แน่นอนว่าองค์หญิงย่อมไม่สงสัยสิ่งใดในตัวเยี่ยนเจาเจา พระองค์จะรู้ได้อย่างไรว่าบุตรีของตนสิ้นอายุขัยมาชาติหนึ่งแล้ว อีกทั้งชีวิตก็ไม่ได้ดับลงใน่เวลาที่ดีที่สุด แต่กลับร่วงโรยเงียบๆ ราวดอกไม้เหี่ยวเฉา
ฝนตกโปรยปรายผันผ่านกาลเวลา ความรักชิงชังงอกเงย เ็ปเจียนใจสลาย
โชคดีที่นางมีโอกาสกลับมาอีกครั้ง
ในที่สุดเยี่ยนเจาเจาก็ร่ำไห้ระบายความอัดอั้นและความหวาดกลัวส่วนสุดท้ายที่ติดมาตอนเกิดใหม่ออกจนหมด
หลังเยี่ยนเจาเจาหยุดร้องไห้ ก็ถึงเวลาหวีผมล้างหน้าใหม่อีกหน
คราวนี้ไม่มีบ่าวไพร่มาปรนนิบัติ มีเพียงท่านแม่ของนางที่คอยเช็ดหน้าเช็ดตา ทั้งยังค่อยๆ ลูบอาภรณ์ยับยู่ยี่ให้นางด้วยตนเอง
แม้ว่าองค์หญิงจะไม่ถาม แต่เยี่ยนเจาเจารู้ว่าท่านแม่ย่อมฟังเข้าใจว่าสิ่งที่ตนคร่ำครวญสุดเสียงนั้นคือเื่อะไร
เยี่ยนเจาเจาจึงถามเสียงแหบแห้งว่า “ท่านแม่ทราบว่าเกิดเื่ราวอันใดขึ้นในวังใช่ไหมเ้าคะ?”
“ลูกข้า ข้ารู้ว่าต่อไปเ้าจะยิ่งเหมือนข้า” องค์หญิงทรงเดาได้ว่าบุตรีของตนจะถามคำถามนี้ ทว่าพระองค์กลับไม่ยอมตอบตามตรง
องค์หญิงจูงมือเยี่ยนเจาเจาไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะให้นางนั่งลงเพื่อมองดวงหน้าของตนในกระจกชุบเงิน
ใบหน้าของเด็กสาวบนกระจกยังคงมีแก้มป่องเล็กน้อย แม้ดวงตาจะบวมเหมือนลูกมันฮ่อแต่กลับกระจ่างใสเป็พิเศษ ทว่าหลังโดนน้ำตาชำระล้างออกไป บางอย่างที่ฝังลึกอยู่ภายในดวงตาก็กลายเป็คลุมเครือจนมองไม่ชัดเจนอีก
นางไม่คล้ายองค์หญิง ไพล่ไปคล้ายท่านพ่อของตนมากกว่า
ทว่าเจาเจาเข้าใจความหมายขององค์หญิง สิ่งที่ท่านแม่กล่าวถึงมิใช่ใบหน้า แต่เป็จิตใจต่างหาก
เยี่ยนเจาเจาหลุบตาลงนึกถึง่หลายปีสุดท้ายของชาติก่อนที่ตนเองต้องต่อสู้กับตระกูลขุนนางอื่นเพื่อเหลียงอินจนไม่เหลือทางให้ถอย นางทั้งดุร้ายทั้งอำมหิตราวกับทำได้ทุกอย่างเพื่อปกป้องคนที่ตนเองหวงแหน...คล้ายท่านแม่เมื่อก่อนอยู่บ้างเหมือนกัน
แต่สุดท้ายนางก็ยังมีความสามารถไม่เท่าท่านแม่ แทนที่จะได้รับสิ่งที่ตน้า กลับโดนคนที่นางเฝ้าปกป้องมาตลอดย้อนแทงข้างหลังจนต้องสูญเสียชีวิตน้อยๆ ของตนเองไป
แววตาเยี่ยนเจาเจาปรากฏร่องรอยความโศกเศร้ากระเพื่อมไหวอย่างชัดเจน จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็รอยยิ้มเย้ยหยัน ก่อนจะไม่เหลืออะไรอีกเลย
องค์หญิงเองก็มองเห็นแววตานี้ชัดเต็มสองตาเช่นกัน...นี่เป็แววตาที่เด็กอายุแปดขวบไม่ควรมี บุตรสาวของนางเห็นอะไรในฝันกันแน่?
