“นี่คืออะไร?” ซ้งเชียนถือสร้อยหินกระจกเมฆาพลางถามขึ้นอย่างสงสัย
“สร้อยหินกระจกเมฆาจะทำให้ใจของเ้าสะอาดและแน่วแน่ และบรรลุได้เร็วขึ้น หากมีไว้ข้างกายเ้าอาจจะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองจนบรรลุถึงขั้นที่สูงขึ้นกว่าเดิมก็ได้”
“หินกระจกเมฆา?” จ้าวห้าวที่กำลังถือชามข้าวอยู่ในมือถึงกับร้องอย่างใ“ข้าได้ยินว่าเป็ของที่ขายในร้านหอเจ็ดเทพ ซึ่งราคาสูงถึงหนึ่งล้านกว่าเหรียญหลงหลิงเชียวนะ!”
“อะไรนะ!”
ซ้งเชียนตะลึงจนมือไม้สั่นก่อนจะพูดขึ้น“พี่เชวียนท่านซื้อของแพงขนาดนี้มาให้ข้ามันไม่คุ้มเลยสักนิด...คุณสมบัติของข้าในตอนนี้ถึงอย่างไรก็เป็ได้แค่คนธรรมดาไปทั้งชีวิตของดีขนาดนี้ท่านต้องขายแล้วเอาเงินไปซื้อโสมโลหิตมากินถึงจะถูก”
ข้าได้ยินแล้วส่ายหน้า“ไม่ พลังของเ้าสำคัญพอๆ กับข้า ไม่ว่าวันข้างหน้าต้องเจอกับอะไรพวกเราจะอยู่เคียงข้างกันเสมอ ถ้าข้าต้องทำการใหญ่เ้าต้องคอยเป็เสมือนมือทั้งสองข้างที่ช่วยกันลงแรงแต่ถ้าเ้าไม่มีพลังอะไรเลยแล้วงานใหญ่ของข้าจะสำเร็จได้อย่างไร?”
ซ้งเชียนที่เหมือนจะเข้าใจพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น“พี่เชวียน ข้าเข้าใจแล้วล่ะ ต่อไปนี้ข้าจะพยายามให้สุดกำลัง!”
จ้าวห้าวขมวดคิ้วถามขึ้นอย่างสงสัย“ทำการใหญ่? ปู้อี้เชวียน เ้าคิดจะทำการใหญ่แบบไหนกัน?”
“ตอนนี้ข้ายังไม่รู้ อย่างน้อยก็ต้องรอให้ฝึกฝนจนถึงขั้นเทวิญญาหรือไม่ก็บรรลุระดับต้นให้ได้เสียก่อนและเมื่อเข้าไปอยู่ในขั้นผู้พิทักษ์ค่อยว่ากันอีกที”
“สำนักวรยุทธ์...เ้าจะเปิดสำนักวรยุทธ์อย่างนั้นเหรอ?” จ้าวห้าวถามด้วยแววตาเป็ประกาย
สำนักวรยุทธ์เป็สถานที่ที่มีมาแต่โบราณบนแผ่นดินใหญ่หลงหลิงเสมือนสถานที่บุกเบิกและเขตแดนของผู้ฝึกฝนิญญา โดยด้านในจะมีทั้งการเรียนการสอนงาน ที่พัก อาหารและก็อื่นๆ เช่นสำนักหมื่นิญญาก็เป็หนึ่งในสำนักวรยุทธ์เช่นกันและยังเป็หนึ่งในสี่ของสำนักที่รุ่งเรืองและโด่งดังในแผ่นดินใหญ่ แต่สำนักเล็กๆรวมไปถึงบ้านของผู้ฝึกฝนิญญา ไม่เพียงแต่เป็ที่ฝึกฝนวรยุทธ์แต่ยังเป็สถานที่ทำการค้าอย่างการเก็บภาษี การคุ้มครอง การไปรับ-ส่ง การารวมถึงการลอบทำร้ายหรือการรับจ้างฆ่าคนเพื่อแลกกับเงินนำมาพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
สาเหตุที่ทางสำนักหมื่นิญญาไม่รับภารกิจของโลกภายนอกเพราะมีเงินสนับสนุนจากทางสหพันธ์และชื่อเสียงที่โด่งดังเท่านั้นหากวันใดวันหนึ่งสหพันธ์ตัดเงินสนับสนุน พี่เสวียนยินคงจะออกล่าภารกิจเพื่อ‘หาเงิน’ จนตัวเป็เกลียวแน่ๆ
