียน ด้วยเหตุผลของทรัพยากรฝึกฝนที่มีอยู่อย่างจำกัด บรรดาผู้มีกำลังแต่ละฝ่ายจึงให้ความสำคัญกับพร์เป็พิเศษ ความรู้และปัญญาที่ยอดเยี่ยม แม้พร์และสติปัญญาของหวังมู่จะอยู่ในระดับสูง แต่ก็เฉพาะในหมู่พี่น้อง หากไม่มีอะไรผิดพลาด ตลอดชีวิตนี้เขาเองก็คงไม่สามารถเข้าถึงระดับสูงของตระกูลหวังได้ และด้วยเหตุผลนี้เอง หวังมู่จึงต้องฝึกฝนด้วยความขยันอย่างมากในเมืองเทียนโหมวชั้นใน เพื่อไล่ตามเหล่าพี่น้องของเขาให้ได้
หวังมู่ไม่ใช่คนโง่ แต่กลับเป็คนคิดอะไรมาก เขาดูออกว่าฉวีหย่งเซิงมีเจตนาอย่างไร แต่เขาใช้ประโยชน์จากฉวีหย่งเซิงไปได้ทุกครั้งหรือ?
ธรรมชาติของมนุษย์ย่อมแปลกเช่นนี้ เมื่อเห็นว่าเด็กนอกสมรสคนนั้นมีพร์ที่เยี่ยมยอดเช่นนี้ หวังมู่ก็เริ่มอิจฉา แต่ก็รู้สึกไม่พอใจ แค่เด็กนอกสมรสคนหนึ่งสามารถมีพร์ที่ดีเยี่ยมขนาดนี้ แล้วเหตุใดตัวเขาหวังมู่จึงไม่มี
เมื่อถูกฉินอวี่คุกคามอีกครั้ง ยิ่งทำให้หวังมู่ที่พยายามเก็บอารมณ์มาเป็เวลานานก็ถึงจุดะเิขึ้น เขาแทบอดไม่ไหวที่จะใช้วิธีปะาห้าม้าแยกศพมาฉีกร่างของฉินอวี่ แม้เขาจะไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะฉินอวี่ได้ แต่เขาก็้าทำให้ฉินอวี่เป็ผู้อยู่ใต้เท้าเขาให้ได้ ถึงแม้ความจริงจะไม่สามารถทำได้ เขาก็จะใช้ตระกูลหวังมากดดันฉินอวี่!
“ทำไมดูท่าทีอ่อนลงแล้วล่ะ? เสียใจหรือ?” เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี่ หวังมู่ก็คิดว่าฉินอวี่เริ่มรู้สึกกลัว จึงยิ้มออกมาอย่างสบายใจ
ฉินอวี่ขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้ตอบอะไร
“จะให้ข้าปล่อยเื่นี้ไปก็ได้ แต่เ้าต้องคุกเข่าที่นี่สามวันสามคืน ไม่แน่ข้าอาจปล่อยเ้าก็ได้ ไม่เช่นนั้น... ไม่ตายก็ไม่เลิกรา!” หวังมู่ยิ้มอย่างเ้าเล่ห์
หลิงซวีและสยงถูต่างอ้าปากค้าง จนกระทั่งรู้ตัวกลับมา หลิงซวีก็เหลือบมองฉินอวี่ด้วยความหวาดกลัว และพูดอย่างจริงจัง “หวังมู่ เ้าบ้าไปแล้วหรือ? เ้ารู้หรือไม่ว่าเขาเป็ใคร? เขาคือคนที่ผู้เฒ่า...”
