ณ จวนสกุลหยาง
ตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ ฮ่านหลิน ถือเป็ตำแหน่งที่ดาษดื่นยิ่งนักในเมืองหลวง อีกทั้งในสายตาของผู้ที่มีเชื้อสายวงศ์ตระกูลอันสูงศักดิ์มาอย่างยาวนานแล้วนั้น ตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ไม่มีค่าพอแม้เพียงแต่จะเอ่ยถึง ครั้งนั้นราชบุตรเขยขององค์หญิงฉางหนิงคือทั่นฮวา[1]หนุ่มผู้โด่งดัง เมื่อครั้งที่เขาและองค์หญิงฉางหนิงอภิเษกสมรสกันนั้น องค์หญิงฉางหนิงยังเป็เพียงท่านหญิงอยู่ ธิดาคนโตของไท่จื่อเยี่ยน เป็พระราชนัดดาหญิงองค์ใหญ่ของฮ่องเต้ ครั้งนั้นฮ่องเต้ยังเป็พระราชบิดาของไท่จื่อเยี่ยนและจ้าวหนิงฮ่องเต้ ดังนั้นการอภิเษกครั้งนี้ในสายตาของคนทั่วไปแล้วนับได้ว่าเป็คู่ที่์กำหนดมา
ราชบุตรเขยเป็พระญาติของเชื้อพระวงศ์ อีกทั้งยังถือกำเนิดในสกุลเฉิน ตระกูลสูงศักดิ์ที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน เกิดเื่กับหยางเยียนที่จวนองค์หญิงเช่นนี้ อย่าว่าแต่เป็หลานสาวของขุนนางขั้นสี่เลย ต่อให้เป็หลานสาวของขุนนางขั้นหนึ่ง เื่ที่เสียเปรียบเช่นนี้ก็คงได้แต่กล้ำกลืนลงท้องไป และยิ่งเป็เื่ที่เกี่ยวกับการข่มขืนกระทำชำเรา เื่ระหว่างชายหญิง ย่อมเป็เื่ที่พูดลำบากที่สุด
ต่อให้เป็ที่ทราบกันดีว่าราชบุตรเขยเฉินมีชื่อเสียงในทางมักมากอยู่แล้วก็ตาม แต่หญิงสาวเป็ผู้ที่สูญเสียความบริสุทธิ์ เื่เช่นนี้ถ้าถูกโพนทะนาออกไป ผู้ที่เสียเปรียบย่อมเป็ครอบครัวของฝ่ายหญิง แล้วยังอาจจะมีผู้คนพูดว่าหยางเยียนเป็ฝ่ายยั่วยวนราชบุตรเขยเฉินเอง
“เยียนเอ๋อร์...เยียนเอ๋อร์ เ้าเปิดประตูให้แม่เข้าไปเถิด” หยางฮูหยินได้แต่เฝ้าอยู่หน้าประตูมิกล้าจากไปไหน หลังจากบุตรสาวกลับจากจวนองค์หญิง ก็เอาแต่ขังตัวเองไว้ในห้อง หยางฮูหยินนั้นได้รู้เื่ราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากปากของสาวใช้แล้ว
หยางเยียนในฐานะหลานสาวขุนนางขั้นสี่ เดิมทีก็ไม่ใช่คนระดับเดียวกันกับท่านหญิงแห่งจวนองค์หญิงอยู่แล้ว แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางนั้นถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว ในรัชสมัยปัจจุบันที่ได้ก่อตั้งมาจนถึง่กลางรัชสมัย ได้เริ่มเปิดโรงเรียนกุลสตรี ‘ฮุ่ยเสียนซูย่วน’ หรือสำนักศึกษาฮุ่ยเสียน เด็กหญิงที่มีอายุเต็มแปดขวบสามารถไปลงทะเบียนเรียนได้ ขอเพียงแค่สอบผ่านก็สามารถเข้าเรียนหนังสือที่สำนักศึกษาฮุ่ยเสียนได้จนกระทั่งอายุเต็มสิบห้าปี
