นี่เป็ดินแดนที่เหมือนดั่งทะเลเพลิง
ผืนแผ่นดินแดงดั่งเปลวไฟ สภาพเหมือนหินหนืดที่มีเปลวไฟสีแดงจางๆ จนพื้นที่ทั้งหมดเหมือนกำลังเดือดพล่าน คลื่นความร้อนพุ่งขึ้นไปยังฟากฟ้า บางครั้งก็มีเสียงคำรามดังขึ้นมาจากระยะไกล กระตุ้นคลื่นความร้อนโชยเข้ามาอย่างจัง
ฉินอวี่มองไปโดยรอบ แต่กลับมองไม่เห็นเงาร่างของผู้ใดเลย
เกิดอะไรขึ้น? หรือข้าจะเข้ามาอยู่ในดินแดนที่สองคนนั้นพูดถึง
ไม่ถูก...
เดี๋ยวนะ หรือว่าที่แห่งนี้คือหอคอยขัดเกลาของเผ่าหยาจื้อ?
เมื่อมองไปยังพื้นดินสีแดงเพลิง ฉินอวี่ก็ยิ่งมั่นใจ ที่แห่งนี้จะต้องเป็หอคอยขัดเกลา! ตามที่ชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงพูดไว้ หลังจากชนะเขาแล้ว จะสามารถผ่านเข้าสู่ด่านที่สองได้ ตรงเข้าสู่หอคอยขัดเกลา
และเรือนไม้ที่เขาสร้างไว้คงจะถูกวานรยุทธ์ที่น่าสะพรึงตัวนั้นทำลายไปแล้ว เขาพาตนเองตรงเข้าไปยังหอคอยขัดเกลา หากเป็เช่นนี้ เช่นนั้นแล้วพวกฉือเซียว ฉู่เยว่ฉาน และคนอื่นๆ ล่ะ? พวกเขาได้เข้ามาในหอขัดเกลาด้วยหรือไม่
หากเข้ามาแล้ว แล้วพวกเขาอยู่ที่ไหนล่ะ?
บางทีหลังจากคนอื่นๆ เข้ามายังหอคอยขัดเกลา อาจจะไม่จัดการกับตนเองได้ แต่ฉือเซียวคงจะไม่หนีจากไปตอนที่ตนเองกำลังสลบอย่างแน่นอน ดังนั้น คงจะมีเพียงความเป็ไปได้เดียว หลังจากเข้ามายังหอคอยแต่ละคนคงถูกส่งไปยังพิกัดที่แน่นอนในหอคอยแล้วเป็แน่
ฉินอวี่เหลือบมองไปทางด้านล่าง เขาไม่เพียงแต่ยิ้มอย่างขมขื่น เขากำลังนั่งอยู่บนหินสีครามขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง บนหินสีครามมีลวดลายอยู่อย่างหนาทึบ ดูเหมือนว่า วานราตัวนั้นคงจะจับตนเองเหวี่ยงตรงมายังหอคอยขัดเกลา โชคดีที่ตนเองกำลังหมดสติจึงไม่ได้ขยับเขยื้อน ไม่เช่นนั้น หากต้องตกลงไปเขาคงจะถูกเผาตายเป็แน่
ในขณะที่ฉินอวี่กำลังทำการสำรวจร่างกายของตนเอง เขาก็ผงะไปครู่หนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองทางด้านหลัง กลับมองเห็นร่างที่แข็งแกร่งร่างหนึ่งอยู่ไม่ไกล เขากำลังโน้มตัว มือข้างขวากำลังวางไว้บนเข่าที่กำลังงอ และกำลังหันหลังให้ฉินอวี่
สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องใก็คือ ก่อนหน้านี้ตนเองไม่ทันสังเกตเห็นคนผู้นี้ ราวกับว่าเขาได้ปรากฏมาจากอากาศ แต่สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องระมัดระวังคือ เงาร่างที่แข็งแกร่งนี้คือวานรยุทธ์จริงๆ! สิ่งนี้ย้ำเตือนให้ฉินอวี่นึกถึงวานรยุทธ์ที่น่าสะพรึงตัวนั้น เขาจ้องมองไปยังวานรยุทธ์ตัวนั้นด้วยความระแวดระวัง และพิจารณาอย่างละเอียด
วานรยุทธ์ตัวนี้สูงใหญ่ราวกับหอคอยบนูเา ร่างกายของเขาดูแปลกประหลาดยิ่งนัก เขาสวมเพียงหนังสัตว์ที่ปกปิดไว้แต่เพียงส่วนเป้าเท่านั้น เส้นขนทั่วทั้งร่างเป็สีดั่งทองสัมฤทธิ์ แต่ก็มีจำนวนมากที่ได้ร่วงหล่นลงมา เขากำลังหันหลังให้กับฉินอวี่ ทำให้ฉินอวี่มองเห็นาแที่น่าใบนหลังของเขาได้ ราวกับเพิ่งผ่านศึกนับร้อยมา
แขนขนาดใหญ่ดั่งต้นไม้ที่วางไว้บนเข่า มือขนาดใหญ่ที่กว้างราวกับใบพัด กล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งดั่งกลุ่มัมีเขาเต็มไปด้วยพลังงานที่ไม่รู้จบ แฝงไปด้วยพลังอันแข็งแกร่งที่น่าใ
สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่รู้สึกใมากกว่านั้นคือ สร้อยคอที่ร้อยจากโครงกระดูกซึ่งอยู่บนคอของวานรยุทธ์ ดูเหมือนว่ากระดูกเหล่านี้จะเป็กระดูกส่วนศีรษะ ที่ดูแล้วมีความแปลกและทรงพลังอย่างยิ่ง
ในตอนที่ฉินอวี่มองไปยังวานรยุทธ์ วานรยุทธ์ก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น จากนั้นเสียงอันแหบแห้งเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ข้ากำลังคิดว่า เ้าคือหวังซิงเฉินคนนั้นหรือไม่”
ฉินอวี่รู้สึกแปลกในหัวใจ จ้องกลับไปยังวานรยุทธ์ แต่ไม่ได้พูดอะไร ในใจของเขากลับพยายามชั่งน้ำหนักโอกาสที่จะมีชัยชนะต่อวานรยุทธ์ที่แปลกประหลาด แต่สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่รู้สึกแปลกใจคือ เขาไม่อาจััระดับการฝึกฝนของวานรยุทธ์ตัวนี้ได้เลย และยังไม่อาจััได้แม้แต่ความแปรปรวนของแก่นพลังปราณ แต่ดูไปแล้วก็ค่อนข้างชัดเจนว่าระดับการฝึกฝนของเขาต้องอยู่ระดับสูงสุดของขั้นกุมารทิพย์
“ได้ยินมาว่ามีคนที่ชื่อหวังซิงเฉินสามารถเอาชนะเ้าสิบเอ็ดแห่งฝ่ายหยาจื้อได้ ไม่ทราบว่าเป็เ้าใช่หรือไม่?” วานรยุทธ์ถามอย่างต่อเนื่อง
เ้าสิบเอ็ด? คือชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงคนนั้นหรือ? แล้วฝ่ายหยาจื้อคืออะไร?
ฉินอวี่นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “จะใช่หรือไม่ใช่ แล้วมีอะไรแตกต่าง?”
