เงาร่างสายนั้นหายวับไปจากที่เดิม คนที่คุยกับเฟิ่งหยางก่อนหน้านี้หายตัวไปแล้ว
เฟิ่งหยางมองเงาร่างของเฟิ่งอีซึ่งเผ่นหนีไปอย่างเร่งร้อน นี่เป็ครั้งแรกที่เขาพบว่าบริวารของเขาเหล่านี้หาใช่มือสังหารที่ฆ่าคนตาไม่กะพริบ แต่เป็พวกเห็นแก่กินที่เจออะไรไม่ได้เป็ต้องอ้าปาก
พวกเขาไม่อาจเห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อยหรอกกระมัง แค่ของกินเท่านั้นเอง ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาหรือว่าตนเองยังให้พวกเขากินใช้ไม่เพียงพอ?
"นายท่าน" พ่อบ้านที่จากไปไม่นานกลับมาปรากฏสู่สายตาของเฟิ่งหยางอีกครั้ง
เฟิ่งหยางมองเขา รอฟังคำที่พ่อบ้านยังกล่าวไม่จบ
"คือแบบนี้ขอรับ เมื่อครู่มีเ้าหน้าที่ส่งเทียบเชิญมา ดูเหมือนว่าจะเป็วันเกิดของอนุภรรยาใต้เท้าเมิ่ง เย็นนี้จะมีการจัดงานเลี้ยง เชิญนายท่านกับแม่นางถังไปร่วมงานขอรับ"
"อนุภรรยา..." เฟิ่งหยางแค่นเสียงเยาะ "เมิ่งหลิงผู้นี้ นับวันยิ่งเข้าใจยาก ใครบ้างไม่รู้ว่าเขาเคยเป็ชายบำเรอของผู้อื่น เกรงว่าความสามารถเื่พรรค์นั้นคงจะสูญสิ้นไปนานแล้ว การรับอนุภรรยาเข้ามาเป็แค่การปิดหูขโมยกระดิ่ง[1]แบบนี้จะมีประโยชน์อันใด"
"ก็เหมือนกับพวกขันที ทั้งที่ไม่มีแก่นกาย แต่ก็ยังหาสตรีมาเป็คู่กิน[2]แหละขอรับ" พ่อบ้านกล่าว "บางทีอาจเป็เพราะพวกเขาสูญเสียของสิ่งนั้นไปแล้วถึงได้ยึดติดเช่นนี้ ทุกคนต่างรู้แก่ใจดีว่าอะไรเป็อะไร แต่ไม่มีผู้ใดกล้าพูด บัดนี้เมิ่งหลิงกุมอำนาจ แม้แต่พระหัตถ์ของฮ่องเต้ก็เอื้อมมาไม่ถึงที่นี่"
"เ้าไปบอกผู้หญิงคนนั้นให้นางเตรียมตัวล่วงหน้า แม้ว่าจะเป็แค่อนุภรรยา แต่ก็ต้องเตรียมของขวัญให้เหมาะสมกับฐานะ" เฟิ่งหยางยิ้มอ่อนกล่าวว่า "ข้าจะดูว่าเย็นนี้เขาจะเล่นบทบาทอะไรอีก แค่วันเกิดอนุภรรยาคนหนึ่ง จำเป็ต้องตื่นเต้นขนาดนี้เชียว? เกรงว่า... จะมีจุดประสงค์อื่นมากกว่า"
"ไม่รู้ว่าแม่นางถังจะตื่นกลัวงานสังสรรค์ประเภทนี้หรือไม่ ได้ยินว่าขุนนางที่ไปคุยกับใต้เท้าเมิ่งที่หอคณิกาผู้นั้นไม่เพียงแต่ถูกตัดมือและเท้า แม้แต่บุตรชายยังถูกมีดแทงจนตาย ทั้งยังแทงต่อหน้าต่อตาผู้เป็บิดาอีกด้วย"