ปีนี้หยางเยียนอายุสิบสี่ปี การเรียนของนางในสำนักศึกษาฮุ่ยเสียนอยู่ในขั้นดีมาก ด้วยเหตุนี้จึงได้รับความสนใจจากท่านหญิงหลิงโหมว ทั้งสองคนเข้ากันได้ไม่เลวเลยทีเดียว ดังนั้นในยามปกติที่คนกลุ่มย่อยจะมีกิจกรรมใดๆ นั้น ก็จะส่งเทียบเชิญระหว่างกันเพื่อมาเที่ยวเล่นด้วยกัน วันนี้ท่านหญิงหลิงโหมวส่งเทียบเชิญให้ทุกคนมาเที่ยวเล่นด้วยกัน เนื่องจากวังหลวงพระราชทานผลอิงเถา[2]มาให้ส่วนหนึ่ง ท่านหญิงหลิงโหมวจึงได้ออกเทียบเชิญให้แก่เพื่อนร่วมชั้น ทว่ากลับคาดไม่ถึงว่าขณะที่หยางเยียนไปสุขานั้นกลับได้พบกับราชบุตรเขยเฉินที่อยู่สภาพเมามาย ราชบุตรเขยเฉินหยอกล้อลวนลาม หยางเยียนไม่เพียงแต่การเรียนดีเท่านั้น หน้าตายังงดงามอีกด้วย เมื่อหลายครั้งก่อนหน้านี้ที่ราชบุตรเขยเฉินได้เห็นนางก็ได้แต่ใจถวิลหาถึงนาง ครั้งนี้ดื่มจนเมามาย จึงควบคุมตัวเองไม่อยู่ลากนางเข้าไปในป่า ลงมือกระทำเื่พรรค์นั้น
ในเวลานั้นสาวใช้ของหยางเยียนอยู่ด้วย แต่ถูกราชบุตรเขยเฉินตีจนสลบไป ท่านหญิงหลิงโหมวและคนอื่นๆ เป็ผู้เรียกให้สาวใช้ฟื้นขึ้นมา ท่านหญิงหลิงโหมวเห็นว่าพวกนางสองนายบ่าวมิได้กลับมาหลังจากหายไปนานจึงออกมาตามหา กลับเห็นสาวใช้นอนอยู่อีกด้านหนึ่ง ส่วนหยางเยียนนั้นถูกราชบุตรเขยเฉินกดไว้กับพื้นในสภาพเสื้อผ้าอาภรณ์หลุดลุ่ย กำลังทำเื่ดังกล่าวอยู่
ในขณะที่ราชบุตรเขยเฉินถูกคนขัดจังหวะจนตกตะลึงอยู่นั้นหยางเยียนก็ได้ผลักเขาออกไปแล้ววิ่งหนีกลับเรือน แต่ระหว่างทางผู้ที่พบเห็นสภาพอันน่าเวทนาของนางรวมไปถึงข้ารับใช้ในจวนองค์หญิงมีไม่น้อย และในขณะที่ถูกข่มขืนบรรดาคุณหนูต่างก็อยู่ในเหตุการณ์หลายคน ดังนั้นจึงไม่สามารถปกปิดเื่นี้ได้
เมื่อฟังสาวใช้ที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเล่าเื่ราวจนจบ หยางฮูหยินแทบจะเป็ลมหมดสติไป
“เยียนเอ๋อร์ เ้ารีบเปิดประตูให้แม่เข้าไปเถิด” หยางฮูหยินกล้ำกลืนน้ำเสียงตบประตูไม่หยุด
หยางเยียนยังอยู่ในอาภรณ์ชุดเดิม นางขดร่างนั่งลงอยู่หน้าประตู หลังพิงบานประตู ร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน เื่ที่เกิดขึ้นในวันนี้สำหรับนางแล้วเปรียบเสมือนฝันร้าย ฝันร้ายนี้ นางเกรงว่าจะไม่มีวันตื่นขึ้นมาได้ จากนั้นนางจึงลุกขึ้นยืนอย่างมึนงงแล้วหาผ้ารัดเอวออกมา...แขวนคอ
ด้านนอกประตู เพียงแค่ได้ยินเสียงปึงดังขึ้นครั้งเดียว เหมือนกับมีเสียงสิ่งของถูกชนล้มดังขึ้นภายในห้อง หยางฮูหยินรู้สึกกังวลเป็อย่างมาก จึงรีบเรียกคนให้พังประตู ปรากฏว่าเมื่อประตูถูกเปิดออกนั้นก็ได้เห็นหยางเยียนที่อยู่ในห้องแขวนคอแล้ว นางสั่นเทิ้มไปทั้งตัวแทบจะหมดสติไป “เยียนเอ๋อร์...” นางและสาวใช้รีบเข้าไปช่วยกันอุ้มหยางเยียนลงมา “ท่านหมอ...ท่านหมอ...”
