เสิ่นิลืมตาขึ้นหลังจากหมดสติด้วยภาพมึนงงในหัว เขาเห็นตัวเองอยู่ในห้องผ่าตัดข้างกายเต็มไปด้วยอุปกรณ์การแพทย์ทุกชนิดกว่าครึ่งเป็อุปกรณ์ที่เสิ่นิไม่เคยเห็นมาก่อนเ้าหน้าที่ทางการแพทย์สวมหน้ากากกำลังง่วนอยู่ข้างกายเขา
เขาไม่สามารถพูดอะไรได้สักคำราวกับถูกตัดลิ้น สัญชาตญาณบอกให้ขัดขืนแต่ความแข็งแกร่งเพียงเล็กน้อยก็ไม่สามารถรวบรวมขึ้นมาได้
“สถานการณ์เป็อย่างไรบ้าง?” บุคคลหนึ่งเอามือไพล่หลังชายชราศีรษะล้านเคราขาวเดินไปข้างเตียงเสื้อคลุมสีขาวที่เขาสวมอยู่นั้นช่างสะดุดตารอยกระบนศีรษะล้านภายใต้โคมไฟไร้เงาทำให้มองเห็นมันได้อย่างชัดเจนมาก
“พละกำลังของเขาแข็งแกร่งมากประสิทธิภาพในการฟื้นฟูเซลล์เป็สองเท่าของมนุษย์ทั่วไปนี่ไม่ใช่ผลของการออกกำลังกายสามารถระบุได้ถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางพันธุกรรมของมนุษย์”หัวหน้าศัลยแพทย์รายงานภายใต้หน้ากาก
“อาการาเ็เป็อย่างไรบ้าง?”
“ส่วนหลักของร่างกายไม่ได้รับความเสียหาย แต่หมัดของนกยูงช่างโเี้นักแม้ว่าเขาจะใช้กายล่องหนถ่ายเทแรงปะทะออกไปมากแล้ว แต่เส้นเอ็นของแขนก็ขาดทั้งหมดสภาพยับเยินไม่อาจซ่อมแซมได้ จากนี้ไปเขาคงต้องทานข้าวด้วยมือซ้ายเท่านั้น”คุณหมอถอนหายใจ
“เอาล่ะ การวิจัยรายละเอียดเพิ่มเติมที่เหลือให้ ‘มูชิชิ’เป็คนทำให้เสร็จ” ชายชราศีรษะล้านเดินขึ้นหน้ามายิ้มด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยริ้วรอยและกล่าวว่า “ ‘หนูตะเภา’ที่น่ารักของฉัน อยู่กับมูชิชิเ้าต้องอึดหน่อยนะ!ตัวอย่างที่ฉันส่งให้เขารอดได้นานที่สุดก็หนึ่งเดือน แต่เ้าช่างพิเศษนักอย่างน้อยก็น่าจะรอดได้ถึง 3 เดือนใช่ไหม?”
“เซี่ยวอี๋...อยู่ไหน?” เสิ่นิเอ่ยถามด้วยความยากลำบาก
“สุดยอดมาก ภายใต้ยาชาชนิดนี้เ้ายังสามารถพูดได้อีก?!” ขณะชายชราหัวโล้นประหลาดใจ เ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่อยู่ข้างๆได้หยิบปืนออกมาหลายกระบอกเล็งไปยังศีรษะของเสิ่นิไม่รู้ว่าพวกเขาเป็ผู้ช่วยผู้ชีวิต หรือมือสังหารกันแน่?
