นิ้วมือขวาของหั่วอี้เคาะโต๊ะไม่หยุดในหัวคอยนึกทบทวนถึงที่มาของเหล่าสตรีในจวนเขา ก่อนหน้าอาหนูเดิมทีในจวนแม่ทัพมีอนุสามคนที่เขาพากลับมาหลังคว้าชัยจากแคว้นเล็กต่างๆ มาได้ทว่าพวกนางล้วนยินยอมตามเขากลับมาทั้งสิ้น จะบอกว่าเคยไปชิงสตรีของผู้อื่นได้อย่างไร“อาเหมิ่งต๋า เวลาก็ล่วงเลยมานานแล้ว นายกองเฉินยังไม่กลับมารายงานอีกเ้าไปดูหน่อย หากจำเป็ก็ให้โยกย้ายกำลังพลของทัพอวี่เว่ยไปใช้ถ้ายังจับโจรนั่นมาไม่ได้ ก็ต้องเฝ้าประตูเมืองเอาไว้ให้ดีห้ามให้พวกมันหนีไปได้โดยเด็ดขาด”
เมื่อยังไม่อาจคิดที่มาที่ไปทั้งหมดได้เขาจึงคิดว่าอย่าเพิ่งนำเื่นี้มาไตร่ตรองขอเพียงจับคนมาได้แล้วยังต้องกลัวจะไม่รู้ความจริงอีกหรือ
“ได้เลยพี่ใหญ่ ท่านโปรดวางใจ น้องชายเช่นข้ากำลังคันไม้คันมือที่ระยะนี้ไม่มีศึกาอยู่ทีเดียวได้เื่นี้มาฆ่าเวลาพอดี
นี่ก็ดึกมากแล้ว พี่ใหญ่ก็ค้างที่นี่เถิดจะได้ไม่ต้องวิ่งวุ่นไปมากลางค่ำกลางคืน เกิดเื่เช่นนี้ขึ้นพอกลับจวนแม่ทัพไปก็มิใช่ว่าต้องวุ่นวายกันอีก ยุ่งยากนัก คืนนี้องค์หญิงเองก็ตื่นใไม่น้อยมิสู้พักที่นี่ก่อน วันพรุ่งค่อยกลับไปดีกว่า”
ปกติแล้วหั่วอี้ก็มักมาค้างในจวนของอาเหมิ่งต๋าอยู่บ่อยครั้งเขาจึงไม่ได้รู้สึกอย่างไร กลับเป็หลิ่วจิ้งที่รู้สึกไม่เข้าใจมิใช่ว่าอาเหมิ่งต๋านั่นคอยเป็ปรปักษ์กับนางเรื่อยมาหรอกหรือแล้วเหตุใดคืนนี้จึงเกิดคำนึงถึงนางขึ้นมาเสียได้
“ท่านแม่ทัพ หากพวกเราจะค้างอยู่ที่นี่ไม่ทราบว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะเห็นด้วยหรือไม่นะเ้าคะ มิเช่นนั้นพวกเราก็กลับจวนแม่ทัพเถิดเ้าค่ะ ร่างกายข้าดีขึ้นมากแล้ว”
นางไม่ยอมเห็นแก่ความสบายชั่วครู่แต่วันพรุ่งเมื่อกลับไปก็ต้องทนรับสีหน้าไม่พอใจของฮูหยินผู้เฒ่า
“เื่นี้…” หั่วอี้กลับลังเลตัดสินใจไม่ได้หากเป็เขาคนเดียวย่อมไม่มีปัญหาใด แต่หากองค์หญิงไปค้างอ้างแรมนอกจวนแม้จะบอกว่าไปกับเขาก็ตามที อย่างไรก็ยังกลัวจะมีคนไม่ประสงค์ดีเอาเื่นี้ไปพูดจนทำให้ชื่อเสียงขององค์หญิงเสียหายก็จะกลายเป็เื่ยุ่งยาก
แต่ก็เป็ดังคำของอาเหมิ่งต๋า คืนนี้องค์หญิงต้องตื่นตระหนกไม่เบาคิดว่าในจวนคงได้รับข่าวแล้วเมื่อพวกเขากลับไปก็เกรงว่าอีกนานก็คงยังไม่ได้พักผ่อนกัน
“ท่านแม่ทัพ อย่างไรก็กลับจวนเถิดเ้าค่ะ”คล้ายว่าหลิ่วจิ้งจะมองความลังเลของหั่วอี้ออก แม้กลับไปแล้วช้าเร็วก็คงหลบไม่พ้นแต่นางคิดว่าให้เกิดเื่ยุ่งยากน้อยที่สุดจะดีกว่า
หั่วอี้นิ่งคิดสักพักยามมองใบหน้าแสนอ่อนล้าขององค์หญิง ที่สุดจึงรับปากคำขอของนาง
