เสียงกระพรวนเงินอันน้อยๆ กังวาน
ความหวาดหวั่นพลันแล่นจู่โจมหัวใจของเหล่าปา
หัวใจราวกับตีบตื้นขึ้นมาถึงคอ โดยเฉพาะตอนที่เ้าหนูน้อยสั่นกระพรวนที่เขาให้เล่นอยู่ตรงหน้าเ้าาาม้า
เขาแทบจะต้องหลับตาลงมิอาจกลั้นใจมองภาพตรงหน้าต่อได้
แต่ถึงอย่างไรเสียบนูเากระดูกแห่งนี้ทารกทั่วไปก็ไม่นับว่าจะมีชีวิตยืนยาวอะไร เขาเดิมทีก็ทำใจไว้แล้ว
ทว่าก็ไม่ได้ยินเสียงน่ากลัวที่คาดไว้ทั้งสิ้น
ชายหนุ่มกลับได้ยินเสียง “ฮ่าๆๆ” ดังขึ้นแทน
เหล่าปาจึงอดไม่ได้ที่จะลืมตามอง
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ชายหนุ่มก็แทบอ้าปากค้าง
เ้าาาม้านั้นไม่เพียงไม่เหยียบเ้าหนูน้อย ทว่ายังก้มหัวให้ทารกตรงหน้าอย่างว่าง่าย ซ้ำยังไม่หือไม่อือ ยอมให้มืออวบอ้วนคู่น้อยนั้นตีหัวมันตรงโน้นทีตรงนี้ที เมื่อเห็นทารกน้อยตีลงไปบนก้อนบนหัวของเ้าาาม้าอย่างไม่ออมแรง เหล่าปาก็แทบกลั้นใจมองภาพตรงหน้าต่อไม่ไหว
ต้องเจ็บมากแน่ๆ
เ้าเด็กนี่กินเก่งเหลือเกิน เรี่ยวแรงย่อมไม่เบา มิเช่นนั้นจะถึงขั้นดึงไข่มุกบนรองเท้าแม่นางหลัวให้หลุดมาได้อย่างไร
ยิ่งมอง เหล่าปาก็ยิ่งปวดใจ
เ้าาาม้าคงจะป่วยแล้วจริงๆ
กระทั่งความดุร้ายก็หายไปสิ้น ถึงขนาดยอมให้ทารกน้อยคนหนึ่งััได้ ดูอย่างครั้งก่อน มันออกแรงแค่ทีเดียว นายท่านสองก็แผ่พังพาบอยู่ใต้ฝ่าเท้ามันเสียแล้ว บัดนี้หญ้าบนหลุมศพยังสูงเสียจนจะเลี้ยงม้าได้แล้วกระมัง
พวกม้าป่วยไม่อาจอยู่ในฝูงต่อได้ เหล่าปาจึงให้อาลู่พาพวกมันไป
ในอดีตหากพวกม้าป่วยขึ้นมา เขาเพียงต้อนมันไปที่สระกระดูกก็เป็อันก็สิ้นเื่
ทว่ากับเ้าาาม้าตรงหน้า เขากลับไม่อาจตัดใจทำเช่นนั้นได้ เพราะหากว่าสิ้นเ้าาาม้าแล้ว ก็เกรงว่าม้าตัวอื่นคงไม่อาจรอดเช่นกัน ดังนั้นถึงแม้จะหมดหวัง ก็มิอาจถอยได้
เหล่าปาให้อาลู่จูงเ้าาาม้ากับเ้าเทาไปผูกทางรั้วไม้ที่เพิ่งซ่อมเสร็จ เพราะหากว่าเ้าม้าพวกนี้เกิดหมดทางเยียวยาหรือพยศขึ้นมา เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะปล่อยพวกมันลงสระกระดูกดังเช่นที่เคยทำ
เ้าเทานั้นไม่อยากจากฝูงไป จึงเอาแต่หวีดร้องเสียงดังไม่หยุด
ทว่ารอจนเ้าม้าสีนิลเหลือบมองมันคราหนึ่ง เ้าเทาก็เปลี่ยนเป็ว่าง่ายเดินตามแต่โดยดี
อาลู่และทารกน้อยบนหลังจึงจูงเ้ามาสองตัวเดินจากมาทางรั้วไม้
เพราะม้าป่วยคราวนี้จึงได้รู้ว่ารั่วไม้ที่อาลู่ซ่อมนั้นก็มีประโยชน์ไม่น้อย
