หนีเจียเอ๋อร์เหวี่ยงสัมภาระออกไป พลางดึงมีดที่อยู่ในแขนเสื้อมากระชับไว้แน่น “ขอบคุณสำหรับ ‘ความหวังดี’ ของเ้า แต่อย่างไรเสีย พวกข้าก็ต้องรอดไปให้ได้!”
การยอมแพ้ั้แ่ยังมิได้สู้ มิใช่วิถีของนาง...
โจวชิงหวาชักกระบี่ยาวของตนออกมา ปลายแหลมคมของมันทอประกายระยิบระยับ
ทั้งสองมองหน้ากัน ในแววตาไร้ซึ่งความกลัว มีเพียงความมุ่งมั่นไม่ท้อถอย
ไป๋หานชูกระบี่ขึ้น แล้วตวัดปลายกระบี่ไปยังช่องว่างระหว่างคนทั้งสอง ก่อนพูดอย่างดูแคลน “อย่าดื้อด้านนักเลย เ้าก็รู้แก่ใจดี ว่าข้าสามารถฆ่าพวกเ้าได้ในกระบวนท่าเดียว”
หนีเจียเอ๋อร์ถอนหายใจ พลางมองไปยังศิษย์สำนักฝูเซิง “หากเป็เ้า จะยอมยืนอยู่เฉยๆ รอให้คนมาฆ่าหรืออย่างไร?”
ไป๋หานเลิกคิ้ว แล้วคลี่ยิ้ม “ข้าเตือนแล้วนะ!”
พูดจบ นางก็ออกกระบวนท่าสังหารไปทางโจวชิงหวา
ชายหนุ่มหลบได้อย่างหวุดหวิด เพราะเขาต้องพิษจนร่างกายอ่อนแรง จึงยากจะฝืนต่อสู้ จำต้องหลบการโจมตีด้วยความอับอาย
ด้านหนีเจียเอ๋อร์ ก็รีบจู่โจมไป๋หานทันที
คนที่มีประสบการณ์ด้านการต่อสู้ ย่อมรู้ดีว่าความยาวของอาวุธนั้นสำคัญเพียงใด ยิ่งยาวยิ่งได้เปรียบ หรืออาจกล่าวได้ว่า แค่มีอาวุธยาวกว่าอีกฝ่ายหนึ่งนิ้ว ก็สามารถชี้เป็ชี้ตายได้แล้ว ดังนั้น การที่หนีเจียเอ๋อร์ถือมีดสั้นด้ามเล็กในมือ และจ้วงแทงฝ่ายตรงข้ามด้วยฝีมืออันน้อยนิดเช่นนี้ นอกจากจะไม่สามารถเข้าไปประชิดไป๋หานได้แล้ว ยังอาจถูกกระบี่แทงสวนกลับโดยไม่อาจหลีกหนีอีกต่างหาก
เมื่อเห็นว่าปลายกระบี่ใกล้เข้ามา ในใจหนีเจียเอ๋อร์ก็มีเพียงสามคำ...
จบสิ้นแน่!
นางหลับตา แต่หูยังได้ยินเสียงะโของโจวชิงหวา
ทว่า ความเ็ปที่สมควรจะแล่นพล่านขึ้นมากลับไม่มี มีแต่กลิ่นหอมประหลาดที่เข้ามากระทบนาสิก ตามด้วยเสียง ‘เคร้ง’ อันชัดเจนในโสตประสาท... เป็เสียงกระบี่ของไป๋หาน ซึ่งถูกเหวี่ยงออกไป!
พอหนีเจียเอ๋อร์ลืมตาขึ้น ภาพแรกที่เห็นในครรลองสายตา ก็คือบุรุษสวมหน้ากากสุนัขจิ้งจอกสีเงิน ซึ่งเผยให้เห็นเพียงดวงตาสองข้าง
คนลึกลับผู้นี้ สวมเสื้อผ้าธรรมดาๆ แต่เนื้อผ้าที่ตัดเย็บกลับเป็ผ้าไหมทอหายากและราคาสูงลิ่ว
นอกจากนี้ ที่บั้นเอวยังแขวนจี้หยกชั้นเยี่ยมอีกด้วย
หนีเจียเอ๋อร์กำลังจะเอ่ยปากขอบคุณ บุคคลปริศนาผู้นั้นกลับคว้าไหล่ของนางและโจวชิงหวา ก่อนถีบตัวขึ้นไปบนหลังคา หลบหนีไปได้อย่างง่ายดาย โดยทิ้งไป๋หานและศิษย์สำนักฝูเซิงเอาไว้ที่ด้านหลัง
บุรุษแปลกหน้า พาพวกเขาหนีออกมาจากเมืองหลวงได้สำเร็จ
หนีเจียเอ๋อร์กับโจวชิงหวา พูดอย่างซาบซึ้งพร้อมๆ กัน “ขอบคุณท่าน ที่ให้การช่วยเหลือ”
บุคคลลึกลับเหลือบมองโจวชิงหวา แล้วกวาดตาไปมองรอบๆ ขณะก้าวเดิน พลางพูด “ทางตอนเหนือสุดของดินแดน มีสำนักหนึ่งเรียกตัวเองว่า ‘สำนักอิ้นเสวี่ย’ เ้าสำนักของที่นั่นมีนามว่าควงเยวี่ยโหลว เป็ผู้เชี่ยวชาญวิชาแพทย์และการแก้พิษ เล่าลือกันว่าเขาสามารถแก้พิษฝ่ามือน้ำแข็งได้ หากพวกเ้ามีโอกาสขึ้นเหนือ ก็ลองไปดู”
ดวงตาของหนีเจียเอ๋อร์กับโจวชิงหวาสว่างวาบด้วยความหวัง
หนีเจียเอ๋อร์เดินตามบุรุษผู้นั้นไป “ขอบคุณที่เมตตา ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าอะไร ไว้วันหน้า พวกเราจะต้องตอบแทนท่านอย่างแน่นอน”
ชายคนนั้นไม่หันกลับมา ทั้งยังเดินไม่หยุด เพียงพูดทิ้งท้ายเบาๆ ว่า “ไม่จำเป็!”