และเพราะแบบนี้ทำให้พวกที่มีฝีมืออย่างจอมยุทธ์ที่ติดอันดับัพยัคฆ์ต่างก็ออกมาตั้งสำนักวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งกันมากมายหลายคน
พอเห็นแววตาที่เป็ประกายของจ้าวห้าวข้าจึงส่ายหน้าปฏิเสธและตอบไป “ตอนนี้ข้ายังไม่ได้คิดอย่างแรกเพราะเงื่อนไขของการเปิดสำนักวรยุทธ์มีมากเกินไปสองเพราะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล พวกเราสามคนจนขนาดนี้จะไปหาเงินจากไหนมาซื้อสถานที่และจ้างอาจารย์สอนสิ่งที่ข้ากับเสี่ยวเชียนคิดหนักในตอนนี้คือจะทำอย่างไรกับการทดสอบที่จะกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันเพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้รู้ว่าต้องเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหนยิ่งถ้าได้เข้าไปในสำนักจวี๋ฉีก็จะมีสวัสดิการสำหรับศิษย์ที่ดีมากยิ่งขึ้นเ้าว่าอย่างไรเสี่ยวเชียน?”
ซ้งเชียนลูบจมูกก่อนจะพูดขึ้น“ข้าจะพยายามก็แล้วกัน แต่ว่าตอนนี้ข้าอยู่ในขั้นหลอมปราณระดับต้นเท่านั้นขอแค่ได้เข้าไปในสำนักขั้นสูงก็ถือว่าไม่เลวแล้วล่ะอย่าเพิ่งพูดถึงสำนักจวี๋ฉีเลย...”
ข้าพยักหน้าพลางก็ยิ้ม“อย่าดูถูกตัวเองจนเกินไปสิ แค่ทำอย่างสุดความสามารถก็พอแล้วมะรืนก็จะเป็วันแห่งการทดสอบ เ้าก็อยู่ฝึกฝนกับข้าที่นี่เลยแล้วกัน”
“อืม!”
…
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเพียงแค่สองวันซ้งเชียนก็บรรลุถึงขั้นหลอมปราณขั้นกลางทั้งการฝึกฝนวิชาลมหายใจัก็มาอยู่ในขั้นที่สามด้วยส่วนข้ามีการพัฒนาขึ้นของพลังเทพัยอดสิงขรในขั้นที่เจ็ดของวิชาลมหายใจัรวมทั้งยังฝึกฝนเคล็ดาจนมาอยู่ในระดับสูงของขั้นที่สี่และพลังคมดาบอาบโลกันตร์ที่ทำให้พลังสูงขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
และวันของการทดสอบก็มาถึง!
รุ่งเช้าหลังจากกินข้าวกินปลาและเปลี่ยนชุดเสร็จก็มุ่งตรงไปยังสนามทดสอบโดยมีซ้งเชียนเดินอยู่ข้างๆการทดสอบปีนี้มีการแบ่งสถานที่ออกเป็ห้าห้องใหญ่ๆพอพวกข้าไปถึงก็มีศิษย์จำนวนมากจากห้าสำนักใหญ่ชั้นนอกและสามสำนักใหญ่ชั้นในยืนรายล้อมดูการทดสอบ
การที่มีคนจากสำนักต่างๆมาดู เพราะรางวัลในการคัดเลือกศิษย์ดีเด่นของแต่ละปีจะเยอะจนเป็ที่ล่อตาล่อใจทำให้พวกเขาต้องมาดูว่าศิษย์ใหม่แต่ละคนจะฝีมือเก่งกาจสักแค่ไหนเพื่อเตรียมรับมือเผื่อจะต้องเข้ามาแย่งรางวัลนี้ด้วย
การลงทะเบียนในสนามต่างๆวางเรียงอยู่บนโต๊ะที่มีอาจารย์นั่งอยู่เรียงราย
“อาจารย์ปู้!”