ท่านหมอซึ่งรออยู่ด้านนอกประตูนานแล้วรีบเร่งเข้าประตูมา เมื่อเห็นสภาพของหยางเยียน ต่อให้ไม่รู้มาก่อนว่าเกิดเื่อันใดขึ้น ทว่าเมื่อดูจากรอยเืที่ปรากฏอยู่ที่ชายกางเกงและร่องรอยที่ลำคอของหยางเยียน ท่านหมอก็สามารถคาดเดาได้ว่าเกิดเื่อันใดขึ้น
“ท่านหมอรีบมาดูอาการบุตรสาวของข้าที...บุตรสาวของข้านาง...”
“มิเป็ไร ฮูหยินอย่าได้กังวล คุณหนูเพียงแต่สลบไปเท่านั้น” ท่านหมอกล่าวปลอบ “ฮูหยินให้คนไปเตรียมน้ำร้อนเถิด ข้าจะจัดเทียบยาให้”
“ไป เตรียมน้ำร้อน”
ณ จวนองค์หญิง
เพียะ...องค์หญิงฉางหนิงสะบัดฝ่ามือลงบนใบหน้าของราชบุตรเขยเฉิน ที่จริงแล้วเมื่อยามที่ท่านหญิงหลิงโหมวและบรรดาคุณหนูปรากฏตัวนั้นราชบุตรเขยเฉินก็ได้ถูกทำให้ใจนรู้สึกตัวตื่นแล้ว
“ในยามปกติเ้าลงไม้ลงมือกับสาวใช้ในเรือนนั้นก็ช่างเถิด วันนี้กลับไร้ซึ่งความละอายแก่ใจลงมือกับบุตรีขุนนาง นั่นเป็เพื่อนร่วมชั้นของหลิงโหมวนะ” ใบหน้าอันงดงามขององค์หญิงฉางหนิงเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว เมื่อนางถือกำเนิดนั้นแม้จะมิใช่บุตรีในภรรยาเอกของไท่จื่อเยี่ยน แต่นางก็ถือว่าเป็บุตรีคนโตของไท่จื่อ ในเวลานั้นไท่จื่อเยี่ยนมีบุตรชายคนโตในภรรยาเอกแล้ว ดังนั้นกับบุตรีที่ถือกำเนิดจากอนุเช่นนางนั้นจึงได้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี และบุตรีอนุของเชื้อพระวงศ์ที่ถือกำเนิดมาก็ถือว่าชาติกำเนิดสูงส่ง อีกทั้งนางก็ยังได้ชื่อว่าเป็ ‘คนโต’[3] ั้แ่เล็กจนเติบใหญ่ มีสิ่งใดบ้างที่้าแล้วจะไม่ได้
เพียงครั้งแรกที่นางได้สบตากับทั่นฮวาหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่อยู่เบื้องหน้าก็บังเกิดเป็รักแรกพบ ดังนั้นฮ่องเต้ผู้เป็เสด็จปู่จึงได้ประทานสมรสพระราชทานให้ ในยามนั้นนางได้วาดฝันอันงดงามเอาไว้ เมื่อแรกเริ่มพวกเขาต่างก็รักกันยิ่งนัก แต่ต่อมา...ต่อมาเมื่อนางตั้งครรภ์ที่สอง ชายผู้นี้ก็ประพฤติตัวออกนอกลู่นอกทาง นางโมโหจนสูญเสียบุตรในครรภ์ไป ครรภ์นั้นเป็เด็กชายที่เป็รูปเป็ร่างแล้ว และนับจากนั้นเป็ต้นมา นางก็มิสามารถตั้งครรภ์ได้อีกเลย
ผู้ชายของพระธิดาในราชวงศ์ไม่สามารถรับอนุได้ และความทุกข์ของนางก็เป็คนผู้นี้ที่ได้ก่อขึ้น ดังนั้นนางจึงยิ่งมิอาจยินยอมให้เขารับอนุ ไม่อนุญาตให้หญิงอื่นให้กำเนิดลูกของเขา “ท่านเป็ทั่นฮวา ครั้งนั้นความสามารถเป็เช่นใด ไฉนบัดนี้จึงเปลี่ยนเป็เช่นนี้เล่า?”
