ขณะมองตามท่อนแขนที่ปลิวไปในอากาศ หัวใจของฝูงชนก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง
แค่ดาบเดียวเท่านั้น แม้พวกเขาจะเห็นเพียงแสงดาบ แต่ทุกคนล้วนเข้าใจได้ว่ามือของหลินเฟิงรวมไปถึงร่างของเขาก็คือดาบ ซึ่งเป็ดาบที่ไม่อาจทำลายลงได้โดยง่าย...
เพียงเวลาสั้นๆ พละกำลังที่แข็งแกร่งของหลินเฟิงนั้น แม้แต่ผู้าุโสูงสุดหลินหลุ่ยก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา และเพียงดาบเดียวก็ไม่สามารถหยุดได้
หลินหลุ่ยนั้นมีการบ่มเพาะระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 9 อีกเพียงขั้นเดียวก็จะทะลวงขอบเขตลี้ลับแล้ว แล้วหลินเฟิง... อยู่ขอบเขตอะไรกัน? ตอนนี้หลินเฟิงอายุ 17 ปี เช่นเดียวกับรุ่นเยาว์หลายคน ซึ่งคนในตระกูลหลินนั้นยังต้องพึ่งพาพ่อแม่และพึ่งพาตระกูล
แต่หลินเฟิงกลับแข็งแกร่งเหนือกว่าพวกเขา และยังเป็ผู้บัญชาการทหารม้าโลหิต นี่เป็ช่องว่างที่ไม่อาจเทียบได้
ชายหนุ่มผู้ถูกขับไล่ออกจากตระกูลหลิน สำหรับครั้งนี้มันเพียงพอที่จะทำให้ตระกูลหลินต้องก้มหัวให้เขาแล้ว
“อ๊าก...”
หลินหลุ่ยกรีดร้องโหยหวนออกมา ทันใดนั้นเขาก็ยกแขนข้างที่ยังอยู่ขึ้นมา และปลดปล่อยพลังทั้งหมดโจมตีออกไปอย่างไม่ลังเล
อย่างไรก็ตามกลับเห็นหลินเฟิงหลบหลีกด้วยความรวดเร็วอีกครั้ง การเคลื่อนไหวของเขาราวกับเป็หนึ่งเดียวกับโลก จากนั้นมือของหลินหลุ่ยได้ััไหล่ของหลินเฟิงเล็กน้อย ทำให้มีน้ำแข็งปกคลุมไหล่ของหลินเฟิง ทว่าหลินเฟิงพลันกระตุกไหล่ตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะใช้ฝ่ามือฟาดฟันออกไปอีกครั้งและปลดปล่อยแสงดาบให้สว่างจ้าไปทั่วบริเวณ
“สะบั้น!”
ฝ่ามือของหลินเฟิงเฉือนลงมาอย่างรวดเร็ว จนเืของอีกฝ่ายต้องสาดกระเซ็นอีกครั้ง แล้วแขนอีกข้างของหลินหลุ่ยก็ถูกตัดออกทันที
ช่องว่างระหว่างฝีมือหลินเฟิงและหลินหลุ่ยนั้นแตกต่างกันเกินไป หลินหลุ่ยไม่อาจเทียบเคียงได้เลย
หลินเฟิงเคลื่อนตัวไปอยู่ด้านหลังหลินหลุ่ย จากนั้นเขาก็ใช้ฝ่ามือทะลวงไปที่แผ่นหลังของหลินหลุ่ยฉับพลัน
“อ๊าก…”
เกิดเสียงกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานดังไปทั่ว หลินหลุ่ยในตอนนี้กำลังสั่นอย่างบ้าคลั่ง
เืยังคงไหลทะลักออกมาไม่หยุด จนพื้นเวทีประลองนองไปด้วยเื แต่ตอนนี้หัวใจของหลินหลุ่ยรู้สึกเ็ปยิ่งกว่าแขนที่ถูกตัดออกไป หากหลินเฟิงไม่สังหารเขาล่ะก็ หลินเฟิงก็คงทำให้เขากลายเป็เศษขยะ
