เขาเริ่มรู้สึกถึงภัยคุกคาม จึงหันกลับไปส่งสัญญาณให้เสี่ยวหม่าที่เฝ้าอยู่ในรถ
สารวัตรหัวถือไม้เท้าทองคำขาวเดินพุงพลุ้ยนำอยู่ด้านหน้า “ฉันแก่แล้ว ถึงเวลาที่จะได้พักผ่อนสบายๆ แล้ว จริงๆ ก็ไม่อยากยุ่งเื่พวกนี้หรอก แต่พวกนายสองคนทำเื่ที่ใหญ่โตเกินไป ไม่เห็นหัวคนแก่คนนี้เลย! วันนี้เห็นแก่หน้าฉัน พวกนายทั้งสองคนทำตัวให้มันเรียบร้อยหน่อยเถอะนะ!”
“ท่านสารวัตร ผมเคารพท่านเสมอ ท่านวางใจได้เลย ตราบใดที่เฝยชีไม่หาเื่ผม ผมจะไม่ทำให้ท่านเสียหน้าแน่นอน” ชย่าลิ่วอีพูด
เมื่อเฝยชีได้ยินดังนั้นก็ส่งเสียงฮึดฮัดออกมา สารวัตรหัวจึงหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองเขา เฝยชีก้มหน้าลง ก่อนจะพูดอย่างไม่เต็มใจว่า “ครับ พี่หัว”
ทุกคนนั่งลงที่โต๊ะอาหารบนชั้นสอง สารวัตรหัวนั่งตรงหัวโต๊ะ ด้านซ้ายและขวาของเขาคือเฝยชีและชย่าลิ่วอี เฝยชีนั่งลงที่ด้านซ้ายทันที ชย่าลิ่วอีเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้วแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
บนโต๊ะอาหารยังมีภรรยาและน้องชายของสารวัตรหัวร่วมอยู่ด้วย ภรรยาของสารวัตรหัวเป็นักสังคมสงเคราะห์ที่มีชื่อเสียงในแวดวงคนรวย ส่วนน้องชายของเขาเป็นักธุรกิจที่มีประสบการณ์มาก บรรยากาศในการรับประทานอาหารมื้อนี้จึงถูกสร้างขึ้นมาอย่างอบอุ่นและเป็กันเองโดยครอบครัวของสารวัตรหัว ชย่าลิ่วอีมีความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้เป็อย่างดี เขาแสดงท่าทีเคารพและอ่อนน้อมราวกับเป็รุ่นน้องที่ไม่เคยมีเื่ให้ถือโทษโกรธเคืองใดๆ ส่วนเฝยชี แม้จะพูดน้อยแต่ก็ให้เกียรติสารวัตรหัวอย่างเต็มที่ ไม่ได้พูดอะไรที่ไม่เหมาะสมออกมาจนทำให้บรรยากาศเสียเลยแม้แต่คำเดียว
“เสี่ยวลิ่ว ฉันยังจำได้ ตอนที่เธอยังเด็ก เธอและเสี่ยวหม่านมักจะมาที่บ้านเรา ชิงหลงคุยเื่งานกับเหล่าหัว ฉันก็จะพาพวกเธอสองคนไปทำขนม” ภรรยาของสารวัตรหัวพูดด้วยความรู้สึกคิดถึง “ต่อมาเธอเข้าไปทำงานในบริษัท เสี่ยวหม่านเองก็แต่งงานออกเรือน ก็เลยไม่ค่อยได้มาที่นี่แล้ว”
“งานในบริษัทมันยุ่งครับ” ชย่าลิ่วอีพูด “ไม่มีเวลาแวะมาทักทายคุณนายเลย ต้องขออภัยจริงๆ ครับ เสี่ยวหม่านเคยพูดถึงขนมที่คุณนายทำอยู่บ่อยๆ ที่บ้าน เธอบอกว่าไม่ว่าเธอจะลองใช้วัตถุดิบแบบไหนก็ทำออกมาได้ไม่ประณีตเท่ากับขนมที่คุณนายทำ”
ภรรยาของสารวัตรหัวก้มหน้าลงปาดน้ำตา “ใช่ ถ้าตอนนี้เธอยังอยู่ ฉันก็คงได้สอนเธอด้วยตัวเองอีกครั้ง”
ชย่าลิ่วอีไม่ได้รู้สึกว่าน้ำตาหยดนั้นของเธอมีความจริงใจมากนัก เขาจึงรู้สึกเ็ปในอก ถึงอย่างนั้นก็ได้แต่เก็บอาการไว้ไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา ชย่าลิ่วอีถือโอกาสนั้นยกแก้วไวน์ขึ้น “คุณนายมีน้ำใจจริงๆ ความดีที่คุณนายและท่านสารวัตรมีต่อพวกเรา เสี่ยวหม่านจำได้ ผมก็จำได้เช่นกัน ผมขอคารวะคุณนายและท่านสารวัตรหนึ่งแก้ว”
หลังจากดื่มจนหมดแก้ว สารวัตรหัวก็กระแอมไอหนึ่งครั้ง “ที่รัก วันนี้ทุกคนได้มาพบปะกันอย่างยากลำบาก อย่าพูดเื่เศร้าๆ พวกนี้อีกเลย ไปดูหน่อยสิว่าของหวานหลังอาหารเตรียมเสร็จแล้วหรือยัง?”