“อาเหมิ่งต๋า เลือกรถม้าที่นั่งสบายที่สุดในจวนของเ้ามาพวกเราจะกลับจวนแม่ทัพ”
“อ๋า…ปัดโธ่…พี่ใหญ่ นี่ท่าน…” อาเหมิ่งต๋ายังคิดจะรั้งเขาไว้แต่เมื่อเห็นสายตาแน่วแน่ของอีกฝ่ายก็ยอมแพ้ไม่เสนอแนะใดๆ อีก
มองอาเหมิ่งต๋าไปสั่งให้พ่อบ้านเตรียมรถด้วยความฝืนใจเต็มทน หลิ่วจิ้งััได้บางเบาว่าอาเหมิ่งต๋าดูหวังดีกว่าปกติหรือคิดจะทำให้เื่ราวลุกลามใหญ่โต เมื่อนางต้องผจญกับคำตำหนิของฮูหยินผู้เฒ่าเขาก็จะได้คอยดูเื่สนุก
จู่ๆ มีไมตรี ไม่เล่นเล่ห์ก็เป็โจรก็คือความคิดที่หลิ่วจิ้งมีต่ออาเหมิ่งต๋าในเวลานี้
ราตรีเย็นปานธารา ท้องถนนจอแจยามกลางวัน เวลานี้เข้าสู่ห้วงฝันรถม้าใหญ่เทียมม้าสี่ตัวแล่นไปไม่ช้าไม่เร็วบนถนนที่ว่างเปล่ากลางความมืดมิดแห่งราตรีมุ่งหน้ายังทิศทางของจวนแม่ทัพ
ภายในรถม้าอ่อนนุ่มสบาย หลิ่วจิ้งนั่งเอาหลังพิงจวนจะหลับหั่วอี้ปล่อยวางความบ้าบิ่นผกผันแห่งละครชีวิตลงชั่วขณะ นั่งดูนางอยู่เงียบๆ
มองใบหน้าเล็กๆ แสนอ่อนล้าของหลิ่วจิ้ง หั่วอี้ก็แอบถอนใจด้วยความรู้สึกเสียดายแทนนางแม้เป็ถึงองค์หญิงแสนสูงศักดิ์แล้วอย่างไร ก็ยังมิอาจหลบเงามืดของดาบทวนกระบอง [1]ไม่ว่าจากทางแจ้งหรือทางลับอยู่ดี
เป็ครั้งแรกที่เขาเกิดความคิดว่าอยากให้ตนเองเก่งกล้ายิ่งกว่านี้ในเมื่อแผ่นดินแม่ไม่อาจปกป้องท่าน เช่นนั้นก็ให้ข้าปกป้องท่านเถิด
หั่วอี้เกิดความปรารถนาหนึ่งซึ่งไม่เคยมีอยู่ในใจ เพียงแต่เมื่อเขากำลังจะใคร่ครวญความคิดนั้นให้ลึกซึ้งไปอีกขั้นเขาก็กลับจับประเด็นสำคัญไม่ได้ มองสิ่งที่เป็รูปธรรมของความคิดนั้นไม่เห็น
ไม่รู้ว่าหลิ่วจิ้งนอนหลับไปแล้วหรือเพียงหลับตาพักสายตา จู่ๆนางก็ขยับตัวคล้ายจะหาท่านั่งที่สบายกว่านี้
หั่วอี้ปล่อยให้หัวนางมาซบที่ไหล่เขาด้วยความรักใคร่เพื่อให้นางนอนหลับสบายยิ่งขึ้น
นางยังคงหลับตาอยู่ เห็นทีจะหลับไปแล้วจริงๆ
มีเพียงยามนอนหลับนางจึงสงบนิ่งเช่นนี้ หั่วอี้รำพึงอยู่ในใจเมื่อนึกถึงภาพยามนางหุนหันจากไปเพียงลำพัง เขาก็แอบยิ้มดูไปแล้วองค์หญิงก็เป็คนเ้าอารมณ์เช่นกัน
เพื่อให้องค์หญิงนั่งได้สบายขึ้นหั่วอี้จึงสั่งเด็กรับใช้เป็พิเศษว่าให้ใช้ผ้าหนาห่อที่เกือกม้าเอาไว้ให้หมดเวลาม้าวิ่งจะได้ไม่มีเสียง
หั่วอี้ปล่อยให้รถม้าวิ่งไม่ช้าไม่เร็วเกินไปเพราะเขาเองก็ไม่ได้เร่งร้อนจะกลับเรือน ทุกสิ่งให้เห็นแก่ความสบายเป็หลัก
ณ เรือนหน้าของจวนขุนนางชั้นเอก อาฉายเหลียวซ้ายแลขวาเมื่อเห็นว่าในลานเรือนไม่มีคนจึงเลือกนั่งบนเก้าอี้หินตัวหนึ่งไปเรื่อยเปื่อย