แม้นองค์หญิงจะทราบว่าฝันนั้นอาจร้ายแรงกว่าที่พระองค์คิด แต่พระองค์ก็เลือกที่จะไม่ถาม
เจาเจายังเล็ก หากขอให้ลูกเล่าเื่ราวที่เกี่ยวข้องกับอนาคตเช่นนี้ เกรงว่าจะลดอายุขัยลูกเอา
“ลูกข้า ทำเ้าอึดอัดคับข้องใจแล้ว”
องค์หญิงวางพระหัตถ์ลงบนมือเยี่ยนเจาเจา
“ข้าไม่ได้คับข้องใจอันใด ทุกอย่างเป็ความผิดของข้าเองเ้าค่ะ”
เยี่ยนเจาเจายิ้มสดใส
ทว่ากลับทำให้องค์หญิงรู้สึกะเืพระทัยอย่างหนัก...พระองค์อยากปกป้องแก้วตาดวงใจผู้นี้ให้ดีมาตลอด แต่กลับปกป้องไว้ไม่ได้
ดูท่าในความฝันของเยี่ยนเจาเจาครานั้น สุดท้ายแล้วพระองค์คงไม่ได้ปกป้องนางจนนางต้องฝืนเติบโตขึ้นเอง หลังฟื้นขึ้นมาถึงได้ “ตอบโต้” เยี่ยนฟางหวาอย่างอึกทึกสักครั้ง
เกรงว่าซ่งฝูจินก็น่าจะเกี่ยวข้องกับครอบครัวตน มิฉะนั้นบุตรีบอบบางของนางจะไปบ้านสามด้วยตนเองเช่นนี้หรือ
องค์หญิงโอบกอดเยี่ยนเจาเจาจากข้างหลัง ก่อนถอนปัสสาสะ “เ้าอย่าบอกใครเกี่ยวกับฝันนี้เด็ดขาด บอกแล้วจะชักศึกเข้าบ้านเอา”
เยี่ยนเจาเจาพยักหน้า หลุบั์ตาลง
เมื่อเห็นว่าเจาเจาสูญเสียความใสซื่อไร้เดียงสาแบบเด็กๆ ในตัวลงไปมาก ความคิดที่เคยวนเวียนอยู่ในพระทัยขององค์หญิงพลันสงบลงทันที
ซ่งฝูจินนั่นมิใช่เื่ใหญ่ เป็บุตรีต่างหาก
หากพระองค์ปกป้องบุตรีของตนไม่ได้จริงๆ และเจาเจาไม่ยินดีเผชิญสิ่งเหล่านี้ พระองค์ก็จะรีบจัดการให้เร็วที่สุด เพื่อที่เมื่อวันนั้นมาถึง เจาเจาจะได้ไม่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดท่ามกลางคนชั่วช้าน่ารำคาญในเมืองเซียงเฉิง
และถ้าตอนนี้เจาเจาเต็มใจ พระองค์ก็จะสอนทุกอย่างที่ตนสามารถสอนได้ให้แก่เจาเจาทั้งหมดในขณะที่ยังมีโอกาส เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้บุตรีของพระองค์ทำอะไรไม่ถูก เมื่อเวลามาถึงปุบปับ
เมื่อคิดได้เช่นนั้น องค์หญิงจึงเอ่ยออกมา “เจาเจา เ้าอยากรู้จริงๆ หรือว่าเกิดอะไรขึ้นในวัง?”