ทว่าอาลู่กลับยังเหลือช่องว่างระหว่างรั้วไม้ไว้ ซ้ำหลังจากที่เขาพาม้าทั้งสองตัวจากมา ฝูงมาก็พลันโกลาหลจู่โจมมาทางเขา
โชคดีที่เขานั้นเอาท่อนไม้มากั้นช่องว่างนี้ไว้ั้แ่ต้น แม้ม้าตัวอื่นอยากจะตามมา ก็ถูกท่อนไม้นั้นกั้นไว้เสียแล้ว
ฝูงม้านั้นเมื่อยังเห็นเ้าาาม้า ก็ไม่ได้ก่อความวุ่นวายอะไรต่อ เพียงแต่วนเวียนอยู่หน้ารั้วไม้พักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าหมดปัญญาจะเข้าไปแล้วจริงๆ ก็พากันล่าถอยกลับไปกินหญ้าที่เดิม
ไม่ใกล้ไม่ไกล หลัวอู๋เลี่ยงก็พาสาวใช้เดินตามมา
นางรู้สึกตะลึงเล็กน้อยที่เห็นท่าทีซื่อๆ ของเ้าม้าสีนิล เพียงแต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของมัน ก็เข้าใจได้ทันที
ม้าแม้จะพยศเพียงใด ก็ไม่อาจพยศต่อความตายได้
ภาพตรงหน้าไม่ได้ทำให้นางรู้สึกหดหู่แม้แต่น้อย กลับกันนางรู้สึกเบิกบานขึ้นนิดหน่อยเสียด้วยซ้ำ
อดีตนายท่านสองก็แอบมือไวข่มเหงนางอยู่เสมอ
ต่อมานางใช้แผนการนิดหน่อยก็ส่งนายท่านสองลงหลุมจนไม่อาจโผล่ขึ้นมาได้อีก
ช่างโชคดีเสียนี่กระไรที่เ้ามาสีนิลก็กำลังจะตายตามไป
ทารกน้อยเมื่อเห็นร่างอรชรเดินมาก็ดิ้นขลุกขลักจะไปหานาง
ใบหน้างามเมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของทารกน้อยก็พอใจเป็อย่างยิ่ง จึงให้หญิงรับใช้ข้างกายไปอุ้มนางมาให้ เมื่อรับเด็กน้อยเข้ามาในอ้อมอกก็ป้อนนมให้นางเช่นวันปกติ
วันนี้เมื่อรอจนทารกน้อยกินนมเสร็จ นางกลับไม่ได้โยนเ้าตัวน้อยลงพื้นทันทีเหมือนเช่นวันก่อน ครานี้ยังคงอุ้มไว้ในอ้อมกอด
“น้องสาวเ้าชื่อเฉินโย่ว เ้าตั้งชื่อนี้เพราะหวังให้เหล่าทวยเทพคุ้มครองนางหรือ” หลัวอู๋เลี่ยงกระซิบถามเด็กหนุ่มด้วยเสียงเย็นเยียบ น้ำเสียงนางฟังดูแล้วก็คล้ายกำลังถามไถ่ แต่ก็คล้ายกับกำลังบอกเล่าเื่หนึ่งขึ้นมาลอยๆ เท่านั้น
ทุกครั้งยามทารกน้อยปีนขึ้นไปบนกายแม่นางหลัวเพื่อขอดื่มนมนั้น อาลู่ล้วนไม่เคยอยู่ห่างทารกน้อย แต่ก็มิอาจเข้าใกล้เกินไปได้
ครั้งนี้คือครั้งแรกที่แม่นางหลัวเอ่ยปากคุยกับตน อาลู่รู้สึกกังวลเล็กน้อย จึงได้แต่พยักหน้าเบาๆ
“ภัยเหมันต์ปีนี้รุนแรงนัก พวกม้า วัว จวบจนแพะพากันตายยกฝูง กระทั่งตระกูลเฉินในชิงหยวนก็เจอหายนะทั้งตระกูล เมื่อก่อนตอนเ้าทำงานก็แอบขโมยเงินพ่อบ้าน ซ้ำมีน้องสาว นางก็อาการไม่สู้ดี ทว่าตอนนี้นางกลับยังมีชีวิตอยู่ เ้าว่าเพราะเหตุใดนางจึงมีชีวิตอยู่กันนะ” หลัวอู๋เลี่ยงพูดไปพลางลูบศีรษะเฉินโย่วน้อยไป