“ผู้าุโสูงสุด ในอดีตเ้าแข็งแกร่งมากจนสามารถควบคุมทุกสิ่งเอาไว้ในกำมือ เ้าทำได้ทุกอย่าง แม้แต่ทำร้ายท่านพ่อของข้าและยังขับไล่พวกเราออกจากตระกูลหลิน แต่ตอนนี้หลินเฟิงผู้นี้ได้กลับมาแล้ว มาพร้อมความแข็งแกร่งที่มากกว่าเ้า ข้าสามารถทำในสิ่งที่้าได้ ไม่ว่าจะเป็การตัดแขนหรือสังหารเ้า ก็ไม่ใช่เื่ยากสำหรับข้าเลยสักนิด”
หลินเฟิงหันหลังให้หลินหลุ่ยขณะกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง สำหรับโลกใบนี้แล้ว ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่ง ผู้ที่แข็งแกร่งย่อมมีสิทธิ์พูดและทำทุกอย่างที่้าได้ หลินหลุ่ยได้อาศัยความแข็งแกร่งของตัวเอง เพื่อทำร้ายท่านพ่อของเขาและขับไล่พวกเขาออกจากตระกูล อย่างไรก็ตามในตอนนี้หลินเฟิงแข็งแกร่งขึ้นจนสามารถตัดแขนของหลินหลุ่ยได้อย่างง่ายดาย ใครเล่าจะทำเช่นนี้ได้กัน?!
ตอนนี้เขาสามารถทำลายใครก็ได้ตามที่้า หรือแม้กระทั่งสังหารก็ตาม
หัวใจของหลินหลุ่ยบีบรัดอย่างเ็ป และเต็มไปด้วยความแค้นอันไร้ที่สิ้นสุด แต่เขายังไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ ซึ่งก็เหมือนกับที่หลินเฟิงได้เอ่ยไว้ ผู้แข็งแกร่งในโลกใบนี้สามารถทำอะไรก็ได้ ถ้าหากหลินหลุ่ยยังอยากมีชีวิตอยู่ เขาก็ต้องหุบปากให้สนิท แม้จะเกลียดหลินเฟิงแค่ไหนก็ตาม
กลายเป็คนพิการย่อมดีกว่าตาย แม้หลินหลุ่ยจะชรามากแล้ว แต่ยังหวงแหนชีวิตของตนเอง เขายังไม่อยากตาย
“หลินหลุ่ย วันนี้ข้าจะไว้ชีวิตเ้าและปล่อยเ้าไป แขนที่ตัดไปนั้นถือว่าเป็สิ่งที่เ้าต้องชดใช้ ตอนนี้เ้าไปได้แล้ว แต่ถ้าวันหน้าเ้าแข็งแกร่งพอที่จะแก้แค้นได้ ก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
หลินเฟิงกล่าวอย่างไม่แยแส ไม่ว่าจะมีสถานะอะไรในโลกใบนี้ก็ตาม ความแข็งแกร่งถือเป็ที่สุด
ร่างของหลินหลุ่ยสั่นสะท้านขณะหันไปมองหลินเฟิง จากนั้นเขาก็เดินจากไปอย่างโดดเดี่ยวและอ้างว้าง ผลลัพธ์นี้เป็ราคาที่เขาต้องจ่ายสำหรับความผิดร้ายแรงในอดีต
หลังจากหลินหลุ่ยจากไป หลินเฟิงก็เหลือบมองผู้าุโใหญ่และผู้าุโสาม ก่อนกล่าวอย่างเ็าว่า “ผู้าุโใหญ่ ผู้าุโสาม พวกเ้าจงทำลายการบ่มเพาะของตัวเองซะ อย่าให้ข้าต้องลงมือเอง มิฉะนั้นข้าจะสะบั้นแขนของพวกเ้าเสีย”
แม้น้ำเสียงของหลินเฟิงจะราบเรียบ แต่ก็ทำให้ผู้าุโใหญ่และผู้าุโสามต่างต้องหน้าซีด พวกเขาคิดไว้แล้วว่าหลินเฟิงคงไม่ปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ เพราะการกระทำที่เลวร้ายของพวกเขาในอดีต
