ทักษะการจับสังเกตของโจวเฉิงนั้นยอดเยี่ยมเหลือเกิน เซี่ยเสี่ยวหลานปิดบังเขาไม่ได้เลยสักนิด โจวเฉิงพูดออกมาตรงๆ และจ้องมองเซี่ยเสี่ยวหลานอยู่อย่างนั้น ดวงตาของเขาราวกับผืนทะเลลึก เซี่ยเสี่ยวหลานรับกับความรู้สึกนี้ไม่ไหวจึงได้แต่พยักหน้าตอบรับ
“ได้ ฉันจะไม่ยุ่ง... ถ้าอย่างนั้นฉันไปดูหน้าร้านใหม่กับพี่ไป๋คงไม่เป็ไรใช่ไหม”
แน่นอนว่าไม่เป็ไร โจวเฉิงมองแก้มบวมปูดของเธอแล้วรู้สึกโกรธขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะก้มจูบเธอเบาๆ โดยเลี่ยงบริเวณที่เป็แผล
เซี่ยเสี่ยวหลานเกือบหลุดขำ ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นได้ โจวเฉิงบอกว่าหลังคังเหว่ยฟื้นแล้วเขาจะกลับค่ายทหาร
“เธอต้องกลับค่ายแล้วหรือ”
โจวเฉิงรู้สึกลำบากใจ ถามแบบนี้คือไม่อยากให้เขากลับค่ายมิใช่หรือ
“ฉันจะรอศาสตราจารย์เฉียวหย่งกุ้ยมาตรวจอาการของคังเหว่ยก่อนแล้วค่อยกลับ”
ศาสตราจารย์เฉียวหย่งกุ้ยน่าจะเพิ่งขึ้นเครื่องบิน กว่าเขาจะนั่งเครื่องจากปักกิ่งมาที่หยางเฉิง และเดินทางจากหยางเฉิงมาตรวจอาการของคังเหว่ยที่เผิงเฉิง อย่างน้อยคงต้องใช้เวลาครึ่งวัน ที่โจวเฉิงบอกให้เซี่ยเสี่ยวหลานไปทำธุระของตัวเองหาใช่เพราะอยากไล่เธอไปที่อื่น แต่เขาจะไปดูหน้าร้านพร้อมกับเธอและไป๋เจินจูต่างหาก
เขาจะต้องหาเื่อื่นมาเบี่ยงเบนความสนใจของเซี่ยเสี่ยวหลาน
นี่คือสิ่งที่โจวเฉิงคิด
รถของคังเหว่ยถูกชนที่ด้านหลัง ดังนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานจึงวานคนขับรถของทังหงเอินให้ไปขอยืมรถมาให้เธอคันหนึ่ง เมื่อได้รถมาโจวเฉิงก็เป็สารถีคอยขับรถพาเซี่ยเสี่ยวหลานกับไป๋เจินจูตระเวนดูหน้าร้านหลายที่
หลังได้เห็นสภาพแวดล้อมของจริง เซี่ยเสี่ยวหลานก็เริ่มหมายตาทำเลที่ตั้งแห่งใหม่ทันที
“พี่ไป๋ อีกครึ่งปีเราจะเปิดร้านใหม่กัน ตอนนี้คงต้องหาพนักงานขายเพิ่มอีกสักสองคน ให้โอกาสพวกเขาได้ฝึกฝนฝีมือก่อน ถึงตอนนั้นจะได้ไปประจำที่ร้านใหม่ได้ทันที ฝากพี่ช่วยใส่ใจคนที่ทำยอดขายได้ดีหน่อยนะ บอกพวกเขาว่าจะมีโอกาสได้เลื่อนเป็หัวหน้าร้าน... อนาคตสาขาของร้านจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พวกเราคงไม่สามารถไปดูได้ด้วยตัวเองทุกร้าน เพราะฉะนั้นเราจะต้องผลักดันพนักงานที่มีแววด้านงานบริหารเตรียมเอาไว้”
ไม่ว่าจะเป็พนักงานร้านหรือพนักงานขาย ก็ควรให้ความหวังว่าอาจจะได้เลื่อนตำแหน่ง!