“ถ้าใช่ เ้าก็มีชีวิตอยู่ต่อได้ หากไม่ใช่ เ้าก็ต้องตาย” วานรยุทธ์กล่าวพลางหันศีรษะมา และใบหน้านั้นได้ปรากฏขึ้นชัดเจนในสายตาของฉินอวี่
ใบหน้านี้เต็มไปด้วยหลุมและรูพรุนทั้งใบหน้า ิัและเืเนื้อบนใบหน้าได้บิดเข้าหากัน ดูเหมือนถูกหลอมละลายจากหินหนืดร้อน แม้ว่าใบหน้าจะดูน่ากลัว แต่ดวงตาที่ใหญ่โตราวกับระฆังสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ มีแสงส่องประกายอย่างแปลกๆ ออกมา ลึกลับ เ็า อีกทั้งยังมีความโดดเดี่ยวและดูมั่นใจเด่นชัดอยู่ในดวงตา
“เ้าก็มีคำตอบอยู่แล้ว ไม่ใช่หรือ?” ฉินอวี่พูดอย่างเรียบเฉย
“ให้เวลาเ้าครึ่งวันเพื่อพักฟื้น หลังจากครึ่งวันนี้ ออกไปล่าสังหารกับข้า!” วานรยุทธ์กล่าวช้าๆ
“ล่าสังหาร?” ฉินอวี่พูดอย่างประหลาดใจ
“ตามล่าสังหารเผ่าหยาจื้อ!” วานรยุทธ์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจและโกรธเคือง
ฉินอวี่มองไปยังวานรยุทธ์ตัวนี้ด้วยความประหลาดใจ จากการเฝ้าดูวานรยุทธ์ของชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงแล้ว เผ่าวานรยุทธ์ควรจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเผ่าหยาจื้อจึงจะถูกต้อง แต่วานรยุทธ์ตัวนี้กลับเต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อเผ่าหยาจื้อ? ราวกับว่ามีทะเลโลหิตฝังรากลึกของความแค้นเอาไว้ หลังจากครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย ฉินอวี่จึงพูดขึ้น “มันดูไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าใดนัก ที่จะตามล่าสังหารกลุ่มของเผ่าหยาจื้อในแดนขัดเกลา”
“เหตุผลหรือ? เ้าคิดว่าเ้าถอยได้อีกหรือ? หยาจื้อสิบสามฝ่าย ศิษย์รุ่นเยาว์ของพวกเขาต่างเคลื่อนออกจากแหล่งกบดาน เ้าคิดว่าหากไม่ตามล่าพวกเขา แล้วพวกเขาจะปล่อยเ้าไปหรือ?” วานรยุทธ์กล่าวอย่างเยือกเย็น
“หยาจื้อสิบสามฝ่าย? เคลื่อนออกจากแหล่งกบดาน?” ฉินอวี่ขมวดคิ้วแน่น
“เผ่าหยาจื้อในตอนนี้ไม่ใช่เผ่าหยาจื้อที่เคยเป็มาอีกแล้ว ใครก็ตามที่สามารถกระตุ้นสายเืของหยาจื้อได้ก็จะกลายเป็คนของเผ่าหยาจื้อ แต่ข้าเรียกพวกเขาว่าพวกลูกผสม” วานรยุทธ์กล่าวอย่างดูถูก
“ในตระกูลของเผ่าหยาจื้อ มีการแบ่งกลุ่มรายนามออกเป็รายนามระดับวิถีฟ้า รายนามระดับจิตวิเศษ รายนามระดับสามัญ และคนที่ชื่อเ้าสิบเอ็ดนั่นก็มีรายชื่อในกลุ่มสามัญ แต่ไหนแต่ไรมา เผ่าหยาจื้อดูถูกคนนอกมาตลอด แต่ครั้งนี้ เ้ากลับเอาชนะเ้าสิบเอ็ดได้ จึงกลายเป็สิ่งดึงดูดความเคลื่อนไหวของเผ่าหยาจื้อจำนวนมาก”
“เ้าสิบเอ็ดนั่นเป็หลานของผู้นำของฝ่ายหยาจื้อ มีสถานะเป็ที่นับหน้าถือตา หากคำนึงถึงสัญญาไท่กู่ ระดับสูงของเผ่าหยาจื้อย่อมไม่อาจลงมือทำอะไรเ้าได้ แต่เมื่อเ้าเข้ามายังหอคอยขัดเกลา บรรดาคนของเผ่าหยาจื้อจะต้องไล่ล่าสังหารเ้าแน่นอน จะเป็หรือจะตาย ก็คงอยู่ที่พละกำลังของเ้าแล้วล่ะ”
“เพื่อจะสังหารข้า? ออกจากรังกบดาน?” สีหน้าของฉินอวี่มองอย่างเคร่งขรึม