“ข้าให้เ้าพูดแล้วหรือ?” ฉินอวี่หันมาอย่างรวดเร็ว มองไปทางหลิงซวี และพูดอย่างเยือกเย็น
หลิงซวีตัวสั่นสะท้าน แม้แต่คำพูดก็ไม่มีหลุดออกมา
“สามวันสามคืนหรือ? ได้ เช่นนั้นเ้าต้องคุกเข่าหนึ่งเดือน เื่นี้ก็แล้วกันไป ไม่เช่นนั้น ตระกูลหวังก็ไม่อาจปกป้องเ้าได้!” ฉินอวี่จ้องหวังมู่อย่างเยือกเย็น และพูดไปอย่างเ็า
สามวันสามคืน ทำให้เขานึกถึงเงาร่างดั่งูเานั่น ในใจก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันที
“หนึ่งเดือน? ฮ่าๆ... หลี่โหย่วฉาย หากข้าไม่พาเ้า...” หวังมู่มีสีหน้าดุดัน แต่ยังไม่ทันพูดจบ กลับมีเสียงอันหนักแน่นดังขึ้นขัดจังหวะ “คุกเข่า!”
ทุกคนหันศีรษะไปทันที และมองเห็นหลัวชิงเยว่กับชายหนุ่มที่แข็งแกร่งกำลังเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ชายหนุ่มคนนั้นมีคิ้วเรียวดั่งกระบี่ แฝงไปด้วยพลังที่สง่างามและน่าเกรงขาม
“พี่หก!” หวังมู่มองไปยังชายหนุ่มคนนั้นด้วยสีหน้าที่ใเป็อย่างยิ่ง ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มมากกว่าเก่า และหันศีรษะไปพูดกับฉินอวี่ทันที “หวังมู่ คุกเข่าลง...”
“ข้าสั่งให้เ้าคุกเข่า!” ชายหนุ่มแข็งแกร่งพูดอย่างเ็า
คำพูดของหวังมู่จบลงอย่างกะทันหัน มองไปทางชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งด้วยความสงสัย ราวกับว่าจะไม่อยากเชื่อหูตนเอง และพูดด้วยความประหลาดใจ “พี่หก ท่าน... ท่านบอกว่าอะไรนะ?”
“ข้าบอกให้เ้าคุกเข่าลงไป!” ชายหนุ่มที่แข็งแกร่งตะคอกเสียงดัง ยกมือข้างขวาขึ้น วางลงบนไหล่ของหวังมู่ และออกแรงอย่างหนักกดตัวหวังมู่ลงไปทันที
สีหน้าของหวังมู่เกือบจะบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง สายตาทั้งสองแดงก่ำ มองไปยังชายหนุ่มที่แข็งแกร่งอย่างโกรธเคือง และพูดอย่างเคร่งขรึม “หวังิ เ้าทำอะไรของเ้า!”
ชายหนุ่มที่ชื่อหวังิไม่สนใจมองหวังมู่เลยแม้แต่น้อย แต่กลับมองไปทางฉินอวี่ และประสานมือขึ้นแสดงความเคารพ “สหายหลี่ น้องชายข้ายังเล็กนัก หากทำสิ่งใดล่วงเกินไป ขอสหายหลี่โปรดอภัย”
การกระทำเช่นนี้ของหวังิทำให้ฉวีหย่งซาน หยางซาน และไป๋ฉีต่างตกตะลึงจนตาเบิกโพลง แม้แต่หวังมู่ที่มีใบหน้าดุดันก็อดไม่ได้ที่จะมองหวังิด้วยความตกตะลึง แม้ว่าเขาจะมีความริษยาอยู่เต็มหัว แต่ในตอนนี้ก็ต้องใจเย็นลง เขารู้จักตัวตนของพี่หกหวังิอย่างมาก แต่กลับนึกไม่ถึงว่า จะพูดจาอ่อนน้อมต่อเ้าเด็กนอกสมรสคนนี้...