ภรรยาของสารวัตรหัวเข้าใจความหมายของคำพูดนั้นและลุกออกไป จากนั้นเหล่าใหญ่ น้องชายของสารวัตรหัวก็ลุกขึ้นตาม “หัวหน้าใหญ่ทั้งสอง ผมมีธุระส่วนตัว ขอตัวก่อนนะครับ ขอให้ทานให้อร่อยนะครับ”
หลังจากที่พวกเขาออกไปแล้ว สารวัตรหัวก็โบกมือให้คนอื่นๆ ออกไป ผู้คุ้มกันสองคนของชย่าลิ่วอีและเฝยชีก็ย้ายออกจากห้องอาหารไปเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูด้วยเช่นกัน ถึงเวลาที่จะพูดคุยเื่สำคัญแล้ว
เฝยชีหยิบผ้าปูโต๊ะขึ้นมาซับปาก จากนั้นก็ใช้มืออีกข้างคลำใต้โต๊ะด้านที่เขานั่งอยู่ และแน่นอนว่าสิ่งที่เขาหยิบได้นั้นคือปืนที่ถูกติดเทปใสไว้กับใต้โต๊ะเป็อย่างดีนั่นเอง
เขาไม่เคยคิดที่จะปรองดองกับชย่าลิ่วอีเลย และเขาเองก็มีฐานอำนาจที่มั่นคงในจิ่วหลงมานานกว่าสิบปี ชย่าลิ่วอีเป็แค่เด็กหนุ่มที่ยังไม่โตเต็มที่แต่กลับกล้าที่จะท้าทายเขา ขณะที่สารวัตรหัวกำลังจะเกษียณและดวงอาทิตย์ยามเย็นกำลังจะลับขอบฟ้า [1] เขาก็ยังไม่เห็นว่ามีภัยคุกคามอะไร เพราะอย่างนั้นทำให้เื่บานปลายไปเลยเสียดีกว่า เฝยชีจึงตัดสินใจที่จะเปิดเผยความจริงและโยนความผิดทั้งหมดให้ชย่าลิ่วอี
เขาติดสินบนคนรับใช้ของสารวัตรหัวเพื่อเตรียมการไว้ล่วงหน้า ใต้ที่นั่งด้านซ้ายของโต๊ะอาหารมีปืนซ่อนอยู่ เป็ปืนของเขาเอง ปืนกระบอกนั้นบรรจุะุ 6 นัด เพียงพอที่จะฆ่าชย่าลิ่วอีและสารวัตรหัว นอกจากนี้ในถังขยะนอกประตูก็ยังมีปืนซ่อนอยู่อีกหนึ่งกระบอก เป็ปืนของบอดี้การ์ดทั้งสองคนของเขา อีกทั้งบนดาดฟ้าและในสวนก็ล้วนแล้วแต่มีคนของเขาซุ่มอยู่ พวกเขามีทั้งปืนและคบเพลิง เตรียมเผาบ้านทั้งหลังเพื่อทำลายหลักฐาน
เขามองไปยังแก้วไวน์แดงบนโต๊ะ เขาและลูกน้องที่อยู่ข้างนอกได้ตกลงกันไว้ว่าจะใช้เสียงแก้วแตกเป็สัญญาณ ทันทีที่เขาทำแก้วแตก ลูกน้องที่อยู่ข้างนอกก็จะบุกเข้ามาช่วยเหลือ ในเมื่อพวกเขาทำงานร่วมกันทั้งภายในและภายนอกอย่างนี้ ก็คงยากที่จะเหลือซากศพของชย่าลิ่วอีไว้ให้เก็บ
สารวัตรหัวจุดซิการ์แล้วเริ่มพูดคุยอย่างฉะฉาน เขาวิเคราะห์สถานการณ์โลก “เื่การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพวกคุณก็รู้กันอยู่ ฮ่องกงตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว อีกไม่กี่ปีสัญญาเช่า ‘เขตเช่า’ ก็จะหมดอายุ ปักกิ่งก็เสนอเงื่อนไขมาหลายข้อ การที่เมืองกำแพงเจียวหลงของพวกนายน้อยลิ่วถูกไล่ที่ก็เป็หนึ่งในนั้น คนที่จะมาสืบทอดตำแหน่งของฉัน แทนที่ฉันจะได้เป็คนเลือก เบื้องบนกลับขัดขวางเื่นี้ไว้ หน่วย OTCB เพิ่งจับซาเหล่าซานไปและเมื่อไม่นานมานี้หน่วย ICAC [2] ก็มีการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ หลายอย่าง มีหลายสายตาจับจ้องมาที่ฉัน แล้วก็จับจ้องไปที่พวกนายด้วย ในเวลาแบบนี้ แทนที่พวกนายจะรวมตัวเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน กลับจะมาทะเลาะกันเอง”