เพียงพริบตา ร่างของเขาก็หายไปจากถนนที่อยู่ด้านหน้า
หลังจากปรึกษากันแล้ว ทั้งสองก็ตัดสินใจเชื่อบุรุษลึกลับ และเดินทางขึ้นเหนือเพื่อไปตามหาท่านหมอนามว่า ‘ควงเยวี่ยโหลว’
พวกเขาเดินทางผ่านเมืองต่างๆ ไปหลายวัน กว่าที่จะมาถึงหุบเขาทางตอนเหนือของดินแดน ซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะขาว
แม้จะเพิ่งเข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ร่วง อากาศกลับหนาวเย็นนัก
หนีเจียเอ๋อร์มองไปยังพายุหิมะที่พัดผ่านไปหนึ่งครา ร่างกายก็หนาวสั่นอย่างหนัก
หญิงสาวยกยิ้มมุมปาก พลางพูดด้วยความดีใจ “ชิงหวา ในที่สุดเราก็พบูเาหิมะแล้ว!”
โจวชิงหวารู้สึกโล่งอก ในที่สุด เขาก็จะได้รับการรักษาแล้ว
แต่ชายหนุ่มก็ไม่อาจมองโลกในแง่ดีนัก เมื่อหันมาดูคนข้างกาย จึงสังเกตเห็นแก้มแดงปลั่งของนาง ซึ่งถูกความหนาวเย็นกัดกร่อน คิ้วของเขาขมวดมุ่นด้วยความสงสาร “ขอโทษ ที่พาเ้ามาลำบาก”
ความยากลำบากที่เขาประสบมาระหว่างทาง ไม่น่ายินดีนัก แต่ตลอดทางที่ผ่านมา นางก็ยังสามารถคงใบหน้าเปื้อนยิ้มได้ทุกเมื่อเชื่อวัน มองทุกสิ่งสวยงาม โดยไม่เคยปริปากร้องโอดครวญ
ความพยายามเช่นนี้ ทำให้เขาปวดใจยิ่งนัก!
หนีเจียเอ๋อร์นิ่วหน้าเล็กน้อย ก่อนส่ายศีรษะ “เราสองคนเติบโตมาจากน้ำนมเต้าเดียวกัน แม่ของเ้ารักข้าดั่งบุตรสาวแท้ๆ คนหนึ่ง เ้าเองก็ดูแลข้ามาตลอด ต่อให้ลำบากเพียงใด ข้าก็ต้องช่วยเ้า”
หญิงสาวหันไปมองคนข้างๆ เพ่งพิศสีหน้าอัดอั้นตันใจ และเรียวคิ้วโก่งที่ขมวดแน่นเป็ปมของอีกฝ่าย จากนั้น ริมฝีปากแห้งแตกของนางก็เอ่ยขึ้น “เราโตมาจากนมเต้าเดียวกัน แม่ของเ้าปฏิบัติต่อข้าไม่ต่างจากมารดาเอื้อเอ็นดูบุตรสาว ข้าจึงเห็นเ้าเป็คนในครอบครัว และหยิบยื่นไมตรีให้ แต่เ้ากลับเห็นว่าไม่สมควร ทั้งยังทำตัวเหินห่างประหนึ่งข้าเป็คนนอก นี่มิเท่ากับว่าเ้ากำลังปฏิเสธข้าอยู่หรอกหรือ?”
เป็เพียงคนในครอบครัวอย่างนั้นหรือ?