เมื่อข้าหันกลับไปก็เจอกับตั้นไถเหยาและเพื่อนในหอพักเดียวกันอีกสี่คนเตรียมอยู่ในชุดของสำนักเพราะมีการรวบผมที่แตกต่างกันและผูกเนกไทคนละสี จึงสวยกันไปคนละแบบซูเหยียนฉลาดหลักแหลม ตั้นไถเหยาเป็กันเองและอบอุ่นถังเชวียหรานเยือกเย็นดุจสายน้ำ ส่วนหลิวถงเอ๋อร์ที่ดูไม่มีพิษสงแต่กลับมีรูปร่างที่ดึงดูดสายตาเพราะเสื้อของสำนักแทบจะปิดก้อนเนื้อด้านในไว้ไม่อยู่
ข้าพยักหน้ารับก่อนจะถามขึ้น“พวกเ้าแข่งขันที่สนามไหน?”
“สนามที่หนึ่ง เ้าล่ะ?” ซูเหยียนถามกลับ
ข้าถามกลับอย่างสงสัย“จะเป็ไปได้อย่างไร ทำไมศิษย์สำรองถึงได้แข่งขันสนามเดียวกันกับศิษย์ที่ได้ที่หนึ่งล่ะ?” “ก็เป็เื่ปกติไม่ใช่หรือไง?” นางว่าแล้วขยิบตาให้แล้วพูดต่อ“ไปกันเถอะ พวกเราไปสนามแข่งขันก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“อืม”
…
เมื่อเข้ามาในสนามแข่งด้านในมีการขีดเส้นกำกับไว้สำหรับทดสอบการวิ่งกว่าร้อยเมตร นอกจากนั้นยังมีกระสอบทรายที่วางกั้นเบื้องหน้ากรรมการไว้ด้วย
ข้าขมวดคิ้วด้วยความสงสัย“ลู่วิ่งนี้มีไว้ทำอะไร?”
“ทดสอบความเร็ว” ตั้นไถเหยาพูดขึ้น“ความเร็วในการโจมตีในระยะร้อยเมตรถือเป็สิ่งสำคัญของผู้ฝึกฝนิญญาทุกคนข้าจำได้ว่าถ้าอยากได้คะแนนเต็มต้องใช้เวลาไม่เกินแปดวินาทีและเก้าวินาทีจะได้คะแนนปกติ แต่ถ้าสิบวินาทีขึ้นไปถือว่าไม่ผ่านการทดสอบ”
“แล้ว...เ้ากระสอบทรายใหญ่ๆ นั่นล่ะ?”
ซูเหยียนหัวเราะคิกคักออกมา“มันใช่กระสอบทรายธรรมดาที่ไหนกันนั่นน่ะคือเครื่องวัดพละกำลังของผู้ทดสอบต่างหากล่ะ”
ข้าอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างเขินๆ“สุดยอด...”
“มันก็แน่อยู่แล้ว เพราะทางสำนักจะมีการวัดผลโดยการให้คะแนนจะมีก็แต่การทดสอบแบบประลองที่ตัดสินจากการแพ้หรือชนะ”
“แล้วการทดสอบของพวกเราครั้งนี้มีอะไรบ้าง?” ข้าถามขึ้น
นางได้ยินแล้วก็เม้มปากแน่นอย่างไม่สบอารมณ์“นี่เ้าคงไม่สนใจเื่การทดสอบเลยสินะ? ขอข้าคิดก่อนแล้วกัน...ดูเหมือนจะเป็ทดสอบความเร็วการมอง พลังิญญาพื้นฐาน และความรู้พื้นฐานเื่ปืนผาหน้าไม้อย่างละ 10 คะแนน ส่วนอีกห้าสิบคะแนนมาจากการประลองกับศิษย์ขั้นสูงกว่าการสอบเข้าครั้งก่อนข้าได้คะแนนเต็มเชียวนะ...”