เจาเจา
มองในบางมุม นี่มิใช่การเรียกที่สนิทสนมนัก ยิ่งรวมกับน้ำเสียงเคร่งเครียดกะทันหันขององค์หญิงด้วยแล้ว ทำให้เยี่ยนเจาเจาเข้าใจทันทีว่าท่านแม่ไม่ได้ถามเพียงเื่ในวังอย่างเดียว
ท่านแม่กำลังมอบทางเลือกแก่นาง
หากนางเลือกที่จะไม่อยากรู้ นางก็จะเป็ดั่งไข่มุกที่ไม่รู้อะไรเลยในกำมือขององค์หญิงและสวนมวลบุปผาหอมต่อไป นางยังสามารถเป็คนโง่เขลาไร้เดียงสาให้ท่านแม่คอยปกป้องเช่นเดิม
แต่หากนางเลือกที่จะรับรู้เื่นี้ ท่านแม่ก็จะมอบทุกอย่างที่นาง้าทราบ และมอบทุกอย่างที่นาง้าเรียนรู้ให้กับมือของพระองค์เอง
ท่านแม่ไม่ได้จะไต่สวนนาง แต่ให้โอกาสนางได้ตัดสินใจเลือกต่างหาก
แม้เยี่ยนเจาเจาจะครุ่นคิด ทว่านางมีคำตอบอยู่นานแล้ว
“ข้าอยากรู้เ้าค่ะ”
เยี่ยนเจาเจาหลุบตาลง
คำตอบของนางอยู่ในความคาดหมายขององค์หญิง แต่ก็ถึงขั้นเกินความคาดหมายของพระองค์ด้วย เช่นเดียวกับตอนที่หนานิเหอมาหาพระองค์ก่อนหน้านี้
เขาไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใด เพียงมอบกระดาษที่มีตัวอักษรแค่ตัวเดียวอยู่บนนั้นให้กับพระองค์
คือคำว่า “เต็ม[1]”
เมื่อเต็มก็ย่อมล้น...เขาเองไม่พอใจแล้วเหมือนกัน
องค์หญิงมองบุตรีของตนเอง แม้นางยังตัวเล็กนิดเดียว ทว่าั์ตากลับแข็งกร้าวราวกับคมกระบี่...นางไม่อยากเป็คุณหนูน้อยที่โง่เขลาด้อยความรู้อีกต่อไปแล้ว
ดังนั้นองค์หญิงจึงเล่าทุกอย่างออกมาหมดโดยไม่ปิดบัง
ในที่สุดเยี่ยนเจาเจาก็รู้ว่าซ่งฝูจินที่ถูกเก็บงำอยู่ภายใต้เื่รักใคร่พิศวาสนั้นคือใคร
อันที่จริงข่าวที่นางรู้จากทางนายหญิงสามซ่งซื่อก็ไม่ได้ผิดพลาด ทว่าองค์หญิงเล่าละเอียดและเป็กลางกว่ามาก
ว่ากันตามตรง สตรีตระกูลซ่งผู้นี้เป็คนอ่อนหวานเปราะบาง แต่กลับอารมณ์อ่อนไหวอย่างยิ่ง
ขณะที่องค์หญิงเล่าให้เยี่ยนเจาเจาฟัง แม้พระองค์จะพิจารณาคำที่ใช้และตัดศัพท์เร้าอารมณ์บางคำออกไป แต่หลายเหตุการณ์ในอดีตก็ยังลึกซึ้งเกินกว่าที่เด็กสาวอ่อนวัยควรฟังอยู่ดี
ซ่งฝูจินมีความสนิทสนมจนผิดปกติกับน้องชายคนสุดท้องของนายหญิงสาม หรือก็คือ “น้องชาง” ในจวนซ่งคนนั้นจริงๆ
ทว่าซ่งฝูจินไม่ได้กระทำการใดเกินเลย กลับเป็ชายหนุ่มต่างหากที่ใจร้อนรุ่มอยู่ตลอด เมื่อขอความรักจากซ่งฝูจินไม่ได้ก็หมดอาลัยตายอยากถึงขั้นไม่แต่งภรรยาจนกระทั่งวันนี้
ซึ่งเยี่ยนเจาเจากับท่านแม่มีความเห็นตรงกันในจุดนี้
ทั้งสองเป็ลูกพี่ลูกน้องที่ใช้กระทั่งแซ่เดียวกัน ต่อให้สายเืห่างกันค่อนข้างไกลหรือจะเป็รักแท้แค่ไหนก็ไม่ใช่เื่ที่คนทั่วไปจะรับได้ มันผิดหลักศีลธรรม
จวนซ่งเองก็รับไม่ได้ จึงไหว้วานคนในการหาวิธีต่างๆ เพื่อให้นางเข้าวังไปเป็นางกำนัลผ่านทางเล่ออันจวิ้นจู่
แม้เื้ัจะมิใช่เื่ราวน่าฟังสักเท่าไหร่ แต่ฮองเฮาก็ไม่เคยสนใจ
ฮองเฮาทรงรักสวยรักงาม ซ่งฝูจินก็ฉลาดน่ารัก ตอนอ่านหนังสือกับพระองค์ก็ทุ่มเทเต็มที่ ฮองเฮาจึงไม่ใส่พระทัยกับข่าวซุบซิบพวกนี้
ฟังแล้วก็เหมือนว่าซ่งฝูจินเป็เพียงหญิงสาวธรรมดาที่ไม่มีสิ่งใดพิเศษ
องค์หญิงฉงหยางเงียบงันครู่หนึ่ง สุดท้ายถึงได้เอ่ยอีกนามออกมา
หลินไหวอิน
เชิงอรรถ
[1] เต็ม หมายถึง ตัวอักษร "满" ที่มาจากคำว่า "满足" แปลว่าพอใจ