หัวหน้าร้านถือเป็ผู้บริหารระดับกลาง หากรู้สึกคำว่าหัวหน้าร้านไม่น่าฟัง จะใช้คำว่า ‘ผู้จัดการร้าน’ ก็ย่อมได้
จะว่าไปการบอกว่าทำงานขายกระเบื้องอยู่ที่ร้านวัสดุก่อสร้างแห่งหนึ่ง กับการบอกว่าเป็ผู้จัดการร้านวัสดุก่อสร้างแห่งหนึ่ง คนนอกฟังแล้วย่อมรู้สึกต่างกันออกไป คนเราไม่ว่าทำอาชีพอะไร ค่าตอบแทนย่อมเป็หนึ่งในสิ่งที่้า แต่ความภาคภูมิใจก็นับว่าเป็อีกปัจจัยหนึ่งเช่นกัน ทว่าอย่างหลังจำเป็ต้องให้เถ้าแก่ ตัวเอง รวมถึงคนรอบข้างให้การยอมรับถึงจะได้มันมา
หากมีโอกาสเลื่อนตำแหน่ง พนักงานก็จะยิ่งทุ่มเทแรงกายและแรงใจให้กับการทำงาน
ไป๋เจินจูไม่ใช่คนที่อยากรวบอำนาจทุกอย่างไว้ในมือ เธอสามารถจ้างคนมาเฝ้าแผงลอยและแบ่งกำไรคนละครึ่งได้ นั่นแสดงให้เห็นแล้วว่าเธอเป็คนมองการณ์ไกล
“ฉันว่ามีอยู่สองคนในร้านที่ใช้ได้เลยทีเดียว นอกจากงานขายในความรับผิดชอบของตัวเองแล้ว สองคนนี้ยังคอยให้คำแนะนำเื่การบริหารร้านให้ฉันเป็ครั้งคราวอีกด้วย”
ความกระตือรือร้นเช่นนี้ หากไม่เลื่อนตำแหน่งให้ก็คงไม่ได้
เพื่อเปิดสาขาใหม่ ไป๋เจินจูจึงตัดสินใจมอบตำแหน่ง ‘รองผู้จัดการร้าน’ ให้กับพนักงานในสาขาแรกก่อน ทำให้คนอื่นเห็นว่านี่ก็คือผลของการทุ่มเทให้กับการทำงาน
“คำแนะนำนี้ของพี่ไป๋ยอดเยี่ยมมากจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามที่พี่ว่าเถิด”
ด้านงานบริหารร้านทั่วไป ไป๋เจินจูรู้จักร้านวัสดุแห่งนี้ดีที่สุด เพราะเธอได้ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจมากกว่าคนอื่นๆ ต่อให้คำแนะนำของไป๋เจินจูจะแย่แค่ไหน เซี่ยเสี่ยวหลานก็ต้องยอมรับฟังก่อนแล้วค่อยหารือกับไป๋เจินจูอีกครั้ง แล้วนับประสาอะไรกับคำแนะนำที่ดีของไป๋เจินจูกัน
ตอนเซี่ยเสี่ยวหลานคุยกับไป๋เจินจู โจวเฉิงไม่พูดแทรกแม้แต่คำเดียว เพราะแค่เขาได้อยู่กับเซี่ยเสี่ยวหลานก็มีความสุขมากแล้ว
เวลาเสี่ยวหลานทำงานช่างมีเสน่ห์ยิ่งนัก โจวเฉิงรับรู้ได้ั้แ่เมื่อครั้งที่ช่วยเสี่ยวหลานขายไข่ไก่ ดังนั้นาแที่ใบหน้าของเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ส่งผลกระทบอะไรกับโจวเฉิงแม้แต่น้อย แฟนของเขามองอย่างไรก็เจริญหูเจริญตา!
แม้โจวเฉิงจะนิ่งเงียบไม่พูดอะไร แต่ไป๋เจินจูก็ยังคงรู้สึกอึดอัดอยู่ดี หลังดูหน้าร้านเสร็จ ไป๋เจินจูจึงรีบบอกว่ามีธุระที่ร้านต้องกลับไปจัดการ ขอตัวกลับก่อน
“พี่ไป๋ เดินช้าๆ หน่อย...”