ดวงตาของโจวชิงหวาหลุบลง ขนตายาวเรียงเป็แพ ซ่อนเร้นความอึดอัดในอก
หนีเจียเอ๋อร์หันไปมองรอบๆ ก่อนเดินไปค้นสัมภาระบนเลื่อน แล้วนำผ้าคลุมขนสัตว์สีขาวออกมาให้ชายหนุ่ม นางเขย่งปลายเท้า พลางใช้ชายผ้าคลุมไปบนไหล่ของเขา และผูกปมอย่างแ่า
การกระทำอันใกล้ชิดนี้ สั่นคลอนหัวใจของโจวชิงหวาอีกครา
เขาจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ที่ออดอ้อนราวกับจะแสวงหาความอบอุ่น “เสี่ยวเอ๋อร์ มีคำถามหนึ่งที่ข้าเก็บไว้ในใจมานานแล้ว เ้าจะช่วยตอบอย่างตรงไปตรงมาได้หรือไม่?”
พอมองเข้าไปในดวงตาเขา แก้มทั้งสองของนางพลันถูกย้อมเป็สีแดงเรื่อ ถอนมือเรียวออกจากการเกาะกุม และหันหลังกลับ “เ้าอยากจะถามสิ่งใด?”
โจวชิงหวาโถมเข้าไปกอดร่างเล็กจากด้านหลัง ใบหน้าหล่อเหลาซุกซบบนเรือนผมอีกฝ่าย “ตอนที่กินอาหารเย็นกันในบ้านเ้า บิดาเ้าถามข้าว่าอยากแต่งงานกับเ้าหรือไม่ หากวันนั้นข้าตอบว่าอยาก เ้าจะยอมแต่งกับข้าหรือไม่?”
หนีเจียเอ๋อร์สะบัดตัวออกจากอ้อมแขนเขา ก่อนพูดทีเล่นทีจริง “ในเมื่อเป็เพียงคำถามสมมุติ เช่นนั้น ข้าขอไม่ตอบก็แล้วกัน”
จากนั้นก็หันมาดึงเลื่อน แล้วเอ่ยต่อ “ขึ้นมาเถอะ ถ้าไม่รีบ คืนนี้เ้าคงต้องตายอยู่ที่นี่เป็แน่!”
แววตาของโจวชิงหวาหมองลง เขาส่ายศีรษะ พลางกล่าว “ไม่เป็ไร ข้าทนได้”
ว่าแล้ว ก็ก้าวเข้าไปในูเาหิมะก่อน
หลังจากนั้นไม่นาน โจวชิงหวาก็อาการกำเริบอีกครั้ง หน้าของเขาซีดเผือดอย่างรวดเร็ว หนีเจียเอ๋อร์จึงต้องช่วยประคองให้เขานอนลงบนเลื่อน และถอดเสื้อคลุมออกมาห่มคลายหนาว
“ชิงหวา เ้าจะต้องไม่เป็ไร เดี๋ยวเราก็เจอสำนักอิ้นเสวี่ยแล้ว”
ดวงตาของโจวชิงหวาปิดลง ไร้ปฏิกิริยาตอบรับ
เหมือน์้าจะซ้ำเติมพวกเขา เพราะจู่ๆ พายุหิมะก็พัดกระหน่ำอย่างไม่มีสัญญาณเตือน ลมหนาวเย็นะเืปะทะร่างบางของหญิงสาวอย่างไม่ปรานี จนนางได้แต่กัดฟันทน
หนีเจียเอ๋อร์พยายามดึงเลื่อนฝ่าพายุหิมะด้วยความยากลำบาก เดินไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างไม่รู้ทิศทาง ท่ามกลางูเาหิมะอันกว้างใหญ่
ที่ตั้งของสำนักอิ้นเสวี่ยนั้นเป็ความลับ แม้พวกเขาจะสอบถามมาตลอดทาง ก็ไม่มีใครทราบตำแหน่งที่ตั้งแน่นอนของสำนัก นอกจากนี้ พอถามถึงควงเยวี่ยโหลว ก็ไม่มีใครเคยเห็นเขามาก่อน...
แต่หนีเจียเอ๋อร์ยืนหยัดไม่ยอมแพ้ ต่อให้ท้องหิว ร่างกายหนาวเหน็บ ไม่รู้เหนือใต้ มือน้อยๆ ของนางก็ยังคงดึงเลื่อนฝ่าฟันต่อไป
จนสุดท้ายก็ทนไม่ไหว ล้มลงท่ามกลางกองหิมะ
ปุยสีขาวโพลนตกลงมาอย่างหนัก จนเกือบจะท่วมร่างของพวกเขา หากมิใช่เพราะเส้นผมสีดำละก็ แม้กระทั่งควงเหยาที่มีสายตาอันยอดเยี่ยม ก็คงไม่อาจสังเกตเห็นได้
ควงเหยาทะยานออกจากูเาหิมะ ชายผ้ากระพือราวกับปีก ก่อนร่อนลงสู่ผืนดิน
เขาปัดหิมะออกจากร่างของคนทั้งสอง และพาพวกเขากลับไปยังสำนักอิ้นเสวี่ยด้วย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้