“เ้าสิบเอ็ดเป็คนของฝ่ายหยาจื้อ และฝ่ายหยาจื้อเรียกได้ว่าเป็หัวหน้าของเผ่าหยาจื้อสิบสามฝ่าย เมื่อเ้าสิบเอ็ดพ่ายแพ้ให้กับเ้านั่นก็นับว่าหน้าตาของพวกเขาถูกทำลาย หัวหน้าฝ่ายหยาจื้อจะต้องแจ้งไปยังหยาจื้อสิบสามฝ่าย ขอเพียงจะสังหารเ้าได้ ก็จะได้แก่นโลหิตหนึ่งหยดจากผู้นำฝ่ายหยาจื้อรุ่นที่หนึ่ง แม้ว่าแก่นโลหิตของผู้นำฝ่ายหยาจื้อรุ่นที่หนึ่ง จะไม่อาจเทียบได้กับบรรพชนหยาจื้อของพวกเขา แต่หากสามารถได้มานั้นก็จะทำให้สายเืของหยาจื้อเพิ่มขึ้นเป็หลายเท่าตัว”
“เืของหัวหน้าฝ่ายหยาจื้อรุ่นที่หนึ่ง แม้แต่ยอดฝีมือของรายนามระดับจิตวิเศษก็ยังต้องใจเต้น ไม่ต้องพูดถึงบรรดาคนรุ่นเยาว์เลย”
หัวใจของฉินอวี่หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว เขานึกไม่ถึงเลยว่าจากการเอาชนะชายหนุ่มชุดคลุมสีแดง จะทำให้เกิดเื่วุ่นวายใหญ่โตตามมาเช่นนี้
“ในเผ่าหยาจื้อนั้น มีเพียงยอดฝีมือในรายนามระดับวิถี์เท่านั้นที่จะมีสกุลแซ่ และผู้อยู่ในรายนามระดับจิตวิเศษจึงจะมี ‘นาม’ ส่วนเหล่าคนรุ่นเยาว์จะไม่มีสิทธิ์ได้รับชื่อแซ่ จะมีเพียงคนในรายนามระดับสามัญบางคนเท่านั้นที่สามารถใช้เลขอันดับในรายนามของตนเองมาเป็ชื่อตัว ซึ่งในครั้งนี้คนที่เข้ามาได้เป็ผู้มีสิทธิ์ได้เข้าถึงรายนามระดับสามัญ จึงไม่มีคนรุ่นเยาว์รุ่นหลังของหยาจื้อสิบสามฝ่ายปะปนอยู่”
วานรยุทธ์รู้สึกเหมือนว่าฉินอวี่ไม่เข้าใจว่ารายชื่อที่เป็ตัวเลขหมายถึงสิ่งใด จึงคิดอธิบายให้ฉินอวี่ฟัง
สำหรับสิ่งนี้ ฉินอวี่ไม่ได้แปลกใจอะไร ในอดีตเขาก็เคยได้ยินวิธีการเช่นนี้มาแล้วในกลุ่มของชนเผ่าโบราณบางกลุ่ม ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีสิทธิ์ใช้ชื่อแซ่ เหล่าคนที่ยังไม่โตเป็ผู้ใหญ่ล้วนจะมีชื่อเรียกร่วมกันชื่อหนึ่ง แต่ละเผ่าจะปฏิบัติต่างกันไป ชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงคนนั้นชื่อว่าเ้าสิบเอ็ด มีรายนามอยู่ในอันดับสิบเอ็ดของรายนามระดับสามัญ ดังนั้น เขาจึงถูกขนานนามว่าเ้าสิบเอ็ด
“ข้าได้ยินมาว่า คนที่ได้ขึ้นรายนามระดับสามัญในครั้งนี้ ต่างออกไปกันจนเกือบหมดแล้ว รวมทั้งรายนามระดับสามัญอันดับที่หนึ่ง ดังนั้น เ้าคงต้องไปกับข้าเท่านั้นถึงจะมีโอกาสรอดชีวิตออกไป!” วานรยุทธ์จ้องตรงมาทางฉินอวี่ และพูดอย่างจริงจัง
“แล้วกลุ่มคนรุ่นเยาว์ของหยาจื้อสิบสามฝ่ายมีทั้งหมดกี่คน?” ฉินอวี่ถามอย่างเคร่งขรึม
“ในกลุ่มของหยาจื้อสิบสามฝ่าย หลังจากอายุครบสิบปีก็จะสามารถเข้าไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อกระตุ้นสายเืของแต่ละคนได้เลย ผู้พ่ายแพ้จะถูกจะถูกเนรเทศไปยังแดนขัดเกลาของพวกเ้าหรือไม่ก็เป็หอคอยขัดเกลาแห่งนี้ หากทำได้สำเร็จจึงจะสามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ และในครั้งนี้ คนที่สามารถกระตุ้นสายเืขึ้นมาได้ มีทั้งหมดประมาณห้าพันคน!” วานรยุทธ์กล่าวช้าๆ
รูม่านตาของฉินอวี่หดตัวอย่างรวดเร็ว ห้าพันคน?