ข้าได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรต่อ
ดูเหมือนว่าการทดสอบของสำนักหมื่นิญญาจะพิถีพิถันอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
และในตอนนี้เองปรมาจารย์ิญญาคนหนึ่งก็ออกมาประกาศเริ่มการทดสอบตามด้วยอาจารย์อีกคนหนึ่งเดินออกมาขานชื่อศิษย์แต่ละคนให้ออกมาโจมตีกระสอบทราย
ตุ้บ!ตุ้บ! ตุ้บ!
“ผู้สอบจีเสี่ยวเสี่ยว พลังหมัด 174 ชั่ง ถีบตรง 149ชั่ง เตะข้าง 154 ชั่ง พละกำลังโดยเฉลี่ย 159ชั่ง ได้รับคะแนน 2 คะแนน”ศิษย์คนนั้นรีบเดินกลับไปอย่างอับอาย ศิษย์ที่อยู่รอบๆ ต่างยิ้มเยาะออกมาเพราะคะแนนแบบนี้ถือเป็ศิษย์ที่ไม่เอาไหนพอสมควร
ข้ามองเห็นคนคุ้นหน้าอย่างหลี่สวินกับหวังอี้อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายนึกไม่ถึงว่าพวกนั้นจะได้ทดสอบในสนามเดียวกับพวกเรา นางที่จ้องมองมาจากไกลๆแสดงสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์ออกมาแต่มันก็เป็เื่ปกติของการคบหาของศิษย์ที่ต้องมีการแบ่งพรรคแบ่งพวกเป็ธรรมดา
“ผู้สอบหวังอี้ เตรียมตัว!” อาจารย์ท่านนั้นขานชื่อ
หวังอี้เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเครื่องวัดพละกำลังพลังของลมหายใจัแผ่ซ่านออกมาทั่วร่างกายก่อนจะะโขึ้นแล้วชกตามด้วยลูกเตะถึงสองครั้งนางสามารถทำทั้งสามอย่างให้จบลงด้วยเวลาเพียงหนึ่งวินาที...
ผู้คุมสอบชะงักไปพักหนึ่งไม่นานเครื่องก็แสดงตัวเลขออกมา “ผู้สอบหวังอี้พลังหมัด 402 ชั่ง ถีบตรง 378 ชั่ง เตะข้าง 412 ชั่ง พละกำลังโดยเฉลี่ย 397 ชั่ง ได้รับคะแนนเต็ม!”
พออาจารย์ท่านนั้นพูดจบศิษย์แต่ละคนต่างปรบมือกันเกรียวกราว
ข้าขมวดคิ้วแล้วหันไปถามซูเหยียน“เท่าไรถึงจะได้คะแนนเต็ม?”
“380 ก็พอแล้วล่ะ” ซูเหยียนว่าพลางยิ้ม “เสียดายที่คะแนนเต็มแค่ 10 คะแนน ไม่อย่างนั้นข้าจะทำให้ถึง 20 คะแนนไปเลย”
ข้าก็หมดคำพูดเหมือนเดิม...
หลังจากนั้นไม่นานหลี่สวินที่ได้คะแนนสูงสุดจากพละกำลังเฉลี่ยที่ 402 ชั่งแม้จะทดสอบเสร็จแล้วเขาก็ยังมองมาที่กลุ่มเราด้วยสายตาที่ท้าทายและเหมือนจะเพ่งเล็งมาทางข้าโดยเฉพาะคงจะแค้นเื่เืของหัวใจัดินที่ควรจะเป็ของเขา แต่กลับเป็ข้าที่ดื่มแทน
“ผู้สอบซ้งเชียน มาทำการทดสอบได้!”
ซ้งเชียนที่สะดุ้งโหยงพูดออกมาอย่างรวดเร็ว“ฮะ! มาถึงตาข้าแล้วเหรอ?”