เื่ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำเขาขวัญกระเจิงไปหมด ดีที่สุดท้ายแล้วท่านแม่ทัพยังเชื่อคำที่เขาพูดยิ่งไปกว่านั้นยังให้รางวัลเขาห้าร้อยตำลึงเงินอีกด้วย
เขาหยิบตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงเงินออกมาจากอกเสื้อหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างเบิกบานใจ
ขณะมองตั๋วเงินใบนั้นอย่างได้ใจก็นึกย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกินขึ้นก่อนหน้า
บ่ายวันนี้ เดิมทีคุณชายต้องตาหญิงงามผู้หนึ่งที่หอหรงซินจึงส่งเขาและอาปู้สองคนออกไปสืบหาข่าวของสตรีผู้นี้
เขาและอาปู้จึงแอบสะกดรอยตามพวกของท่านแม่ทัพเพราะนี่เป็เื่ที่ล้ำเส้นเกินไป พวกเขาจึงไม่เพียงแต่ต้องคอยตามติดเท่านั้นยังต้องไม่ให้พวกแม่ทัพสังเกตเห็นด้วย
นอกจากต้องตามอยากยากลำบากมาตลอดทางแล้วยังทำได้แค่คอยดูพวกของแม่ทัพกินดื่มหาความสำราญแต่พวกเขากลับได้แค่แอบเฝ้าอยู่ในที่มืดกว่าสตรีผู้นี้จะออกมาผู้เดียวและบอกว่าจะกลับจวน
เมื่อได้ยินว่าที่ที่สตรีผู้นั้นจะกลับไปคือจวนแม่ทัพยิ่งไปกว่านั้นพวกเด็กรับใช้ก็ยังเรียกขานสตรีผู้นั้นว่าองค์หญิงพวกเขาพลันตกตะลึงใจทันใด
นึกไม่ถึงว่าอุตส่าห์ลำบากมาจนดึกดื่นแต่กลับได้รู้ว่านางเป็คนที่คุณชายไม่อาจแตะต้องได้เมื่อคิดว่าพอกลับไปก็ต้องทนรับกับไฟโทสะของคุณชายอีกเขาและอาปู้สองคนก็แห้งเหี่ยวลงทันตา
ในขณะที่พวกเขากำลังจะกลับจวนไปรายงานต่อคุณชาย ก็พบว่าเด็กรับใช้สองคนหันมาส่งสายตาและรอยยิ้มประหลาดให้กัน
แววตาเช่นนี้เขาคุ้นเคยนักเพราะเป็แววตาที่พวกเขามักใช้กันเป็ประจำ
เมื่อััได้ว่าเื่นี้ไม่ชอบมาพากลเสียแล้วจึงหวังว่านี่อาจเป็โอกาสให้เขาสร้างความชอบ เขาและอาปู้จึงแอบตามไป
นึกไม่ถึงว่าพอตามไปก็ตามจนได้เื่จริงๆเส้นทางที่เด็กรับใช้สองคนนั้นพาองค์หญิงไป กลับไม่ใช่ทางกลับจวนแม่ทัพหากแต่เป็เส้นทางไปนอกเมือง
เมื่อเขาเห็นว่าเื่นี้ไม่เข้าทีดังว่าจึงรีบให้อาปู้กลับไปรายงานต่อท่านแม่ทัพ ส่วนเขาก็ตามต่อไป
นึกไม่ถึงว่าแค่ใช้ไหวพริบเล็กน้อยไม่เพียงสร้างความชอบต่อท่านแม่ทัพ ไม่แน่ว่าเมื่อท่านแม่ทัพอารมณ์ดีขึ้นมาก็อาจยกเลิกโทษกักบริเวณของคุณชายด้วยเช่นนั้นเมื่อคุณชายอารมณ์ดีก็จะไม่พาลมาโกรธเขาแล้ว
เมื่อคิดได้ดังนี้จึงดีอกดีใจหนักหนา จากนั้นก็นั่งพักบนเก้าอี้หินครู่หนึ่งก่อนจะไปรายงานต่อคุณชาย
ภายในรถม้าที่มุ่งหน้ากลับไปยังจวนแม่ทัพอบอวลด้วยความหวานชื่นทว่าทุกคนในจวนแม่ทัพกลับกำลังเกิดความโกลาหล
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] เงามืดของดาบทวนกระบอง เป็สำนวน หมายถึง อันตรายต่างๆ นานา