“ฮ่าๆๆ...” ราชบุตรเขยเฉินหัวเราะเสียงดัง “องค์หญิงคุยกับข้าถึงเื่เมื่อครั้งนั้นหรือ? ครั้งนั้นหากมิใช่ฝ่าาประทานสมรสพระราชทาน ให้ผู้ชายสามารถมีสามภรรยาสี่อนุ[4]ได้ ไฉนวันนี้ข้าไยต้องทำเื่เช่นนี้? เมื่อครั้งนั้นที่องค์หญิงเป็เพียงท่านหญิง ข้าอาจจะยังสามารถมีตำแหน่งที่ยืนอยู่ในราชสำนักบ้าง บัดนี้ข้าเป็ราชบุตรเขย ทว่ากลับไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น เ้าพูดถึงทั่นฮวาหนุ่มรูปงามผู้มากความสามารถ คนผู้นั้นก็คือคนที่พวกเ้าและราชวงศ์ทำลายลงไปกับมือ”
ผู้ชายที่แต่งองค์หญิงเป็ภรรยา ไม่ว่าอะไรล้วนไม่ใช่ทั้งสิ้น
สายตาขององค์หญิงฉางหนิงไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ เมื่อครั้งยังรักกันหวานชื่น ไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนเป็คำหวาน มาตอนนี้ความรักไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนเป็ความเคียดแค้นชิงชัง นี่ก็คือผู้ชาย “เื่นี้ ท่านจะจัดการเช่นใด?”
“จัดการเช่นใด? องค์หญิงมิใช่ถนัดยิ่งนักในการจัดการเื่พรรค์นี้หรอกหรือไร?” ราชบุตรเขยเฉินตอบ
“ข้ามิใช่สาวใช้ของท่าน” องค์หญิงฉางหนิงเอ่ยพูดอย่างเ็า “ข้ารับใช้ทั้งจวนองค์หญิง หลิงโหมว และเพื่อนร่วมชั้นของนางต่างเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด”
ราชบุตรเขยเหยียดหยาม “องค์หญิงมิใช่หัวหน้าครอบครัวของทั้งจวนหรอกหรือ? มิว่าเื่อันใดก็ต้องแล้วแต่องค์หญิง” พูดแล้ว ราชบุตรเขยเฉินก็หันตัวจะจากไป ทว่าเมื่อเดินไปถึงหน้าประตูเขาก็หยุดชะงักลง “หรือว่าองค์หญิงจะอนุญาตให้ข้ารับอนุ หรือไม่ก็เื่นี้เป็นาง...ที่เป็ฝ่ายยั่วยวนข้าก่อน”
“ท่านมันสัตว์เดรัจฉาน”
“สัตว์เดรัจฉานตัวนี้ก็เป็ผู้ที่องค์หญิงชมชอบในครั้งนั้น” ราชบุตรเขยเปิดประตูออก เห็นหลิงโหมวที่ยืนอยู่หน้าประตู ใบหน้าของบุตรีเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ราชบุตรเขยตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงก้าวยาวๆ จากไป
องค์หญิงฉางหนิงเองก็เห็นหลิงโหมวแล้วเช่นกัน จึงกวักมือเรียกนาง
“ท่านแม่” หลิงโหมวโผเข้าไปหาอ้อมกอดขององค์หญิงฉางหนิง “ท่านแม่ เหตุใดข้าถึงต้องมีบิดาเช่นนี้? ทำไม? เป็ข้าเองที่ทำร้ายพี่เยียน เป็ข้าที่ทำร้ายนางเ้าค่ะ”
องค์หญิงฉางหนิงลูบศีรษะบุตรี “เป็แม่ที่ไม่ดี ยามที่แม่อยู่ในวัยสาวมิได้ดูคนให้ดี จึงทำให้เ้าต้องมารับเคราะห์กรรมนี้ไปด้วย เื่นี้แม่จะจัดการเอง เ้ามิต้องกังวล”
“แต่เื่แล้วเื่เล่า ท่านแม่ต้องคอยจัดการเื่พวกนี้ให้เขาอีกสักเท่าไหร่เขาจึงจะยอมรามือเ้าคะ?” หลิงโหมวถาม “ท่านแม่ มิสู้...มิสู้ท่านกับเขาหย่ากันเถิดเ้าค่ะ”
“เหลวไหล” องค์หญิงฉางหนิงอดกลั้นไม่ไหวจึงได้ตำหนิบุตรี “อย่าได้มีความคิดเช่นนี้อีก หากว่าข้ากับเขาหย่ากัน เ้าจะมีชื่อเสียงไม่ดี”
“ข้าเป็ท่านหญิงของราชวงศ์ ไม่สนใจชื่อเสียงที่เป็สิ่งจับต้องไม่ได้เช่นนี้อยู่แล้วเ้าค่ะ” หลิงโหมวตอบอย่างหยิ่งผยอง
“พอได้แล้ว เ้าเป็เพียงแม่นางน้อยที่ยังมิได้ออกเรือน อย่าได้พูดคำว่าหย่าให้ติดปาก กลับไปพักผ่อนเถิด” องค์หญิงฉางหนิงคลายอ้อมกอด “ข้าก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน เ้ากลับไปเถิด”
“ท่านแม่...เ้าค่ะ”
มองเงาหลังของบุตรีที่เดินจากไป แววตาขององค์หญิงฉางหนิงปรากฏให้เห็นความเ็าสายหนึ่ง นางจิกเล็บของตน แววตาดำทะมึน
ณ จวนจงหย่งโหว
หลี่หงมองหนังสือแพทย์ในมือของหลี่ลั่วแล้วก็ให้รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก “น้องหก ไฉนเ้าจึงอ่านหนังสือเป็เล่มแล้วเล่า?”