ในปีนั้นพวกเขาทำให้หลินเฟิงต้องอับอายและยังบังคับให้หลินไห่ต้องสละตำแหน่ง พวกเขาทั้งสองต่างเป็ผู้สนับสนุนหลินป้าต้าว ตอนนี้หลินเฟิงจึงให้พวกเขาทำลายการบ่มเพาะของตัวเอง
เมื่อผู้าุโใหญ่เห็นร่างไร้แขนที่เดินจากไปไกลแล้ว จู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นและทำลายการบ่มเพาะของตัวเอง เขากรีดร้องออกมาพร้อมกับเืที่ไหลออกจากปาก ในตอนนี้เขาได้กลายเป็คนพิการไปเรียบร้อยแล้ว
ผู้าุโสามกำลังสั่นเทา เขาค่อยๆ ยกมือขึ้นอย่างลังเลและยังไม่กล้าลงมือ
“ผู้าุโสาม ถ้ายังไม่อยากตายก็ทำลายการบ่มเพาะซะ”
ผู้าุโใหญ่กล่าวอย่างจริงจัง เมื่อผู้าุโสามได้ยินเช่นนั้นร่างของเขาสั่นสะท้านยิ่งขึ้น เขาเหลือบมองไปที่ผู้าุโใหญ่ แล้วลงมือทำลายการบ่มเพาะของตัวเอง
ตอนนี้ผู้นำตระกูลหลินป้าต้าว อาสามหลินเฮ่าหลัน และผู้าุโเก้าต่างสิ้นลมหายใจไปทั้งหมด ผู้าุโสูงสุดถูกตัดแขนทั้งสองข้าง ส่วนผู้าุโใหญ่และผู้าุโสามได้ทำลายการบ่มเพาะของตนเอง
การกลับมาของหลินเฟิงคราวนี้ ได้สร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้คนอย่างมาก
หลินเฟิงที่ยืนอยู่บนเวทีประลองกวาดสายตามองฝูงชน และกล่าวอย่างไม่แยแสว่า “คนอื่นๆ ข้าจะไม่แตะต้อง หากพวกเ้าเกลียดชังข้า แน่นอนว่าพวกเ้าสามารถแก้แค้นข้าได้ แต่ข้าขอเตือนเอาไว้ว่า… จงคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาให้ดี”
หลังจากกล่าวจบ หลินเฟิงก็เดินลงจากเวทีประลองและส่งสัญญาณมือให้เหล่าทหารขึ้นไปบนหลังม้าของตน พวกเขาเป็ทหารที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี หลินเฟิงและกองกำลังของเขาจะต้องเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาด้วยกัน
หลินเฟิงะโขึ้นไปบนหลังม้าศึกของเขา ทำให้เขายิ่งดูโดดเด่นและน่าเกรงขาม
“ไปกันเถอะ”
หลินเฟิงกล่าวอย่างสงบ แต่ในขณะเดียวกันก็ได้มีเสียงตามหลังเขามา
“ช้าก่อน!”
เมื่อหลินเฟิงได้ยินเสียงดังกล่าว เขาก็ชะงักฝีเท้าม้าไว้แต่ไม่ได้หันไปมอง แล้วรอให้อีกฝ่ายกล่าวต่อ
“หลินเฟิง ท่านจะกลับมาอยู่ที่ตระกูลหลินอีกหรือไม่?”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังดังขึ้น ทำให้ผู้คนในตระกูลหลินต่างจ้องมองไปยังหลินเฟิง
หลินเฟิงจะกลับมาอยู่ที่ตระกูลหลินอีกหรือไม่?!