หวังมู่เหงื่อท่วมไปทั้งตัว และมองฉินอวี่ด้วยความหวาดกลัว
ฉินอวี่เหลือบมองหลัวชิงเยว่ จากนั้นจึงหันไปมองหวังิ และพูดอย่างเรียบเฉย “ให้เขาคุกเข่าไปหนึ่งเดือน” พูดจบ ฉินอวี่ก็หันหลังออกไปทันที
“หลี่โหย่วฉาย เ้าคิดจะเข้าร่วมการท้าประลองของเจ็ดสิบสองอสูรธรณีจริงหรือ?” หลัวชิงเยว่รีบตามฉินอวี่ไปทันที ส่วนหวังิเหลือบมองหวังมู่อย่างเ็าครั้งหนึ่ง และพูดเบาๆ “หนึ่งเดือน อย่าให้น้อยไปแม้แต่นิดเดียว” พูดจบ เขาก็รีบตามไปทันที
เมื่อเห็นทั้งสามคนหายไปในค่ายกลนำส่ง ทุกคนต่างก็ได้สติกลับมา ไป๋ฉีก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองหลิงซวีในทันที “หลี่โหย่วฉายคือใครกันแน่?”
หลิงซวีเหลือบมองหวังมู่ และพูดขึ้นเบาๆ “หวังมู่ เ้าเกือบเจอปัญหาใหญ่แล้วหรือไม่ล่ะ เ้ารู้หรือไม่ พี่หลี่เป็ศิษย์ของผู้เฒ่าร้องไห้?”
“ผู้... ผู้เฒ่าร้องไห้?”
“ผู้เฒ่าร้องไห้? ผู้เฒ่าร้องไห้ที่สุสานร้าง?” ฉวีหย่งเซิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที มองหลิงซวีด้วยท่าทางที่เหลือเชื่อ แม้แต่หวังมู่เองก็ตกตะลึงจนตาค้าง สั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่างราวกับถูกฟ้าผ่า สีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง ในสมองของเขาจึงหวนนึกถึงแต่คำพูดก่อนหน้าของฉินอวี่
“หากเ้าฆ่าข้า คนสนับสนุนเื้ัของเ้าจะถูกลบชื่อออกไปจากแดนต้าโหมวเทียน และหากข้าฆ่าเ้า พวกผู้สนับสนุนที่มีอำนาจที่เ้าเรียกมาก็ไม่กล้าทำอะไรข้าแม้แต่น้อย”
เมื่อมาถึงเมืองเทียนโหมวชั้นนอก เมื่อฉินอวี่ยืนอยู่ในเมือง และเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ด้วยหวังว่าจะพบเจอกับเงาร่างระดับสูงของเมืองชั้นใน แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องผิดหวังคือ มโนจิตของเขายังคงปกคลุมไม่ทั่วเมืองเทียนโหมวชั้นใน
“สหายหลี่ เื่ที่น้องชายข้าล่วงเกินท่าน ขอท่านอย่าได้นำมาใส่ใจ” สายตาของหวังิมองฉินอวี่อย่างสดใส และพูดขึ้นเบาๆ
“ไม่เป็ไรหรอก อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เื่ใหญ่” ฉินอวี่เรียกคืนมโนจิตของตนเอง และพูดอย่างเรียบเฉย จากนั้น เขาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน และมองไปทางหลัวชิงเยว่ “ชิงเยว่หวัง ไม่ทราบว่า สามารถจับเผ่าประหลาดนั่นมาได้หรือยัง?” เขาอยากรู้เป็อย่างยิ่ง ว่าแท้จริงแล้วยอดฝีมือคนใดของเผ่าหยาจื้อที่แอบเข้ามา?
“จับได้แล้ว” หลัวชิงเยว่พยักหน้า
“เอ๊ะ เป็เผ่าหยาจื้อหรือไม่?” ฉินอวี่พูดขึ้นลอยๆ แต่ในใจกลับมีความคิดหนึ่งขึ้นในใจ จากการวิเคราะห์ของเขา ยอดฝีมือเผ่าหยาจื้อไม่น่าจะมีเหตุผลอะไรเข้ามายังเหวลึกแห่งนี้
“ไม่ใช่... ได้ยินมาว่าเป็คนของสำนักที่เรียกว่าสำนักยุทธ์ว่านจ้ง!”
ฉินอวี่ยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ในใจกลับสั่นไหวเป็อย่างยิ่ง!
