ฉู่จื่ออวี้เป็เด็กดี เมื่อพ่อตื่นขึ้นมาก็ไม่ลืมที่จะวิ่งกลับมาดึงชิงอี ผู้ซึ่งเป็ส่วนหนึ่งของความสำเร็จในเื่นี้ไปแสดงตัวต่อหน้าฮ่องเต้
“เมื่อวานท่านจงใจไม่บอกข้าใช่หรือไม่ ถึงได้บอกว่าให้รออีกสองสามวันเสด็จพ่อถึงจะทรงฟื้นขึ้นมา พี่หญิง ท่านมันน่ารำคาญจริงๆ” ฉู่จื่ออวี้พูดพึมพำเบาๆ
ชิงอีถึงกับขนลุกไปหมดทั้งตัวเมื่อได้ยินคำพูดที่ ‘เสแสร้งทำเป็โกรธ’ ออกมา อดไม่ได้ที่จะเตะไปทางฉู่จื่ออวี้สักหนึ่งครั้ง
เด็กคนนี้มีความสุขเกินไปแล้ว!
จะเรียกพี่หญิงอะไรสดใสขนาดนั้น!
“ความจริงมันควรจะผ่านไปสองวันแล้วถึงจะฟื้นขึ้นมา” ชิงอีพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ฉู่จื่ออวี้เหลือบมองที่นางแล้วมองเซียวเจวี๋ยที่อยู่ข้างๆ เขา และดึงชิงอีมาข้างตนเองเล็กน้อย หลังจากอยู่ห่างจากเซียวเจวี๋ยแล้ว จึงจะพูดว่า “อย่างไรก็ตาม ฟื้นขึ้นมาก็ดีแล้ว คราวนี้ท่านทำเื่ยิ่งใหญ่สำเร็จ หากเสด็จพ่อรู้ละก็...”
เมื่อชิงอีสังเกตเห็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ก่อนหน้านี้ของเด็กคนนี้อยากจะบอกว่าในที่สุดเด็กน้อยก็โตเสียที ทว่า คำพูดถัดมากลับทำให้นางอยากที่จะหัวเราะฮึออกมา “พาข้าไปไว้มัดกับเสาแล้วย่างเลยสิ”
“เอ่อ...” ราวกับว่าฉู่จื่ออวี้ถูกสาดด้วยน้ำเย็น มันอาจจะเป็อย่างนั้นจริงๆ ตอนนี้เขามีความสุขมากจนลืมเื่นี้ไป เขาเกือบจะทำร้ายนางแล้ว! “พวกหมอหลวงนั่นไม่ได้เื่จริงๆ!”
“หมอช่วยชีวิตคนตายและรักษาผู้าเ็ มันไม่สำคัญหรอกว่ามันจะถูกกว่า” ชิงอีพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ชายชราที่ชื่อสกุลเฉินนั่น ทักษะทางการแพทย์ไม่เลวเลยทีเดียว อย่าไปเอาผิดพวกเขาเลย”
“เฉินจงชิง?” ฉู่จื่ออวี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง “ชายคนนั้นเป็เพียงนักปราชญ์ธรรมดาคนหนึ่ง ในโรงหมอหลวงคนที่ฝีมือธรรมดาที่สุดก็คือเขา เหตุใดท่านถึงจำเขาได้ล่ะ?”