“เซี่ยวอี๋...อยู่ไหน?” ปากกระบอกปืนไร้ความหมายต่อเสิ่นิเขายังคงถามต่อ
“เซี่ยวอี๋? เธอเป็ผู้หญิงที่เหมือนกับเ้าหรือเปล่า?เหอๆ นกยูงดูเหมือนจะหลงเธอหัวปักหัวปำ ถึงขนาดส่งการ์ดเชิญงานแต่งงานให้ฉันแล้วพวกเขาจะแต่งงานกันในอีก 3 เดือน ด้วยสภาพของเ้าแล้วคงไม่อาจไปดื่มฉลองในงานแต่งได้" ผู้เฒ่าหัวโล้นพยักหน้าเ้าหน้าที่ทางการแพทย์เริ่มเพิ่มปริมาณยาชาให้เสิ่นิ
“คุณจะต้องเสียใจที่ไม่ฆ่าผม...ภายใน 3 เดือนผมกลับมาได้แน่” เสิ่นิกัดฟันพูด
“อย่าดูถูกเกินไป ‘์ที่สาบสูญ’ ปัญหาของเ้าใหญ่กว่าที่เ้าคิดไว้มากหลับเถอะ ‘หนูตะเภา’ ของฉัน” คำพูดของชายชราหัวโล้นเป็เหมือนเพลงกล่อมเด็กกล่อมให้เสิ่นิหลับใหลไป
เขาฝันมันเป็ฝันที่น่ากลัวที่สุดในโลก ณ โบสถ์หลังใหญ่ ด้านล่างเวทีแขกเต็มทุกที่นั่งนักร้องประสานเสียงขับกล่อมเพลงงานวิวาห์บาทหลวงผมสีเงินในชุดมิชชันนารียืนอยู่บนแท่นบูชา ถือ ‘พระคัมภีร์’ไว้ในมือดำเนินพิธีแต่งงานซึ่งจัดขึ้นอย่างเป็ทางการ
เซี่ยวอี๋สวมชุดเ้าสาวสีขาวหมดจดยืนเคียงข้างเ้าบ่าว นกยูง ในชุดสูทสีขาวเช่นเดียวกัน
“ฟังเถิด ระฆังวิวาห์ดังขึ้นแล้ว ่เวลาศักดิ์สิทธิ์มาถึงแล้วคุณผู้ชายและคุณผู้หญิงแท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์สำหรับการเฉลิมฉลองงานแต่งงานของพวกคุณอยู่ตรงหน้า ณ เวลานี้ต่อหน้าแท่นศักดิ์สิทธิ์ หมายความว่าพวกคุณจะกลายเป็อีกครึ่งหนึ่งของกันและกันไหล่ของคุณจะรับภาระหนักเช่นเดียวกัน จากนี้ไปจะอยู่ด้วยกันตราบนิรันดร์เป็เพื่อนคู่ชีวิต เผชิญกับทุกสิ่งในชีวิตด้วยกัน คุณพร้อมหรือไม่?” บาทหลวงถามอย่างเคร่งขรึม
“พร้อมครับ” นกยูงตอบด้วยน้ำเสียงทรงพลัง ส่วนเซี่ยวอี๋ได้แต่พยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้น มีแขกท่านใด ณ ที่นี้คัดค้านการแต่งงานครั้งนี้หรือไม่?”บาทหลวงกล่าวถามตามคัมภีร์
“ผม! คัด! ค้าน!”เสิ่นิผลักเปิดประตูโบสถ์และะโด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี
สายตาเคืองแค้นของนกยูงมุ่งไปกิเลนดำฉีกเสื้อสูทสีขาวออก และเมื่อเซี่ยวอี๋หันกลับมา ลำคอของเธอก็ถูกกรีดสิ่งที่เธอถืออยู่ในมือไม่ใช่ช่อดอกไม้ แต่เป็มีดปอกผลไม้ เืไหลราวกับน้ำตกส่วนอกชุดเ้าสาวถูกย้อมไปด้วยสีโลหิต
มองภาพเซี่ยวอี๋ที่มีน้ำตาและเืไหลพรากเสิ่นิใตื่นจากฝันร้าย ศีรษะกระแทกเข้ากับแผ่นเหล็กตรงหน้าเขาเขาถูกบรรจุลงในกล่องเหล็ก มือและเท้าถูกตรึงไว้ในกล่อง
แรงะเือย่างกะทันหันทำให้หน่วยคุ้มกันด้านนอกกล่องพากันใพวกเขาคุยกันเป็ภาษาอังกฤษ
“ทำไมเขาถึงได้ตื่นล่ะ? พวกคุณวางยาสลบยังไงกัน?”