"เื่นั้นข้ารู้แล้ว ตาเฒ่าคนนั้นรนหาที่ตายเอง" เฟิ่งหยางกล่าวอย่างไม่เห็นใจแม้แต่น้อย "เมิ่งหลิงมีเื่ต้องห้ามที่มิอาจไปแตะต้อง คนที่รู้จักต่างทราบว่าเขามีน้องสาวคนหนึ่ง ซึ่งยังไม่รู้แน่ว่าเป็หรือตาย เมิ่งหลิงไม่เคยละทิ้งการออกติดตามค้นหานาง ดังนั้นแม้ว่าใต้เท้าเมิ่งจะโเี้แค่ไหน แต่กลับเมตตาสงสารหญิงคณิกาเ่าั้เป็พิเศษ เพราะเขากลัวว่าหนึ่งในพวกนางจะเป็น้องสาวของเขาเอง ตาเฒ่านั่นดันเป็พวกจิตวิปริตชอบทรมานคน เขานึกว่าเมิ่งหลิงเป็คนประเภทเดียวกัน ก็เลยไปแตะถูกเื่ต้องห้ามของคนผู้นั้น"
"เช่นนั้นก็เป็เขารนหาที่ตายเองจริงๆ " พ่อบ้านถอนหายใจ "นึกไม่ถึงว่าคนเืเย็นไร้หัวใจอย่างใต้เท้าเมิ่งจะมี่เวลาที่อบอุ่นอ่อนโยนอยู่เหมือนกัน"
"ผีร้ายทุกตนล้วนไม่ใช่ผีร้ายแต่กำเนิด พวกเขาเคยเป็มนุษย์มาก่อน เพียงแต่พบเจอกับเื่ราวมากมายในชีวิตจึงค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็ผีร้าย" เฟิ่งหยางกระตุกมุมปาก เอ่ยวาจาด้วยแววตาล้ำลึก "สิ่งที่เมิ่งหลิงผู้นี้ประสบมาอยู่ไกลจากสิ่งที่เ้าจินตนาการมากนัก"
ยังจำได้ว่าครั้งแรกที่พบกัน แววตาเคียดแค้นดังสัตว์เดรัจฉานของเมิ่งหลิงยามนั้นยังปรากฏชัดในสมองของตนเองมาจนถึงบัดนี้
วันนั้น ร่างกายเขาเต็มไปด้วยาแ มีน้ำเืน้ำหนองน่าสะอิดสะเอียน
ตอนนั้นเขายังเล็กไม่รู้ความ จนกระทั่งต่อมาพอรู้ว่าอะไรเป็อะไร ก็รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง
ดูเหมือนว่าตนเองจะเข้าไปตัดทางรอดของคนสิ้นหวังคนหนึ่งโดยมิได้ตั้งใจ
เรือนชิงหรู ถังชิงหรูมองหรูเยียนซึ่งอยู่ตรงหน้า เอ่ยว่า "ให้ข้า?"
"เ้าค่ะ" หรูเยียนวางชุดกระโปรงยาวสีม่วงไว้บนเตียง "นี่เป็ของที่คุณชายเตรียมไว้ให้ เย็นนี้มีงานเลี้ยงมิใช่หรือเ้าคะ คุณชายให้ท่านสวมชุดนี้ไปร่วมงาน"
"สีม่วงไม่งามหรือ หรูเยียนคิดว่ามันสวยมาก แม่นางผิวพรรณดี สีม่วงเหมาะสมกับท่านที่สุดเลยเ้าค่ะ" หรูเยียนเอ่ย
ถังชิงหรูหยิบชุดกระโปรงสีม่วงไปเปลี่ยนที่หลังฉากกั้น
สีม่วงสวยมาก นางเองก็ชอบ แต่ให้นางสวมแต่สีม่วงทุกครั้ง นี่ต่างหากที่แลดูชอบกล
แม้ว่าตนเองจะชอบสีม่วง แต่ก็ชอบสีอื่นเหมือนกัน
หรือว่า... เฟิ่งหยางจะชอบแต่สีม่วง?
แล้วเกี่ยวอันใดกับนางเล่า เขาจะเอาความชอบของตนเองมายัดเยียดให้นางทำไม
ช่างเป็คนเอาแต่ใจตนเองเสียจริง!