เพราะบุญกุศลในร่างของชายชราคนนั้นสว่างไสวมากที่สุดไงล่ะ
ชิงอีไม่ได้อธิบายออกไป อีกอย่างบนมืออีกข้างก็ยังมีพลังชั่วร้ายไม่มากก็น้อยอยู่เช่นกัน
“ดูเหมือนคนธรรมดาก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็คนธรรมดาจริงๆ เสียหน่อย ในฐานะที่เ้าเป็องค์รัชทายาท บางคนอาจจะใช้แค่ตามองหูฟังอย่างเดียวไม่ได้ เ้าต้องเรียนรู้ที่จะใช้ใจด้วย” เป็การยากที่จะได้เห็นชิงอีพูดสอนอย่างจริงจังเช่นนี้
ฉู่จื่ออวี้พยักหน้าโดยไม่รู้ตัวและจำชื่อของเฉินจงชิงเอาไว้
เซียวเจวี๋ยเหลือบมองนางโดยไม่ให้สังเกตเห็น ระหว่างหันกลับมาก็ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
เมื่อพวกเขามาถึงวังเฟิ่งเทียน ภายนอกห้องโถงก็เต็มไปด้วยเหล่าขุนพลทหารที่มารวมตัว เมื่อฉู่จื่ออวี้มาถึง ข้าหลวงทุกคนต่างก้มศีรษะลง
ทันทีที่มาถึงต่อหน้าผู้คน เขาก็เปลี่ยนกลับไปเป็รูปลักษณ์ที่เยือกเย็นสุขุมดังเดิม เขาปล่อยมือของชิงอีไปก่อนหน้านี้ จากนั้นก็เก็บมือไว้ข้างหลังและรีบเดินเข้าไปในห้องโถง
ชิงอีเดินตามหลังเข้าไปอย่างช้าๆ และเดินเคียงข้างกับเซียวเจวี๋ยโดยไม่รู้ตัว
ทันทีที่เข้าไป สิ่งแรกที่ได้ยินคือเสียงร้องไห้ของฮองเฮาตู้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแสดงกิริยาท่าทางที่แสดงออกมาเลย
“เสด็จพ่อ!” ฉู่จื่ออวี้รีบวิ่งเข้าไปอย่างตื่นเต้น
แม้ว่าฮองเฮาตู้จะไม่เต็มใจมานัก ทว่า ก็ทำได้แค่เพียงถอยหลังออกมาอยู่ด้านข้างอย่างไม่พอใจ
ในตอนแรกฮ่องเต้เหยียนหลับตาอยู่ตลอด ทว่า หลังจากที่ได้ยินเสียงของฉู่จื่ออวี้เขาจึงจะลืมตาขึ้นมา พร้อมกับใบหน้าที่เผยให้เห็นถึงความรู้สึกสบายใจ
“อวี้เอ๋อร์...”
เมื่อเขายกมือขึ้นมา ฉู่จื่ออวี้ก็รีบคว้าเอาไว้ ดวงตาก็แดงก่ำทันใด “ดีจริงๆ ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว!”
ชิงอีที่มองดูอยู่ไม่ไกล ในแววตาของฮองเฮาตู้นั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างชัดเจน นอกจากนางแล้ว ยังมีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ในห้องโถง พร้อมกับสายตาที่จ้องมองไปยังความรักของพ่อลูกระหว่างฉู่จื่ออวี้และฮ่องเต้ที่เตียงอยู่ตลอดเวลา ในแววตานั้น นอกเหนือจากความอิจฉาแล้วยังแฝงไปด้วยความเ็าเล็กน้อยเช่นกัน
ราวกับรู้สึกได้ถึงการจ้องมองของชิงอี เขาจึงหันหน้ามามอง
รูปร่างหน้าตาของเขาค่อนข้างคล้ายกับฉู่จื่ออวี้ ทว่า คิ้วและตาของเขาเหมือนกับคนในตระกูลตู้ เมื่อเขาเห็นชิงอีจ้องมองมาที่ตนเอง ใบหน้าของเขาก็รอยยิ้มออกมาออกมาทันใด พร้อมกับแก้มกลมๆ ทั้งสองข้างของเขาที่ยกขึ้น
หากมองข้ามความเกลียดชังที่ยังคงอยู่บนใบหน้าของเขาละก็ นับว่าเป็ชายหนุ่มที่ขาวสะอาดและดูดีเลยทีเดียว
นี่คือฉู่จือหลิง บุตรชายของฮองเฮาตู้
ชิงอีกลอกตามองอย่างไม่แยแส
ถ้าจะยิ้มจอมปลอมขนาดนี้ แม้แต่ผีก็จะไม่อยากจะอยู่กับเ้าหรอก
ฉู่จือหลิงอึ้งไปครู่หนึ่ง ไม่เคยคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะไร้ยางอายเช่นนี้ แม้ว่าในใจของเขาจะไม่มีความสุข ทว่า ก็ต้องแสร้งทำเป็ใจกว้างในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อหันหลังกลับไปรอยยิ้มก็แปรเปลี่ยนเป็เ็าขึ้นเล็กน้อย