“หัวหน้า เราใช้ยาสลบมากกว่าคนทั่วไปถึงสามเท่าใครจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็สัตว์ประหลาดประเภทไหนกัน?”
“อาจจะแค่ผู้ติดยาอีกคน เป็เพียงอาการดื้อยา”
“เพิ่มโดสยา ทำให้มันหลับซะ!” หัวหน้าคำราม
ณขณะนั้นเอง แก๊สยาสลบสีเขียวจำนวนมากถูกพ่นเข้าสู่กล่องเหล็กเสิ่นิกลั้นลมหายใจโดยสัญชาตญาณเพื่อให้สติดำรงอยู่จะได้ใช้ร่างกายรับรู้สถานการณ์รอบข้าง
เขาซึ่งถูกปิดกั้นจากผู้อื่นอยู่ภายในกล่องเหล็กสีเข้มเต็มไปด้วยความกลัวและความโกรธแค้น แต่ความสงบของเสิ่นิก็แผ่ซ่านไปโดยรอบ
จากความถี่ของการสั่นะเืและเสียงของเครื่องยนต์ตอนนี้เขากำลังอยู่ในเครื่องบินขนส่งใบพัดข้างลำ V-22 Osprey ซึ่งผลิตในอเมริกา บางครั้งตัวเครื่องจะมีการสั่นะเืที่ไม่คงที่นี่คือลักษณะเฉพาะของลมมรสุมในทะเล ดังนั้นในขณะนี้เขาอยู่กลางทะเล
เสิ่นิพยายามกลั้นลมหายใจให้นานขึ้นแต่หลังจากผ่านไปยี่สิบนาที เขาก็หมดแรงจนหายใจรวยริน และหมดสติไปอย่างรวดเร็วแน่นอนว่าร่างกายเขายังไม่ฟื้นตัว ปกติแล้วเขากลั้นหายใจได้นานกว่านี้
เป็การสลบที่ไม่รู้ระยะเวลาอีกครั้งหนึ่งเมื่อเสิ่นิลืมตาขึ้นอีกครั้งสิ่งที่เห็นคือหลังคาสังกะสีที่เต็มไปด้วยสนิมและรู เขานอนอยู่บนเตียงที่ปูด้วยฟาง
เสิ่นิใช้เวลาเพียงครึ่งวินาทีในการลุกขึ้นจากเตียงสำรวจดูตัวเอง เขาสวมชุดผ้ากระสอบเนื้อหนาเหมือนผู้ลี้ภัย มือขวาถูกพันด้วยผ้าก๊อซั้แ่นิ้วจนถึงไหล่ไม่สามารถใช้พลังได้เลยสักนิด ข้อมือทั้งสอง ข้อเท้าทั้งคู่และลำคอถูกสวมปลอกโลหะพันรอบไว้ ที่ข้อมือด้านซ้ายยังมีหน้าจอดิจิตอล แสดงเวลาและยอดที่เหลือในบัญชีคือ “10 เคอลา”
เสิ่นิรู้จักสกุลเงินทั้งหมดบนโลกแต่เขาไม่รู้ว่าประเทศไหนใช้สกุล “เคอลา”
“ฟื้นแล้วเหรอ? ร้ายกาจมาก! ตอนแรกฉันหมดสติไป 1วันเต็ม! แต่นายมาที่นี่ได้แค่ 2 ชั่วโมง...”ในห้องเดียวกัน ชายผู้หนึ่งอุทานขึ้นมา “สวัสดี ฉันเป็รูมเมทของนาย ชื่อชางหลาน”
ชางหลานก้าวไปข้างหน้าอย่างสุภาพและยื่นมือออกไปเสิ่นิมองไปที่มือที่ห้อยลงมาของเพื่อนร่วมห้องตัวขาวชายหนุ่มกล่าวอย่างไม่มีมารยาท ถามกลับไปอย่างหัวเสีย “ที่นี่ที่ไหน?”