โจวเฉิงยิ้ม “ไป๋เจินจูฉลาดกว่าพี่ชายจริงๆ ”
เธอคงไม่อยากเป็ก้างขวางคอเขากับเสี่ยวหลานสินะ หากเป็ไป๋จื้อหย่งผู้เป็พี่ชายคงไม่รู้ใจคนอื่นเช่นนี้ อย่างไรก็ตามไป๋เจินจูต้องติดต่อกับผู้คนมากมายเวลาทำธุรกิจ ดังนั้นนี่คือการฝึกฝนด้านความฉลาดทางอารมณ์ที่ดีอย่างหนึ่ง
ไป๋เจินจูไม่อยู่แล้ว โจวเฉิงจึงพูดเื่เก่าขึ้นมาอีกครั้ง โดยเื่ที่เขาพูดถึงคือเื่ซื้อรถ
“เงินที่ฉันให้เธอไป เธอคงไม่ได้เอาไปลงทุนกับแบรนด์เสื้อผ้าของเฉินซีเหลียงหมดใช่ไหม ฉันคิดว่าเงินที่เหลือเธอเอามาซื้อรถสักคันเถิด รถจี๊บ 212 แบบคังเหว่ยหากเป็ผู้หญิงขับคงจะไม่เหมาะสักเท่าไร แล้วอย่าเลือกรถรุ่นที่ถูกเกินไปล่ะ อีกอย่างเธอต้องทำเหมือนคังเหว่ยซึ่งก็คือไปสมัครเรียนขับรถที่โรงเรียนสอนขับรถที่เชื่อถือได้”
แน่นอนว่าเงินของโจวเฉิงยังคงเหลืออยู่ แต่ถ้าอยากใช้ให้หมดก็ไม่ยากสักนิด เฉินซีเหลียงอยากทำแบรนด์เสื้อผ้าสตรี หาก้าเผาเงินไปกับการประชาสัมพันธ์ เงินจำนวนหลายแสนหยวนก็ยังไม่พอ เวลาแบบนี้เซี่ยเสี่ยวหลานจะเอาเงินของโจวเฉิงไปซื้อรถได้อย่างไรกัน
“อย่าเพิ่งซื้อเลย ตอนนี้ฉันกลัวการขับรถอยู่บ้าง”
แม้จะลงทุนกับเฉินซีเหลียงไปแล้วสองแสนหยวน แต่เงินที่เหลือก็มากพอให้ซื้อรถดีๆ สักคัน แน่นอนว่าเซี่ยเสี่ยวหลานสามารถซื้อรถเบนส์ลีย์มาแข่งกับตู้เ้าฮุยได้ แต่เธอแค่ไม่อยากเอาเงินของโจวเฉิงไปซื้อสินค้าที่สามารถเสื่อมมูลค่าลงเรื่อยๆ ก็เท่านั้น
เหตุผลนี้โน้มน้าวใจโจวเฉิงได้อย่างง่ายดาย เธอเพิ่งถูกรถชนจะกลัวการขับรถก็ไม่แปลก เป็เขาต่างหากที่ไม่รู้จักกาลเทศะ
“ได้ๆๆ เช่นนั้นก็อย่าเพิ่งซื้อเลย”
แฟนของเขาไม่ใช่คนที่นิยมสิ่งของนอกกาย เธอ้าหาเงินมาเพื่อให้ชีวิตได้กินดีอยู่ดี ปกติเธอก็ไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือยอยู่แล้ว แต่พอบอกว่าจะซื้อบ้านที่ปักกิ่งก็ควักเงินจ่ายได้อย่างตาไม่กะพริบ ทว่าพอบอกให้ซื้อรถกลับไม่ยอมซื้อง่ายๆ
เสี่ยวหลานบอกว่าบ้านในปักกิ่งจะมีมูลค่าสูงขึ้น เขาจึงซื้อบ้านไว้หลายหลัง แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรมูลค่าของมันถึงจะเพิ่มสูงขึ้น แฟนของเขาจะได้ไม่ต้องรู้สึกกลุ้มเื่เงินอีก
โจวเฉิงช่างคิดเยอะเหลือเกิน ตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานห่างไกลจากคำว่าไม่มีเงินยิ่งนัก เพราะร้านวัสดุก่อสร้างเพิ่งแบ่งเงินปันผลมาให้เธอจำนวน 25,000 หยวน
ผู้จัดการใหญ่อู่อนุมัติสินเชื่อ 200,000 หยวน และเงินสดก็มาถึงมือเธอจำนวน 180,000 หยวน
เงินเก็บที่เหลือจากการซื้อบ้านยังคงเหลืออีกสามหมื่นกว่าหยวน