เมื่อครู่นางได้รับแจ้งจากเฟิ่งหยางว่าให้ไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดอนุภรรยาของเมิ่งหลิง
อนุภรรยาของเมิ่งหลิงเป็ใคร ก็คุณหนูหวังผู้นั้นอย่างไรเล่า
พฤติกรรมของเมิ่งหลิง ประชาชนแต่ละคนต่างมีความคิดในใจมากมาย ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปาก
อย่างไรเสียเมิ่งหลิงผู้นี้ก็เป็คนร้ายกาจ ใครจะกล้าไม่เชื่อฟัง ต่อให้ในใจมีความแค้นก็มิกล้าแสดงออกมา
แต่ถึงกระนั้นถังชิงหรูกลับรู้สึกว่า... เขาน่าสงสาร
คงเป็เพราะว่าคนที่น่าชังก็มีส่วนที่น่าเวทนาอยู่เหมือนกันกระมัง
หลังผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อย ถังชิงหรูเช็ดแป้งที่ใช้อำพรางใบหน้าออก หลังจากนั้นก็แต่งหน้าเข้าไปใหม่ ครานี้นางหาได้แต่งให้ตนเองดูอัปลักษณ์ แต่กลับแต่งให้ตนเองแลดูงดงามยิ่งขึ้น
บุรุษเช่นเฟิ่งหยางโดดเด่นสะดุดสายตาเช่นนี้ หากสาวใช้ข้างกายหน้าตาอัปลักษณ์เกินไป อาจถูกเหล่าคุณหนูทั้งหลายในงานเลี้ยงคืนนี้พิฆาตด้วยสายตาเอาได้ ทว่านางไม่ยอมให้ใครเห็นรูปโฉมที่แท้จริงของตนเองอยู่แล้ว การแก้ไขย่อมง่ายมาก
การแต่งหน้าไม่นับว่าเป็ปัญหาสำหรับสตรี หาก้าแปลงโฉมให้กลายเป็อีกรูปแบบหนึ่งยิ่งง่ายดายนัก
"ท่าน..." หรูเยียนมองถังชิงหรูด้วยสีหน้าตกตะลึง "แม่นาง เป็ท่านจริงๆ หรือ"
หญิงสาวตรงหน้าผิวพรรณแลดูบอบบางเพียงแค่ดีดหรือเป่าเบาๆ ก็อาจจะแตกหักได้ เรือนร่างอรชรมีส่วนโค้งเว้าอันน่าเย้ายวน เรือนผมงดงามดุจแพรไหม ส่วนที่งดงามที่สุดคือดวงเนตรที่เปล่งประกายระยิบระยับดุจอัญมณีเจิดจรัสจนคล้ายว่าจะสนทนาได้ ถังชิงหรูลูบพวงแก้มของตนเองพอล้างผงแป้งหนาเตอะออกจากใบหน้า ไม่นึกว่าผิวของตนเองจะดีขนาดนี้ นี่คือสิ่งที่นางคาดไม่ถึง
นางผงกศีรษะกล่าวว่า "มัวแต่อึ้งอยู่ได้ ข้างนอกฝนตก ยังไม่ช่วยข้าเตรียมร่มอีกรึ"
หรูเยียนรั้งสติกลับมาได้ก็รีบไปหาร่มช่วยกางให้ถังชิงหรู
จนกระทั่งเดินออกมาจากประตูใหญ่ นางมองท้องฟ้าด้านนอก หัวคิ้วมุ่นเข้าหากัน
อากาศแบบนี้ไม่อยากออกไปข้างนอกเลยจริงๆ
บัดนี้รถม้ามาจอดรอที่ประตูแล้ว เฟิ่งหยางนั่งอยู่ด้านใน สารถีคลุมร่างด้วยเสื้อฟาง[3] คอยม่านรอถังชิงหรู ยามเห็นหรูเยียนประคองถังชิงหรูเดินออกมา แม้แต่สารถียังมองตาค้าง
เฟิ่งหยางกำลังอ่านเอกสารอยู่ในรถ สังเกตได้ว่าลมหายใจของสารถีฟังดูชอบกล จึงเงยหน้าขึ้นมอง ยามเห็นท่าทางตกตะลึงของอีกฝ่าย ก็มองไปตามสายตาของเขาไป ชั่วขณะที่เห็นเรือนร่างอรชรของถังชิงหรู ก็ดูเหมือนว่าสายฝนจะทำให้ดวงตาที่แจ่มชัดอยู่เสมอของเขาพร่ามัวไปเสียแล้ว เงาร่างงดงามแช่มช้อยกำลังเยื้องย่างมาทางที่ตนเองอยู่
เป็นาง?