“เขตหวงห้ามเซเวียร์ ์ที่สาบสูญ”ชางหลานถอนมือกลับอย่างเชื่องช้าและพยายามฝืนยิ้ม
“ที่ไหน? ฉันไม่เคยได้ยินชื่อ…”เสิ่นิพยุงตัวลุกขึ้นจากเตียง แต่ขาอ่อนแรงมากเขาเหยียดมือขวาโดยสัญชาตญาณเพื่อคว้าจับกำแพง แต่มือขวากลับไม่มีกำลังใดๆกระทั่งศีรษะกระแทกเข้ากับผนังเหล็ก
ชางหลานมองดูแล้วรู้สึกเจ็บศีรษะแทนแต่เสิ่นิพยุงตัวด้วยมือซ้ายทันทีและยืนขึ้นอีกครั้งและในขณะนี้เขาก็แน่ใจแล้วว่ามือขวาของตนได้กลายเป็เพียงแค่เครื่องประดับไปแล้ว…
“เป็เื่ปกติที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนหลายคนที่มาที่นี่คิดว่าตัวเองได้ข้ามภพข้ามชาติไปแล้ว นายดูนิ่งสงบกว่าคนทั่วไป”ชางหลานยิ้มโชว์ลักยิ้ม ผู้หญิงพวกนี้ ไม่ใช่สิ ผู้ชายคนนี้สวยกว่าผู้หญิงจริงๆเสียอีก “ไม่มีใครรู้ว่า์ที่สาบสูญเริ่มดำเนินการั้แ่เมื่อไรผู้คนที่ถูกส่งมาที่นี่ได้ทำให้ผู้มีอำนาจบางคนขุ่นเคือง เลยถูกแก้แค้น 10 ล้านดอลลาร์นายก็สามารถส่งศัตรูของนายไปมายัง์ที่สาบสูญจนกว่าเขาจะตายอยู่ที่นี่ไม่มีการพิจารณาคดีทางกฎหมาย ไม่มีการรอลงอาญาและแสงตะวัน ผู้คนที่นี่ดวงตาพิการมีชีวิตอยู่เพื่อรอความตายแต่ใน์ที่สาบสูญ หาก้ามีชีวิตรอด ลำพังตัวคนเดียวมันไม่ง่ายเลย”
“อาชางเอาอีกแล้ว” ชายผู้นั้นเหล่ตามองและอุทานในระหว่างนั้นเขาก็เหลือบมองเสิ่นิอีกครั้ง จ้องอย่างกับการ “เลือกสาวๆ”
“อุ๊ย! พี่ชายคนเก่ง! วันนี้มาเร็วนะ!”ชางหลานยิ้มและคว้าจับแขนชายตัวเหม็นผู้นั้นเขาเล่นหูเล่นตาและผลักรถเข็นไปอย่างคุ้นชินกับทิศทางก่อนจะหันหน้าไปมองเสิ่นิด้วยความเอียงอายอีกครั้ง“ฉันยังไม่ได้ถามเลยว่าพี่ชื่ออะไร?”
“เสิ่นิ...”
“พี่เสิ่นิ พี่ช่วยออกไปข้างนอกก่อนได้ไหม น้องชายอยากทำ ‘ธุรกิจ’พี่ไปเดินเล่นรอบๆ ก่อน ไว้ตอนทานอาหารค่ำฉันจะไปหาพี่แล้วเราค่อยคุยกันทีหลัง!”