เฝยชีพูด “พี่หัว ผมและแก๊งเหอเซิ่งเคยอยู่ ‘รัง’ เดียวกับพวกแก๊งเซียวฉีั้แ่เมื่อไร? เมื่อสิบปีก่อน พวกลูกหลานตระกูลเหอเคยร่วมสาบานเป็พี่น้อง ดื่มเื และสาบานต่อฟ้าดินเพื่อยอมรับผู้นำสูงสุด ดังนั้นเมื่อพูดถึงลำดับและความาุโแล้ว พวกแก๊งเซียวฉียังไม่มีสิทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้องเลยด้วยซ้ำ! ต่อให้ชิงหลงจะยังมีชีวิตอยู่ พวกแก๊งเซียวฉีก็ยังไม่กล้ามาหาเื่ผม! แต่ชย่าเสี่ยวลิ่วไม่ยอมอยู่ในจิ่วหลงดีๆ กลับข้ามเขตมาเหยียบถิ่นผม! นี่มันหมายความว่ายังไงกันล่ะ?”
ชย่าลิ่วอีพูด “ฮวงจุ้ยหมุนเวียน กาลเวลาสร้างวีรบุรุษ ฮ่องกงมีพื้นที่จำกัด เป็เมืองเสรี ใครมีฝีมือก็เป็คนกำหนดกฎเกณฑ์ ต่อให้นายจะบอกว่าเป็ถิ่นของนายก็เถอะ แต่มันจะไปเป็ถิ่นของนายได้ยังไง หรือว่ามีชื่อของนายเขียนไว้บนนั้นกัน?”
“ชย่าเสี่ยวลิ่ว!” เฝยชีะโใส่พร้อมกับจ้องเขม็ง เขาฉวยโอกาสนั้นคว้าแก้วไวน์บนโต๊ะเตรียมจะเขวี้ยงลงพื้น
ทว่าสารวัตรหัวจับข้อมือของเขาไว้แน่นเสียก่อน พร้อมกับพูดว่า “เฮ้ เหล่าชี พูดดีๆ หน่อย! ทำไมต้องโกรธขนาดนี้ด้วย?”
สารวัตรที่ขึ้นชื่อเื่ความยุติธรรมใช้พละกำลังที่ยังคงแข็งแกร่งแม้จะอายุมากแล้วกดมือของเฝยชีลงบนโต๊ะอย่างแรง เขาดึงแก้วไวน์ออกมาจากมือของเฝยชีแล้วย้ายมันไปวางไว้กลางโต๊ะ
“ถ้าพวกนายยังเอะอะโวยวายกันแบบนี้ คนแก่ๆ คนนี้เอาไม่อยู่หรอกนะ ถ้าไปรบกวน ‘เถ้าแก่ใหญ่’ เข้า มีหวังพวกนายทั้งสองฝ่ายได้เจอดีแน่”
ทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ ทั้งเฝยชีและชย่าลิ่วอีก็เปลี่ยนสีหน้าทันที
‘เถ้าแก่ใหญ่’ ผู้นี้เป็บุคคลสำคัญในวงการที่ใครๆ ก็รู้จักแต่กลับไม่เคยมีใครเคยพบเห็น อิทธิพลของเขาแผ่ขยายไปทั่วทั้งฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมในฮ่องกง เขาได้รับเครื่องบรรณาการจากทุกฝ่าย คอยชักใยอยู่เื้ั ควบคุมทุกอย่างท่ามกลางความวุ่นวาย ถ้าเขา้าให้ใครตกต่ำ คนคนนั้นก็จะตกต่ำลง ถ้าเขา้าให้ใครรุ่งเรือง คนคนนั้นก็จะรุ่งเรืองขึ้น ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับตาชั่งที่มองไม่เห็นในมือของเขา
หลายปีมานี้เฝยชีได้ติดสินบน ‘เถ้าแก่ใหญ่’ ผ่านหัวหน้าหัว แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้พบหน้ากับเถ้าแก่ใหญ่ตัวจริง เขาเป็กังวลว่าชย่าลิ่วอีอาจจะแอบติดสินบนจนเถ้าแก่ใหญ่พอใจและทำให้เถ้าแก่ใหญ่เข้ามาแทรกแซง เขาเลยเริ่มรู้สึกกังวลใจและลังเลที่จะลงมือ “พี่หัว เถ้าแก่ใหญ่รู้เื่ของเราแล้วหรือ? ถึงได้ส่งพี่มาพูดคุยพวกเราแบบนี้?”