“ท่านอาสองคนที่ครอบครัวมารดาอุปถัมภ์ของข้าสุขภาพไม่ค่อยดี ฐานะยากจน ดังนั้น...” หลี่ลั่วได้เอ่ยถึงเหตุผลที่น่าเชื่อถือสองประการ
ความรู้สึกที่หลี่หงมีต่อน้องชายคนนี้นั้นดีมาก ด้วยวัยเพียงเท่านี้ หลี่ลั่วช่างน่ารักและเข้าใจเหตุผลยิ่งนัก “พี่ใหญ่ ข้าดูแล้วาแที่ขาของท่านนั้นไม่ได้หนักหนาสาหัสอันใดมากนัก เพียงแต่มีความสูงต่ำแตกต่างกันราวๆ สามกงเฟิน[5]ก็เท่านั้น”
“ครั้งนั้นขี่ม้าตกลงมากระดูกหัก กระดูกเล็กๆ ด้านในแตกแหลกละเอียด ต้องเลื่อยออกไปจึงดึงออกมาได้ ดังนั้นขาทั้งสองข้างจึงยาวไม่เท่ากันตลอดกาล” หลี่หงอธิบายยิ้มๆ “ยังดีที่ยามนั้นอายุยังน้อย กระดูกยังคงเจริญเติบโต มิเช่นนั้นขาทั้งสองข้างคงจะต่างกันมากกว่านี้”
“ที่จริงแล้วข้ามีวิธีหนึ่ง สามารถทำให้พี่ใหญ่ไม่ต้องใช้ไม้เท้า เดินเหินได้เหมือนคนปกติธรรมดาทั่วไป” หลี่ลั่วพูด
หลี่หงตาเป็ประกาย “วิธีใดหรือ?”
“ในเรือนของพี่ใหญ่มีสาวใช้ที่เย็บปักถักร้อยได้หรือไม่ขอรับ?” หลี่ลั่วถาม
“ย่อมมีแน่นอน” หลี่หงรู้สึกว่าน้องชายคนนี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก “น้องหกอย่ามัวแต่หลอกล่อข้าอยู่เลย บอกพี่ใหญ่เร็ว”
“พี่ใหญ่เรียกสาวใช้ที่ทำงานเย็บปักถักร้อยได้เข้ามาก่อนเถิด”
หลี่หงได้แต่อัดอั้นหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เ้าช่างเป็เด็กน้อยที่เ้าเล่ห์นัก...ไปเรียกเสี่ยวหยวนเข้ามา”
เสี่ยวหยวนรีบเข้ามาทันที “คารวะคุณชายรอง คารวะเสี่ยวโหวเหฺยเ้าค่ะ”
หลี่ลั่วหันไปกวักมือให้นาง หลังจากนั้นกระซิบที่ข้างหูนางหลายประโยค ทำราวกับว่าเป็เื่ลึกลับอะไรปานนั้น “เข้าใจหรือไม่?”