แน่นอนว่าเสิ่นิเข้าใจสิ่งที่ชางหลานเรียกว่า''ธุรกิจ'' เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะดูการถ่ายทอดสด GVอันน่าขยะแขยง ดังนั้นจึงเปิดม่านและเดินออกไปข้างนอก
สถานที่ที่เรียกว่า“์ที่สาบสูญ” มันเป็กรงที่สร้างจากเศษเหล็ก สูงประมาณ 10 เมตร พื้นที่ประมาณ 3 สนามฟุตบอลสปอตไลต์้าให้แสงสว่างทั้งกลางวันและกลางคืนเห็นได้ชัดว่าสถานที่อันทรุดโทรมแห่งนี้ได้สร้างให้มีระบบนิเวศของตัวเองมีร้านค้าเล็กๆ มีบาร์ มีร้านอาหาร มีผู้หญิงข้างถนน และสเตเดียมเสื้อผ้าของทุกคนส่วนใหญ่เป็ผ้ากระสอบเนื้อหยาบผู้ที่สามารถมีรองเท้าได้ถือเป็ชนชั้นสูง
โลกตรงหน้าดูเหมือนจะไม่ใช่ภาพรวมของ์ที่สาบสูญมีลิฟต์แก้วแยกอยู่ตรงกลาง์ที่สาบสูญ ที่ประตูมีทหารติดอาวุธหนักสองนายเฝ้าอยู่และในมือพวกเขาถือกระบองไฟฟ้า
พวกเขาน่าจะเป็ผู้คุมแห่ง์ที่สาบสูญเสิ่นิลดหน้าผากลงแล้วเดินไปที่ถนนข้างลิฟต์ แอบมองยามสองคนและลิฟต์นั่น
เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่ได้ติดตั้งอาวุธร้ายแรงแค่อึดทนต่อการต่อสู้มากกว่าคนธรรมดา จากลักษณะแล้วมากที่สุดก็อยู่ในระดับกองกำลังรบพิเศษสามัญเสิ่นิเชื่อว่าเขาสามารถจัดการพวกมันได้ในเวลาเพียง 10 วินาที
เขาไม่มีแผนจะค้างคืนที่์ที่สาบสูญเมื่อเขาพร้อมที่จะลงมือ นักโทษ 4 คนซึ่งมีความคิดเช่นเดียวกับเขาวิ่งออกมาจากด้านข้าง
เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีการเตรียมพร้อมมากกว่าเสิ่นิทุกคนถือไม้กอล์ฟเหล็กไว้ในมือ และมีดเหล็กแหลม
พวกเขาเคลื่อนไหวว่องไวร่างกายมีทักษะเห็นแวบแรกก็รู้ว่าพวกเขาล้วนเป็ปรมาจารย์การต่อสู้ระยะใกล้ที่ได้รับการฝึกฝนมานานการแบ่งงานสี่คนมีความชัดเจน สองคนโจมตีด้วยไม้กอล์ฟอีกสองคนถือมีดจู่โจมจากด้านหลัง
ตามที่คาดการณ์ไว้ผู้คุมทั้งสองคนถูกตีจนศีรษะงงงวย พวกเขาได้แต่ปัดป้องเท่านั้น หมดทางสู้กลับ
ในขณะที่เสิ่นิตัดสินใจว่าจะช่วยและหนีไปด้วยกันทันใดนั้นเขาก็พบว่าผู้อยู่อาศัยรอบๆ ์ที่สาบสูญไม่ได้มีความตื่นเต้นที่จะหลบหนีตรงกันข้ามพวกเขากลับหัวเราะและมองอย่างไร้มนุษยธรรม
“มาทายกันว่าไอ้โง่ 4 ตัวนั่นจะฝืนได้นานแค่ไหน?”
“10 วินาที ถึงสมองไม่ค่อยดี แต่สรีระก็ไม่เลว”ผู้คนที่เดินผ่านกล่าววาจาดูแคลน