สารวัตรหัวหัวเราะเบาๆ “ท่านไม่มีเวลามายุ่งกับพวกนายหรอก เขายุ่งมาก แต่ถ้ายังทำเื่วุ่นวายแบบนี้ต่อไป ฉันก็ไม่แน่ใจนะ”
เมื่อสารวัตรหัวเห็นว่าบรรยากาศระหว่างทั้งสองผ่อนคลายลงเล็กน้อยจึงตั้งใจที่จะไกล่เกลี่ย เขาหันไปพูดกับชย่าลิ่วอี “เสี่ยวลิ่ว เื่นี้ต้องบอกว่านายล้ำเส้นจริงๆ นะ ยังไงพี่เฝยชีก็เป็รุ่นพี่ นายควรจะให้เกียรติเขาหน่อย ทุกคนก็ทำมาหากินเหมือนกัน ถอยกันคนละก้าว ท้องฟ้าก็กว้างใหญ่ รวยไปด้วยกันไม่ดีกว่าหรือ?”
พอได้ยินแบบนี้ ชย่าลิ่วอีก็เหมือนถูกเตือนสติ เขาหัวเราะเยาะเย้ย “รวยไปด้วยกันอย่างนั้นหรือ? เขาเคยคิดจะรวยไปด้วยกันจริงๆ นั่นแหละ เขาเคยไปคุยกับชิงหลงเื่ร่วมมือกัน ให้ ‘ของ’ ของแก๊งเซียวฉีผ่านท่าเรือของเขาแล้วแบ่งกำไรกัน แต่ชิงหลงปฏิเสธ เขาเลยยุยงให้สวี่อิงก่อฏ ยึดอำนาจ แล้วฆ่าชิงหลงซะ!”
ทันทีที่พูดจบ สีหน้าของสารวัตรหัวก็เปลี่ยนไปชั่วครู่ แต่เขาก็ขมวดคิ้วทันทีแล้วมองไปที่เฝยชีด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่เฝยชี จริงหรือเนี่ย?!”
“แน่นอนว่าไม่จริง!” เฝยชีร้องเสียงดังด้วยความคับแค้นใจ ในใจคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว เขาแอบเอื้อมมือไปที่แก้วไวน์อีกครั้ง
“ชย่าเสี่ยวลิ่ว ตอนนี้นายเป็หัวหน้าแก๊งแล้วนะ ถ้าจะกล่าวหาใครก็ต้องมีหลักฐานสักหน่อยสิ” เขาแสร้งทำเป็พูดอย่างชอบธรรม “ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของ ‘พี่ใหญ่’ ของนายหรอกนะ ฉันว่านายเสียใจมากไปหน่อยจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว!”
เฝยชีเน้นเสียงคำว่า ‘พี่ใหญ่’ พร้อมกับยกแก้วไวน์ขึ้นด้วยมือข้างหนึ่ง ขณะเดียวกันนั้นก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งลอกเทปกาวใต้โต๊ะ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย
“ฉันได้ยินมาว่าั้แ่ที่ชิงหลงตายไป นายซึ่งเป็หัวหน้าคนใหม่ก็ไม่เคยยุ่งกับผู้หญิงเลย แต่กลับไปสนิทกับนักศึกษาชายคนหนึ่งแทน ทำไมกันล่ะ? นายทำไม่ได้แล้วหรือ หรือชอบเล่น ‘ประตูหลัง’ กันแน่? หรือว่า... นายกับชิงหลง...”