กลับซางตูเมื่อไร ‘หลานเฟิ่งหวง’ ก็จะทำการปันผลกำไรจากยอดขายประจำฤดูหนาว แต่หลิวหย่งบอกว่าจะยกเงินทั้งหมดให้เธอ ไม่รู้ว่าจะได้อีกกี่หมื่นหยวน
ถ้านับเงินที่มีอยู่ในมือของเซี่ยเสี่ยวหลานตอนนี้คงจะได้เงินสดประมาณสามแสนกว่าหยวน รับรองว่าสามารถเปิดร้านเสื้อผ้าสาขาใหม่ในปักกิ่งได้อีกสองร้าน ดังนั้นถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานอยากซื้อรถจริงๆ จะเจียดมาใช้สักไม่กี่หมื่นหยวนย่อมไม่มีปัญหา แต่เธอรู้สึกว่ามันไม่จำเป็สักนิด
อีกทั้งยังไม่เหมาะกับสถานภาพนักศึกษาของเธอด้วย ถ้าไปเป็นักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ เซี่ยเสี่ยวหลานจำเป็ต้องมีเงินสดอยู่ในมือ เพราะเธอยังต้องช่วยย่าอวี๋ตามหาลูกชายน่ะสิ!
ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่ต่างประเทศนั้นสูงมาก ประเทศทุนนิยมเช่นนั้นหากจะทำอะไรล้วนต้องใช้เงินตราเป็สิ่งแลกเปลี่ยน ในขณะที่เซี่ยเสี่ยวหลานนั้นต้องใช้ชีวิต ต้องตามหาคน เดาได้เลยว่าชีวิตที่ต่างประเทศของเธอคงไม่สุขสบายนัก... ทุกครั้งที่คิดถึงเื่นี้เซี่ยเสี่ยวหลานก็จะรู้สึกว่าตนช่างมีเงินน้อยนิดเหลือเกิน หรือเธอควรล้มเลิกทุกอย่างดี จะทำธุรกิจกับพวกคังเหว่ยให้ลำบากไปทำไม มิสู้ไปทำงานราชการ ถ้าเงินไม่พอใช้ก็ขอกู้ยืมเงินจากธนาคารมาใช้ก่อนได้ ไม่จำเป็ต้องมีต้นทุนอะไรด้วยซ้ำ รับรองว่าเธอสามารถสร้างตัวได้อย่างรวดเร็วแน่นอน!
—--------------------------------------------------------
หยางเฉิง
“แม่ ตอนนี้เราจะทำอย่างไรกันดี!”
หวังจินกุ้ยเกาะแม่เฒ่าเซี่ยไม่ยอมปล่อย พวกเธอขลุกอยู่แต่ที่หมู่บ้านต้าเหอมาโดยตลอด ที่แท้โลกภายนอกก็เป็เช่นนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองใหญ่ทำให้หวังจินกุ้ยรู้สึกหวาดกลัวเหลือเกิน หลังมาถึงสถานีรถไฟหยางเฉิง ไม่ทันไรก็ทำกระเป๋าเดินทางหายไปสองใบ โดยเงินร้อยกว่าหยวนที่หวังจินกุ้ยพกติดตัวมาอยู่ในนั้นทั้งหมด
เงินของเซี่ยหงเซี๋ยใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง ทว่ากระเป๋ากางเกงของเธอถูกคนใช้มีดกรีดเป็รูใหญ่ ทำให้เงินที่เธอขอแฟนมาก่อนออกเดินทางลอยหายไปในชั่วพริบตา
ส่วนเซี่ยหงปิง... เหอๆ ผีพนันอย่างเขาย่อมไม่มีเงินสดติดตัว
เดิมทีหวังจินกุ้ยกับเซี่ยหงเซี๋ยแกล้งทำเป็ไม่มีเงิน เพราะอยากให้แม่เฒ่าเซี่ยเป็คนจ่าย แต่ตอนนี้สมาชิกทั้งสี่ของตระกูลเซี่ย มีสามคนที่จนแล้วจริงๆ เหลือเพียงแม่เฒ่าเซี่ยที่เงินยังอยู่ครบ ถ้าไม่ประจบเอาใจแม่เฒ่าเซี่ย คนทั้งบ้านคงอดตายแน่นอน!