ไม่หรอกมั้ง สตรีผู้นั้นเป็แค่หญิงสาวหยาบกระด้าง ไม่น่าจะมีรูปลักษณ์เช่นนี้
อยู่ร่วมกันมานานขนาดนี้ แม้แต่นางรูปร่างหน้าตาเป็อย่างไรจะจำไม่ได้เชียวหรือ
แต่คนที่ประคองนางก็คือหรูเยียน ยามนี้นางก็สวมชุดกระโปรงสีม่วง อาภรณ์ชุดนี้เขาไปเจอมาโดยบังเอิญ เห็นครั้งแรกก็ถูกใจเลยซื้อกลับมา มันวางอยู่ในห้องนอนของเขามาครึ่งเดือนแล้ว จนกระทั่งวันนี้มีงานเลี้ยงถึงมีโอกาสออกมาอวดโฉม เขามองมันทุกวัน ไม่ว่าจะรูปแบบหรือลวดลายบนเนื้อผ้า ล้วนจำได้แม่น ดังนั้นจะมองผิดไปได้อย่างไร
"แม่นาง ระวังนะเ้าคะ" หรูเยียนประคองถังชิงหรูขึ้นรถ
ถังชิงหรูขึ้นไปแล้ว เห็นเฟิ่งหยางยังคงอยู่ที่หน้าประตูไม่ขยับ ก็เลิกคิ้วมองเขา "ขยับก้นของท่านไปหน่อยสิ"
เฟิ่งหยางได้สติกลับมา ได้ยินคำพูดของนางก็หน้าดำคล้ำ ก่อนยิ้มเยาะเอ่ยถากถาง "ไม่พูดอะไรเลยก็ดีอยู่ พอพูดออกมาคำเดียวรู้เลยว่าเป็หญิงบ้านนอก"
ถังชิงหรูนั่งลงข้างกายเฟิ่งหยาง ปัดๆ คราบน้ำฝนบนร่างกาย ก่อนใช้ผ้าเช็ดลำคอ
"หญิงบ้านนอกก็หญิงบ้านนอกสิ ใครเกิดมาก็เป็ผู้สูงศักดิ์เลยเล่า ผู้สูงศักดิ์ในวันนี้ อีกหลายสิบปีหรือหลายร้อยปีข้างหน้าก็อาจกลายเป็ยาจกตกระกำลำบากก็เป็ได้ ผู้เป็ชาวนาในวันนี้ ก็ไม่แน่ว่าบรรพบุรุษของพวกเขาอาจเป็ถึงเชื้อพระวงศ์ ความรุ่งเรืองนั้นไม่แน่นอนดุจดั่งแม่น้ำสามสิบปีอยู่ตะวันออกอีกสามสิบปีอยู่ตะวันตก ใครเล่าจะสูงส่งกว่าใคร" ถังชิงหรูสนทนาไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวไป "เวลายังเช้าอยู่มิใช่หรือ ไฉนถึงไปเร็วนักเล่า"
เฟิ่งหยางเคยชินกับวาจาที่ไม่มีใครเหมือนของถังชิงหรูมานานแล้ว หากวันไหนนางไม่ได้ต่อปากต่อคำกับเขา เขากลับรู้สึกไม่คุ้นชิน
"ข้ามีธุระต้องคุยกับเมิ่งหลิง ถึงเวลาจะส่งเ้าไปหาหวังอี๋เหนียง[4]ผู้นั้นก่อน นางจะช่วยดูแลเ้า" เฟิ่งหยางตอบ
"อื้ม" ถังชิงหรูรับคำ จากนั้นก็สงวนวาจา
นางไม่ถามเฟิ่งหยางว่าคุยเื่อันใดกับเมิ่งหลิง อย่างไรเสียทั้งสองคนก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร เื่ที่คุยกันก็มิน่าจะใช่เื่ดีงามอันใด
จนกระทั่งมาถึงจวนเ้าเมือง เฟิ่งหยางส่งนางไปที่เรือนรับรองของหวังอี๋เหนียง ส่วนตนเองก็ไปเรือนด้านหน้าหาเมิ่งหลิงที่ห้องหนังสือ
"แม่นางถังมาแล้ว" ในห้องของหวังอี๋เหนียงยังมีฮูหยินคนอื่นๆ สตรีเหล่านี้ล้วนมาเร็วยิ่ง
ถังชิงหรูมองไปรอบด้าน เห็นแต่คนคุ้นหน้าทั้งสิ้น ในหมู่สตรีเ่าั้นางยังมองเห็นอีกคน นั่นก็คือฉินเหยา
พอฉินเหยาเห็นถังชิงหรู ประกายเย็นะเืก็สาดซัดในแววตา ขึงจ้องนางอย่างเกลียดชัง ปานอยากจะฉีกร่างให้เป็ชิ้นๆ
ถังชิงหรูนึกตระหนกในใจ ใช่ว่านางจำตนเองได้แล้วหรอกนะ