จนถึงตอนนี้ ฮ่องเต้เหยียนและฉู่จื่ออวี้ต่างพูดคุยกันเป็เวลานาน
ฮองเฮาตู้หาช่องว่างและพูดขัดจังหวะขึ้นมา ทว่า ก็ไม่ลืมที่จะพาบุตรชายของตนเองมาด้วย “ฝ่าา ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว ท่านอาจจะไม่รู้ว่าหลิงเอ๋อร์อธิษฐานขอพรให้ท่านในทุกวัน ์มีเมตตาเลยคุ้มครองฝ่าา…”
“ข้าเหนื่อยแล้ว เ้าออกไปเถอะ”
ท่าทางที่เต็มไปด้วยความรักของฮองเฮาตู้ถึงกับหยุดนิ่ง ฉู่จือหลิงที่อยู่ข้างๆ ก็สั่นเทาไปทั้งตัว
ฮ่องเต้เหยียนหลับตาลง ราวกับว่าเขาไม่้ามองแม่ลูกทั้งสองคนอย่างไรอย่างนั้น
“เช่นนั้นฝ่าาทรงดูแลพระวรกายด้วยนะเพคะ หม่อมฉันทูลลา” ฮองเฮาตู้กัดฟันพูด และไม่ลืมที่จะแสร้งทำเป็สุภาพและสง่างาม จากนั้นจึงเดินออกไปพร้อมกับบุตรชายของตนเอง
สุดท้ายแล้วฉู่จือหลิงก็ยังคงเป็หนุ่มน้อย เมื่อหันหลังกลับก็ไม่สามารถเก็บซ่อนใบหน้าความขุ่นเคืองเอาไว้ได้ เมื่อมองเข้าไปใกล้ก็จะเห็นได้ถึงดวงตาที่แดงเล็กน้อยของเขา
“อวี้เอ๋อร์ เ้าก็กลับไปด้วย”
ฉู่จื่ออวี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทว่า ก็พยักหน้าตอบรับ
เมื่อชิงอีเห็นเช่นนี้ก็เดินออกไปทันทีเช่นกัน ทว่า กลับได้ยินเสียงของฮ่องเต้เหยียนดังขึ้นมาจากด้านหลังว่า “เ้าอยู่ก่อน”
นางยังคงเดินต่อไป
“ฉู่ชิงอี!”
ฮองเฮาตู้และฉู่จือหลิงที่กำลังจะก้าวออกจากห้องโถง ก็มีท่าทีแปลกๆ เมื่อได้ยินคำพูดนั้น
นางนั่นได้อยู่งั้นหรือ?
ฉู่จื่ออวี้อดไม่ได้ที่จะเป็กังวล เมื่อกำลังจะพูด ชิงอีก็ส่ายหน้าให้เขา
เขากัดริมฝีปากแน่นแล้วเดินออกไป เมื่อไปถึงด้านนอกของห้องโถง เขาอดไม่ได้ที่จะถามคนข้างๆ ว่า “พี่ใหญ่เซียว ท่านว่าที่เสด็จพ่อให้นางอยู่ต่อ เสด็จพ่อจะตรัสกับนางว่าอย่างไรหรือ?”
เซียวเจวี๋ยส่ายหน้า พร้อมกับท่าทีที่ยังสงบเช่นเคย “ต่อไปก็คงรู้เอง”
...
ชิงอีที่ยืนอยู่ในห้องโถง มองไปยังฮ่องเต้เหยียนบนตั่งัด้วยสีหน้าเรียบเฉย
บุตรสาวของตระกูลฉู่มีรูปลักษณ์ที่ดูดี และส่วนใหญ่ก็ได้มาจากชายชราผู้นี้ แม้ว่าเขาจะป่วยอยู่บนเตียง ซานหุนก็ถูกแช่ในน้ำมันศพเป็เวลานานกว่าหนึ่งปีครึ่ง ทว่า ชิงอีก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่าฮ่องเต้ผู้นี้ช่างมีลูกที่ดีจริงๆ
หากโกนหนวด แล้วอายุน้อยกว่านี้อีกสักสิบหรือยี่สิบปี เขาสามารถแข่งกับเซียวเจวี๋ยได้
“เดินเข้ามาหาข้าสิ”
แม้ว่าน้ำเสียงจะบางเบา ทว่า ก็มีความน่าเกรงขามอยู่
ชิงอีเดินเข้าไปอย่างเบื่อหน่าย ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ฉู่จื่ออวี้ นางคงไม่ใส่ใจที่จะดูแลตาแก่ผู้นี้หรอก
สายพระเนตรของฮ่องเต้ที่มองมายังนางั้แ่หัวจรดเท้าเฉียบคมราวกับมีด สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ใบหน้าของนางและตกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นคิ้วสองข้างก็ขมวดขึ้นมา “เ้าเป็ใคร? เหตุใดถึงได้กล้าปลอมตัวเป็องค์หญิง!”