“ซัดเต็มกำลัง อย่าขายหน้าล่ะ” ข้าพูดขึ้น
เขาพยักหน้ารับอย่างหนักแน่นก่อนจะเดินเข้าไปและได้มา5คะแนนตามพละกำลังเฉลี่ย 224 ชั่งจามด้วยเสียงหัวเราะเยาะดังไล่หลัง
“คนต่อไป ศิษย์สำรองปู้อี้เชวียน เข้ามาทดสอบได้แล้ว!”
ถึงตาข้าแล้ว!
นึกไม่ถึงว่าชื่อของข้าจะอยู่ต่อจากซ้งเชียนขณะที่ข้ากำลังเดินเข้าไปทดสอบ ศิษย์แต่ละคนต่างหัวเราะเชิงปรามาสออกมา
“เฮอะๆ เนี่ยเหรอศิษย์ผู้สืบทอดวิชาจากจอมยุทธ์อันดับัเฉิ่นปู้หยุนข้าอยากจะรู้นักว่าจะแน่สักแค่ไหน อย่าทำให้เฉิ่นปู้หยุนขายหน้าแล้วกัน!”
“ไม่รู้ว่าที่เขาเล่าลือกันจะเก่งจริงไหมแต่วันนี้จะได้เห็นพละกำลังที่แท้จริงของเขาแล้วล่ะ!”
…
พอเดินมาถึงหน้าเครื่องวัดข้าจึงเตรียมร่างกายให้หนักแน่น โดยใช้พลังพื้นฐานที่แข็งแกร่งอย่างลมหายใจัซัดออกไปด้วยพลังของหมัดสายฟ้า
ปัง!!
กระสอบทรายเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจนฝุ่นตลบ
ข้าไม่ได้ไปดูคะแนนแต่ยกเท้าขึ้นถีบด้วยพลังเอกากัลป์เบิกขุนเขาก่อนจะเบี่ยงร่างกายเพื่อเตะเข้าไปด้วยพลังของกระบวนท่าเพลิงม้วนใบของเพลงขาเมฆาหมอกมันรุนแรงจนกระสอบทรายเคลื่อนจากตำแหน่งเดิม
พริบตาเดียวรอบข้างกลับเงียบสงัดจากที่เคยมีเสียงซุบซิบนินทากลายเป็นิ่งอึ้งไปตามๆ กัน
อาจารย์ท่านนั้นขานคะแนนเสียงดังฟังชัด“ผู้สอบปู้อี้เชวียน พลังหมัด 372 ชั่ง ถีบตรง 473 ชั่ง เตะข้าง 481 ชั่ง พละกำลังโดยเฉลี่ย 442ชั่ง ได้รับคะแนนเต็ม!
แปะๆๆๆ
ซูเหยียนตั้นไถเหยา และซ้งเชียนต่างปรบมือให้ ตามด้วยเสียงปรบมือแบบประปรายดูเหมือนว่าคนอื่นยังคงเห็นว่าศิษย์สำรองด้อยค่าอยู่อีกสินะหากข้ายังไม่หลุดจากสถานะนี้สักที คนพวกนั้นก็จะดูถูกไปตลอดชีวิต คนเรามันก็เป็เสียแบบนี้พอต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่ากลับไม่ยอมรับว่าเขาเหนือกว่าจริงๆ
พอข้าเดินออกมาซ้งเชียนก็ยกนิ้วให้“พี่เชวียน สุดยอด!”
ข้าเอามือถูจมูกไปมาก่อนจะพูดอย่างถ่อมตัว “ไม่เท่าไรหรอกน่า จริงๆแล้วตอนถีบตรงข้ายังเก็บพลังไว้อีกตั้งสองส่วน”
ตั้นไถเหยาที่ไม่รู้จะพูดกับคนอวดดีอย่างข้าได้อย่างไรถึงกับพูดขึ้น“รู้แล้วน่า ตอนที่เ้าะโถีบต้นสาลี่ที่หุบเขาหลิงหยุน ตอนนั้นข้ารู้แล้วล่ะว่าการถีบตรงของเ้ามันแข็งแกร่งจนเกินบรรยาย”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้