“บ่าวเข้าใจแล้วเ้าค่ะ” จากนั้นเสี่ยวหยวนก็ถอยกลับไป
หลี่หงยิ่งแปลกใจมากขึ้น “น้องหก ตกลงเป็วิธีการแปลกประหลาดพิสดารอันใดหรือ?” เขาอยากรู้เหลือเกิน แต่น้องชายคนนี้ไม่ยอมบอกเขา
“พี่ใหญ่อย่าได้ใจร้อนไป อย่างมากที่สุดภายในครึ่งชั่วยามก็เรียบร้อยแล้วขอรับ” ครึ่งชั่วยามเท่ากับเวลาหนึ่งชั่วโมง เวลาในสมัยโบราณนี้ช่างยุ่งยากซับซ้อนนัก หลี่ลั่วกลับมาอ่านหนังสือแพทย์ต่อ
หลี่หงไร้หนทาง ใจหลี่ลั่วช่างหนักแน่นนัก เขาจึงได้แต่หยิบหนังสือของตนเองขึ้นมาอ่านบ้าง แต่เ้าหนังสือนี้เขาอ่านไม่เข้าหัวสมองเลย คิดไม่ถึงว่าตัวเขาที่เป็ชายหนุ่มที่สวมกวาน[6]แล้วกลับจิตใจหนักแน่นสู้ของเด็กน้อยอายุห้าขวบไม่ได้ ชายหนุ่มในรัชสมัยปัจจุบันจะเข้าพิธีสวมกวานเมื่ออายุสิบแปดปีเต็ม
[1] ทั่นฮวา (探花) ในการสอบชิงตำแหน่งขุนนางในสนามพระราชวัง (สอบระดับประเทศ) ซึ่งฮ่องเต้ทรงเป็องค์ประธานในการคุมสอบนั้น เมื่อสอบได้ที่หนึ่งจะได้รับตำแหน่ง จ้วงหยวน เมื่อสอบได้ที่สองจะได้รับตำแหน่ง ปั๋งเหยี่ยน และ เมื่อสอบได้ที่สามจะได้รับตำแหน่ง ทั่นฮวา
[2] อิงเถา (樱桃) หมายถึง ผลเชอร์รี
[3] จั่ง (长) หมายถึง คนโต หรือ คนแรก
[4] สามภรรยาสี่อนุ ในสมัยโบราณ ผู้ชายสามารถมีภรรยาได้สามคน และรับอนุได้อีกสี่คน ในที่นี้องค์หญิงที่แต่งออกสามารถคุมฝ่ายชายว่าจะให้รับอนุหรือไม่ให้ก็ได้ ทั้งหมดในจวนองค์หญิงล้วนเป็ใหญ่ ทั้งนี้ตามกฎมณเฑียรบาลห้ามมิให้ราชบุตรเขยขององค์หญิงท่านใดขึ้นรับตำแหน่งในราชสำนักทั้งสิ้น เพื่อป้องกันมิให้เกิดการก่อฏ
[5] กงเฟิน (公分) คือหน่วยวัดพื้นที่ดั้งเดิมของจีน 1 กงเฟินของจีนเทียบเท่ากับ 1 เิเ
[6] กวาน (冠) ในอดีตั้แ่สมัยราชวงศ์โจวเป็ต้นมา เด็กชายจีนเมื่อมีอายุครบ 20 ปีเต็ม จะมีพิธีสวมกวาน เรียกว่า จี๋กวาน แต่ก็จะมีบางที่ที่อายุ 16 ปี ก็เข้าพิธีนี้ได้แล้ว ซึ่งการสวมกวานจะมี 3 ครั้ง 3 แบบ ด้วยกัน ครั้งแรกเรียก “สื่อเจีย” เพื่อเป็เครื่องแสดงว่าได้บรรลุนิติภาวะโตเป็ผู้ใหญ่แล้ว มีสิทธิ์และอำนาจในการปกครองคนขั้นต้นแล้ว แต่ก็อย่าหลงลืมตน ยังต้องปรับปรุงพัฒนาตนให้สมกับความเป็ผู้ใหญ่ต่อไป ครั้งที่สองเรียกว่า “จ้ายเจีย” เพื่อหวังให้ชายหนุ่มที่สวมกวานนี้มีความราบรื่นก้าวย่างอย่างมั่นคงในหน้าที่การงาน ครั้งที่สามเรียกว่า “ซานเจีย” เพื่อบอกว่าเป็ผู้ใหญ่เต็มตัว สามารถเข้าร่วมงานพิธีการต่างๆ ได้แล้ว