ยังไม่ทันที่เฝยชีจะพูดจบ เสียง ‘โครม!!’ ก็ดังขึ้นพร้อมกับเืที่สาดกระจายไปทั่ว! ชย่าลิ่วอีคว้าที่เขี่ยบุหรี่ขึ้นมาแล้วฟาดลงไปที่หัวของเขาอย่างแรง!
หลังจากเสียงอู้อี้ดังขึ้น เฝยชีก็ล้มลงไปพร้อมกับเก้าอี้! แก้วไวน์ตกลงบนโต๊ะอีกครั้ง มันกลิ้งไปได้เพียงเล็กน้อยก็ถูกถาดอาหารขวางไว้ไม่ให้หล่นลงบนพื้นจนแตก เทปกาวที่พันปืนไว้ก็ยังไม่ถูกแกะออกทั้งหมดจนปืนกระบอกนั้นห้อยแกว่งไปมาใต้โต๊ะ
เฝยชีล้มลงไปกับพื้น เขากุมหัวที่โดนฟาดจนแตกพลางส่งเสียงครวญคราง ชย่าลิ่วอีไม่รอช้าก้าวเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว เขาหยิบที่เขี่ยบุหรี่เปื้อนเืขึ้นมา แล้วฟาดลงไปอีกครั้ง
“เสี่ยวลิ่ว หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” สารวัตรหัวตวาดเสียงดังเพื่อหยุดเสี่ยวลิ่ว
ชย่าลิ่วอีไม่สนใจเสียงร้องใดๆ มือขวาของเขาคว้าหัวของเฝยชีขึ้นมา แล้วใช้มือซ้ายเหวี่ยงที่เขี่ยบุหรี่ฟาดลงไปอีกครั้ง!
การโจมตีครั้งนี้เกือบจะทุบจมูกของเฝยชีให้แบนราบ เ้าอ้วนตัวใหญ่ที่มักจะกร่างไปทั่วข้างนอกส่งเสียงครางอย่างเ็ป มือและเท้าที่อ้วนท้วนของเขาปัดป่ายไปมาไร้จุดหมาย ใบหน้าเต็มไปด้วยเื เขาพยายามอย่างสุดกำลังที่จะลุกขึ้น
ชย่าลิ่วอีนั่งยองๆ บนพื้น มองดูเฝยชีที่พยายามดิ้นรนอย่างสิ้นหวังด้วยความเ็า เฝยชีดิ้นไปมาอยู่บนพื้น มือของเขาควานไปรอบๆ อย่างไม่รู้ทิศทาง มือข้างหนึ่งยื่นไปข้างหน้าซึ่งเป็ทิศทางของใต้โต๊ะอาหารอย่างสั่นเทา เขาพยายามที่จะเอื้อมมือไปหยิบปืนที่ห้อยอยู่ในอากาศ
ชย่าลิ่วอีลุกขึ้นยืน เขาใช้เท้าเหยียบไปที่ต้นคอของเฝยชี แล้วก้มลงไปดึงปืนออกมาจากใต้โต๊ะ เขาถือปืนขึ้นมาแล้วชี้ไปทางสารวัตรหัว
“นี่มันอะไรกัน?!” สารวัตรหัวอุทานด้วยความใ
“คุณควรจะหาพ่อบ้านคนใหม่ได้แล้ว” ชย่าลิ่วอีพูดพร้อมกับหัวเราะอย่างเ็า
ในขณะเดียวกัน เฝยชีที่กำลังดิ้นรนอยู่ใต้เท้าของชย่าลิ่วอีก็ใช้แรงเฮือกสุดท้ายจับขาโต๊ะแล้วเขย่าอย่างแรง!
ในที่สุดแก้วไวน์ใบหนึ่งก็กลิ้งไปจนถึงขอบโต๊ะอาหาร ตามมาด้วยเสียง ‘เพล้ง!’
ทันใดนั้นเสียงปืนก็ดังสนั่นขึ้นจากนอกประตู!
เชิงอรรถ
[1] ดวงอาทิตย์ยามเย็นกำลังจะลับขอบฟ้า เป็สำนวนที่หมายถึง่สุดท้ายของชีวิต หรือการใกล้จะสิ้นสุดลงของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
[2] ICAC คือ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต หรือ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต (Independent Commission Against Corruption, ICAC) ซึ่งเป็หน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐและภาคเอกชนในฮ่องกง หน้าที่หลักของสำนักงานนี้คือการตรวจสอบและสืบสวนการทุจริตและความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชัน รวมถึงการให้ความรู้และส่งเสริมการป้องกันการทุจริตในสังคม