ไม่ มิน่าจะเป็เช่นนั้น หากจำได้ว่าตนเองเป็ใคร คงจะโวยวายเสียงดังไปนานแล้ว ยามนี้นางนี้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมาก ฉินเหยาไม่น่าจะจำได้
เมื่อก่อนถังชิงหรูรูปร่างผอมแห้ง ผิวคล้ำ ตาก็โต ใบหน้าซูบไม่มีเนื้อหนังจึงดูเหมือนคนป่วยหนัก นางเป็คนใจเสาะ มักก้มหน้าก้มตาเป็นิจ เกรงว่าทั่วทั้งหมู่บ้านสกุลฉินคงมีแค่ไม่กี่คนที่เคยเห็นรูปโฉมของนางอย่างเด่นชัด
"ฮูหยินทุกท่านกำลังสนทนาอันใดกันอยู่ ไฉนพอข้ามาถึง พวกท่านก็ไม่คุยกันแล้วเล่า หรือรู้สึกว่าข้ามาขัดจังหวะความสำราญของพวกท่าน" ถังชิงหรูเดินเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนมาหยุดที่ข้างกายหวังอี๋เหนียง
หวังอี๋เหนียงดึงมือของถังชิงหรูมากุมไว้ พลางเอ่ยกับนางว่า "พวกเราตกตะลึงต่างหากเล่า ที่แท้ท่านก็งดงามขนาดนี้ เป็เพราะคุณชายเฟิ่งกลัวว่าท่านจะถูกใครมาชิงตัวไปหรือไม่ ถึงจงใจให้ท่านอำพรางรูปโฉมของตนเอง"
"นั่นน่ะสิ" ฮูหยินที่อยู่ข้างกายป้องปากยิ้มกล่าว
"แม่นางถังรูปโฉมพริ้มเพรา นิสัยใจคอก็ดีงาม ข้าล่ะอยากมีน้องสาวแบบนี้ยิ่งนัก" จางฮูหยินเดินเข้ามา ครรภ์ของนางเริ่มพอมองเห็นบ้างแล้ว "คราก่อนทำตามวิธีที่เ้าบอก อาการแพ้ท้องลดลงไปมาก ต้องขอบใจเ้ามาก"
"พวกเรามิต้องเกรงใจกันขนาดนั้น วันนี้เป็วันเกิดของหวังฮูหยิน นางต่างหากที่เป็เ้าภาพของงาน พวกท่านอย่ามัวแต่มาห้อมล้อมข้าอยู่เลย มิเช่นนั้นหวังฮูหยินจะเคืองข้าเอาได้" ถังชิงหรูหัวเราะเบาๆ
"ใช่แล้วๆ ข้าอยากจะแบ่งท่านให้กับทุกคนใจจะขาด ให้กลายเป็บุปผาพูดได้[5]ของทุกคนไปเลย" หวังอี๋เหนียงหัวเราะเบาๆ
--------------------------------------------------------------------------------
[1] ปิดหูขโมยกระดิ่ง ใช้อุปมาถึงคนที่หลอกตัวเอง หรือความพยายามปกปิดในเื่ที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่อาจปิดบังซ่อนเร้นได้
[2] คู่กิน หรือตุ้ยสือ เป็คำเรียกคู่รักซึ่งเป็ข้ารับใช้ในวัง อาจเป็ระหว่างขันทีกับนางกำนัล ขันทีกับขันที หรือนางกำนัลกับนางกำนัลก็ได้ คำว่าตุ้ยสือมาจากพฤติกรรมที่คู่รักมานั่งกินอาหารด้วยกันคุยกันกะหนุงกะหนิงสองคน แทนที่จะไปกินข้าวร่วมกับคนอื่นๆ
[3] เสื้อฟาง คือชุดคลุมกันฝนแบบโบราณ ทำมาจากฟางข้าวและหวาย
[4] อี๋เหนียง หมายถึงอนุภรรยา หวังอี๋เหนียงคืออนุภรรยาแซ่หวัง
[5] บุปผาพูดได้ ใช้เป็ความเปรียบถึงหญิงงามที่เฉลียวฉลาดช่างเจรจาพาที มีที่มาจากครั้งหนึ่งที่พระเ้าถังเสวียนจงกับหยางกุ้ยเฟยไปชมความงดงามของดอกบัว ทุกคนต่างชื่นชมความงดงามของมวลผกา แต่พระเ้าถังเสวียนจงกลับชี้มาที่หยางกุ้ยเฟยแล้วกล่าวว่า "ไหนเลยจะสู้บุปผาพูดได้ของเรา"