หืม?
คราวนี้กลับเป็ชิงอีกที่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
นางจ้องไปที่ฮ่องเต้เหยียนครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยความเย้ยหยันว่า “ท่านคงบรรทมนานเกินไปจนตาเลยฝ้าฟางแล้วเพคะ หากหม่อมฉันไม่ใช่ชิงอี แล้วหม่อมฉันเป็ใครล่ะเพคะ?”
ดวงเนตรของฮ่องเต้เหยียนเริ่มดุร้ายขึ้นเรื่อยๆ “ลูกสาวของข้าหน้าตาเป็อย่างไร ข้ารู้ดี เ้าไม่ใช่นางอย่างแน่นอน!”
ดวงตาที่สวยงามของชิงอีหรี่ลงเล็กน้อย ตอนนี้ชายชราผู้นี้เสียหุนไปแล้วหนึ่งหุน ว่ากันว่าหากเสียมีหุนไม่ครบถ้วนสติสัมปชัญญะก็จะไม่ครบถ้วน ทว่า เหตุใดเขาถึงได้ขึ้นมาแล้วสติครบถ้วนล่ะ?
“คนที่ส่งลูกสาวของตัวเองไปยังสถานที่ที่ยากลำบากั้แ่นางยังเด็ก โดยไม่แม้แต่จะไถ่ถาม ตอนนี้ยังจะมีหน้ามาบอกว่ารู้จักลูกสาวของตัวเองดี” ชิงอีหัวเราะเยาะ “ท่านนี่ช่างน่าขันจริงๆ”
เมื่อฮ่องเต้เหยียนสดับสิ่งที่ชิงอีกล่าว เขาไม่เพียงไม่โกรธ ในดวงเนตรเองก็กลับมืดมนลง สายตาที่มองนางก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“อย่างไรก็ตาม ท่าทางการขี้ขลาดของเ้าหลังจากกลับมาที่วังก็เป็การเสแสร้งไม่ใช่หรือไร?”
แววตาของชิงอีสั่นไหวเล็กน้อย ในตอนที่เ้าของร่างกลับมาวังนั้น ฮ่องเต้เหยียนผู้นี้ก็ป่วยหนักมากอยู่ก่อนแล้ว ทั้งยังเห็นหน้าลูกสาวคนนี้แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น เหตุใดเขาถึงรู้ได้อย่างชัดเจนขนาดนี้
เมื่อนางคิดไปคิดมา ในสุดก็เข้าใจมัน
อูฐผอมก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า ถึงตอนนี้จะป่วยจนทำอะไรไม่ได้ ทว่า ก็ยังมีอำนาจอยู่ แม้ตาแก่คนนี้จะหมดสติไปแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่มีคนสนิทในวังหลวงหรือราชสำนักแห่งนี้ใช่หรือไม่?
หากให้สันนิษฐานแล้ว คนแรกที่เห็นหลังจากตื่นนอนคงไม่ใช่ฮองเฮาตู้และคนอื่นๆ ทว่า เป็เหล่าบุคคลที่ใกล้ชิดสนิทของเขา เขาจึงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวังใน่หนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา
แน่นอนว่ารวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของนาง...
“ท่านทรงคิดเช่นไรเล่า?” ชิงอีที่ยังคงเย่อหยิ่ง พร้อมกับเหล่มองไปที่เขา
ฮ่องเต้เหยียนทอดพระเนตรนางครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มออกมา “ดูเหมือนว่าเ้าคงได้เรียนรู้วิชามามากมายจากเมืองย่งเหย่ อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ที่เรียนรู้วิชาซวนเหมินเหล่านี้คิดว่าจะปิดหูปิดตาไม่ให้ข้ารู้ได้งั้นหรือ?”