หากหลินเฟิงกลับมาล่ะก็ นอกจากตระกูลหลินจะไม่สูญเสียผู้นำที่แข็งแกร่งแล้ว แม้กระทั่งเมืองหยางโจวก็จะเป็ของตระกูลหลินและมีชื่อเสียงไปนับพันลี้ ท้ายที่สุดแล้วตระกูลหลินก็จะกลายเป็ผู้มีอำนาจ
ผู้คนในตระกูลหลินต่างคาดหวังกับชื่อเสียงที่หลินเฟิงมี แต่กลับไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมา แล้วตอนนี้ได้มีใครบางคนเอ่ยแทนพวกเขา
“หากท่านยินดีกลับมาเข้าร่วมกับตระกูลหลินล่ะก็ พวกเราก็พร้อมขับไล่ผู้ที่ต่อต้านท่าน ซึ่งรวมไปถึงหลินเชียนด้วย”
คนที่เอ่ยขึ้นมาเห็นหลินเฟิงเงียบจึงเอ่ยอีกครั้ง หากหลินเฟิงยินดีที่จะอยู่ พวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะขับไล่หลินเชียนออกจากตระกูล เพราะหากเปรียบเทียบระหว่างหลินเชียนกับหลินเฟิงแล้ว หลินเชียนนั้นแทบไม่มีอะไรที่เทียบกับเขาได้เลย
หลินเชียนยังคงจ้องมองร่างไร้ิญญาของหลินป้าต้าวด้วยดวงตาอันโศกเศร้า ครั้งหนึ่งนางเคยเป็ความภาคภูมิใจของตระกูลหลิน แม้แต่ในเมืองหยางโจวนางก็ยังเป็ที่เคารพ แต่เพราะหลินเฟิงทำให้ทุกสิ่งที่นางพากเพียรสร้างขึ้นมาต้องถูกทำลาย
หลินเชียนยังจำได้ดีถึงตอนที่นางไปยังนิกายหยุนไห่และมอบความอัปยศให้กับหลินเฟิง แต่วันนี้ชายหนุ่มที่นางเคยดูแคลนกลับแข็งแกร่งกว่านาง
“ตอนที่ข้าถูกขับไล่ออกจากตระกูล ข้าก็ไม่เห็นว่าจะมีใครพูดอะไรออกมา แต่วันนี้เมื่อพวกเ้าเห็นว่าข้าแข็งแกร่งและมีอำนาจ พวกเ้ากลับ้าให้ข้ากลับเข้าร่วมตระกูล? เกรงว่าสำหรับบางเื่ ข้าคงไม่สามารถหันหลังกลับไปได้หรอก!”
หลินเฟิงกล่าวอย่างไม่แยแสขณะนั่งอยู่บนหลังม้า และไม่ได้หันไปมองพวกเขาแต่อย่างใด หลังจากกล่าวจบเขาก็ควบม้าออกไป
ม้าโลหิตจำนวนมากได้ควบออกไปพร้อมกัน จนพื้นดินสั่นะเือีกครั้ง
ขณะมองไปยังแผ่นหลังที่ค่อยๆ ลับตาไป ฝูงชนในตอนนี้ต่างเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน บางเื่นั้นไม่อาจหันหลังกลับมาทางเดิมได้ นี่คือสิ่งที่หลินเฟิงได้เอ่ยไว้ ตอนที่หลินเฟิงถูกขับไล่ออกจากตระกูล มีใครบ้างที่ช่วยหลินเฟิงพูด? เมื่อตอนที่ตระกูลหลิน้าสังหารเขา มีใครสักคนไหมที่จะช่วยเขา?
หลินเฟิงในวันนี้แข็งแกร่งขึ้นมากและยังเป็ถึงผู้บัญชาการ พวกเขาจึงอยากให้หลินเฟิงกลับมาที่ตระกูลหลิน แบบนี้มันถูกต้องหรือ?
ความสูญเสียนั้น มันได้ถูกตัดสินไว้ล่วงหน้าแล้ว...!