นี่เป็การฆ่าให้สิ้นซากแล้วล่ะ
“แม้ว่าข้าจะสามารถหลบหนีการตามฆ่าจากคนทั้งห้าพันคนได้ แต่จะมีชีวิตรอดกลับไปสำนักยุทธ์ว่านจ้งได้อีกหรือ?” ฉินอวี่กล่าวอย่างจริงจัง
“ขอเพียงเ้ามีชีวิตรอดอยู่ในหอคอยขัดเกลาแห่งนี้ได้ถึงหนึ่งปี เ้าก็จะปลอดภัย และเมื่อมีสัญญาไท่กู่ เผ่าหยาจื้อก็จะไม่สามารถขัดขวางอะไรได้” วานรยุทธ์กล่าวอย่างเคร่งขรึม
ฉินอวี่หรี่ตาลง สัญญาไท่กู่? แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าสัญญาไท่กู่คืออะไรกันแน่ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันคือสิ่งที่สามารถควบคุมเผ่าหยาจื้อเอาไว้ได้ เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องสงสัยคือ เหตุใดพละกำลังของการรวมกันในหยาจื้อสิบสามฝ่ายจึงต้องยอมอยู่ภายใต้สัญญาไท่กู่? และสำนักยุทธ์ว่านจ้งใช้สิ่งใดในการควบคุมเผ่าหยาจื้อ?
ดูเหมือนว่าสำนักยุทธ์ว่านจ้งยังมีความลับที่ผู้คนไม่รู้หลบซ่อนอยู่
“ทำไมจึงช่วยข้า?” ฉินอวี่ระงับความคิดในใจเอาไว้ และมองไปทางวานรยุทธ์ พลางค่อยๆ พูดออกไป ไม่มีสิ่งใดในใต้หล้าที่ไร้เหตุผล วานรยุทธ์ตัวนี้ไม่มีทางช่วยเหลือตนเองโดยปราศจากเหตุอย่างแน่นอน
“ประการแรกคือข้า้าผู้ช่วย เ้าสามารถเอาชนะเ้าสิบเอ็ดมาได้ พละกำลังของเ้าจะต้องเป็ผู้ช่วยข้าได้อย่างแน่นอน ประการที่สอง ข้าอยากให้เ้าพาข้าออกไปจากหอคอยขัดเกลา เมื่ออยู่ที่นี่ครบหนึ่งปี” วานรยุทธ์พูดจบ ก็มีรัศมีแห่งความปราดเปรื่องออกมาจากดวงตา
“พาเ้าออกไปจากหอคอยขัดเกลา? เพียงข้าดูแลตัวเองยังยากเลย จะพาเ้าออกไปได้อย่างไร?” ฉินอวี่กล่าวอย่างเรียบเฉย
“ขอเพียงเ้ามีชีวิตรอดถึงหนึ่งปี ตามสัญญาไท่กู่แล้ว เ้าสามารถเลือกอสูรร้ายหนึ่งตัวจากในหอคอยขัดเกลาแห่งนี้ ใช้เป็อสูรสัญญาประจำตัวของเ้าได้!”
ดวงตาของฉินอวี่เปล่งประกายเล็กน้อย มองตรงไปทางวานรยุทธ์ด้วยใจที่อยากรู้อยากเห็นเป็พิเศษ อะไรเป็แรงผลักดันให้วานรยุทธ์จงเกลียดจงชังเผ่าหยาจื้อถึงขนาดนี้? ต่อให้ต้องกลายเป็อสูรสัญญาก็ยัง้าออกจากที่นี่?
“แต่ข้ามีเงื่อนไขอย่างหนึ่ง...” ร่างกายอันแข็งแกร่งของวานรยุทธ์เริ่มสั่นเล็กน้อย
“เงื่อนไขอะไร?”