อาลู่ได้แต่ก้มมองพื้น ไม่รู้จะกล่าวอันใด ในใจเอ่อท้นด้วยความกลัว แม้แม่นางหลัวจะงดงามดุจเทพเซียน แต่สำหรับเขาแล้ว นางนั้นช่างอันตรายเสียยิ่งกว่าเหล่าปาด้วยซ้ำ กระทั่งเขาไม่เคยพูดเื่ตนให้ใครฟัง นางยังอุตส่าห์ไปสืบหามาจนได้
“ยกนางให้ข้าเถิด” เดิมทีหลัวอู๋เลี่ยงไม่เคยนึกอยากได้เ้าเด็กคนนี้ ทว่านางค้นพบว่าเ้าเด็กคนนี้ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตนางเสียแล้ว ดังนั้นจึงไม่สู้เอานางมาเลี้ยงข้างกายเสียดีกว่า
อาลู่เมื่อได้ยินดังนั้นพลันเงยหน้าขึ้น เด็กหนุ่มมิอาจเก็บซ่อนแววตาที่ดุร้ายราวกับหมาป่าของตนได้อีก
ทว่าสตรีงามตรงหน้าเขากลับทำท่าราวกับไม่ระคายต่อสายตาดุร้ายนั่นแม้แต่น้อย
“เ้าไม่ต้องมองข้าเช่นนั้น หากเ้าาาม้าตายเสียแล้ว เ้ากับน้องสาวย่อมหมดทางรอด ไม่สู้รับปากว่าจะยกนางให้ข้า เช่นนี้ข้าจะช่วยขอชีวิตให้เ้า”
เด็กหนุ่มพลันส่ายหน้ายิก
“เ้าาาม้าจะไม่มีทางตาย”
“นางเป็น้องสาวข้า”
บนูเาแห่งนี้หลัวอู๋เลี่ยงแทบไม่เคยถูกปฏิเสธ ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่ม นางกลับไม่ได้เกรี้ยวกราดแต่อย่างใด ทำเพียงคลายมือที่อุ้มทารกน้อยอยู่ ปล่อยให้นางตกสู่เบื้องล่าง
ก่อนจะจากไปพร้อมผ้าคลุมบนไหล่ที่ยังคงพลิ้วไสวดังวันก่อน
เฉินโย่วน้อยเมื่อได้กลับมาอยู่ในอ้อมอกพี่ชาย ก็ทำทีประจบยื่นหินโมราสีแดงเม็ดหนึ่งให้กับเขา
หินโมราเม็ดนี้ แท้จริงก็คือกระดุมเม็ดหนึ่งบนกระโปรงของแม่นางหลัว
หินโมราสีแดงสดราวกับเืที่หลั่งริน
เด็กหญิงตัวน้อยมิได้รับรู้ความทุกข์ใจเมื่อครู่แม้กระผีก นางยังคงฉีกยิ้มกว้างเก็บหินโมราเม็ดน้อยเข้ากระเป๋าพี่ชาย เมื่อใส่กระเป๋าแล้วยังทำท่าตบกระเป๋าอีกสองสามที
กระเป๋าของอาลู่จึงเริ่มนูนขึ้น เพราะมีทั้งหินโมรา และกระดิ่งเงิน
เฉินโย่วน้อยเมื่อจัดการกับของเล่นของนางเรียบร้อย ก็แหงนหน้าขึ้นหัวเราะใส่อาลู่ ทันใดก็อ้าปากพูดว่า “พิ พี่” ออกมา
อาลู่ใจนแทบะโ
เ้าตัวเล็กนี่เรียกตนว่าพี่ชายหรือ
เขาตื่นเต้นรีบตบหลังน้องสาว “พูดอีกทีสิ!”
“พิ พิ พิ พี่”
หลัวอู๋เลี่ยงที่กำลังทอดน่องอยู่นั้นก็พลอยได้ยินเสียงหัวเราะดังไล่หลังมา ดังเสียจนลั่นไปทั่วบริเวณ
ใบหน้างามพลันสั่นระริก นางเริ่มมีโทสะเสียแล้ว