การสืบทอดิญญายุทธ์มีเพียงตระกูลใหญ่เท่านั้นจึงจะทำได้
เมื่อผู้ฝึกตนไปถึงระดับราชันยุทธ์จะสามารถหลอมรวมิญญายุทธ์กับร่างกายตนเองได้ หลังจากผู้ฝึกตนให้กำเนิดลูกหลาน บรรดาลูกหลานก็มีโอกาสปลุกิญญายุทธ์แบบเดียวกันออกมาได้
ยิ่งพลังของผู้ฝึกตนรุ่นแรกมีความแข็งแกร่งก็จะเป็ผลดีต่อคนรุ่นหลัง นี่คือเหตุผลสำคัญและเป็เครื่องยืนยันว่าตระกูลของตนเองจะยิ่งใหญ่ต่อไปในอนาคต ตี้ชิงกับตี้เชียนเสวี่ยต้องเป็ลูกหลานของจ้าวยุทธ์ผู้นี้อย่างแน่นอน
แต่เหตุใดจ้าวยุทธ์จึงเลือกตี้ชิงไม่ใช่ตี้เชียนเสวี่ย? ถังเหล่ยคาดว่าอาจจะเป็เพราะิญญายุทธ์ของตี้เชียนเสวี่ยมีสติปัญญาแล้ว ตรงกันข้ามตี้ชิงที่เพิ่งปลุกิญญายุทธ์ในร่างได้ไม่นาน การสืบทอดิญญายุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดคงหนีไม่พ้นตี้ชิงผู้นี้
เื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจึงเป็เครื่องยืนยันได้ว่าสิ่งที่ตี้เชียนเสวี่ยกล่าวมาคือความจริง นางกับตี้ชิงคือเชื้อพระวงศ์ของจักรวรรดิซือฉีจริงๆ
“วางใจเถอะ เขาไม่ได้รับอันตรายใดๆ และยังได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่อีกด้วย!” ถังเหล่ยกล่าวอย่างเรียบเฉย แต่ภายในใจก็รู้สึกอิจฉาริษยาเล็กน้อย
“เ้าหมายความว่าอย่างไร?” ตี้เชียนเสวี่ยมองถังเหล่ยด้วยความสงสัย นางไม่เข้าใจว่าผู้ชำนาญยุทธ์ผู้นี้รู้เื่ราวมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร
“เ้าบอกว่าพวกเ้าคือเชื้อพระวงศ์ของจักรวรรดิซือฉีใช่หรือไม่ จ้าวยุทธ์นี้น่าจะเป็บรรพบุรุษของพวกเ้า เขาสร้างถ้ำใต้ดินแห่งนี้เพื่อรอผู้สืบทอดและตอนนี้ความปรารถนาสุดท้ายของเขาก็เป็จริงแล้ว”
ถังเหล่ยมองไปยังโครงกระดูกที่ตรงกลางถ้ำ และรู้สึกว่าจ้าวยุทธ์ผู้นี้ช่างน่านับถือยิ่งนัก ใน่สุดท้ายของชีวิตยังทำเพื่อตระกูล เขาแสดงคุณค่าสุดท้ายของตัวเองออกมา คนผู้นี้มีค่าพอให้เคารพนับถือ ตี้เชียนเสวี่ยมองถังเหล่ยด้วยความตะลึงและกล่าว
“เ้าพูดจริงหรือ?”
“จริงหรือไม่ ในอนาคตพวกเ้าจะรู้เอง” ถังเหล่ยกล่าวอย่างราบเรียบ
ถังเหล่ยสามารถคาดเดาได้ว่าเื่นี้จะสร้างผลกระทบให้เชื้อพระวงศ์มากเพียงใด ิญญายุทธ์ระดับนภาคือสิ่งที่ผู้ฝึกตนระดับราชันยุทธ์ต่างปรารถนา
“แม้ว่าในตอนนี้ข้าไม่รู้ว่าเ้าโกหกข้าหรือไม่ แต่ก็ขอบคุณเ้ามาก เ้ามีนามว่าอย่างไร?” ตี้เชียนเสวี่ยมองถังเหล่ยกล่าว
ต่อให้คำกล่าวของถังเหล่ยจะไม่ใช่เื่จริง แต่เหตุการณ์ก่อนหน้าเขาคือคนที่ช่วยชีวิตตนเอาไว้
“เ้าจะอยากรู้ชื่อของข้าไปทำไม? เ้าจะเอาไว้ประกาศจับข้าอย่างนั้นหรือ?” ถังเหล่ยกล่าวโดยไม่มองตี้เชียนเสวี่ยแม้แต่น้อย
ดวงตาของถังเหล่ยยังคงจ้องมองไปที่ศิลาเพลิงิญญาสามก้อนโดยไม่ละสายตา ในเมื่อิญญายุทธ์ถูกสืบทอดแล้ว จ้าวยุทธ์ผู้นี้คงตายตาหลับแล้วและศิลาเพลิงิญญาสามก้อนนี้สมควรมอบให้เขา
“ไร้สาระ ข้าสามารถแยกแยะดีชั่วได้ เมื่อครู่เ้าช่วยชีวิตข้า ข้าจะไม่ฆ่าเ้า” ตี้เชียนเสวี่ยกล่าวกับถังเหล่ย ขณะที่อีกฝ่ายกำลังเดินไปตรงกลางถ้ำ
ถังเหล่ยไม่ได้สนใจตี้เชียนเสวี่ยแม้แต่น้อย เขาคาดเอาไว้ว่าในเมื่อิญญายุทธ์ถูกผนึกเอาไว้ในร่างกายของตี้ชิงแล้วคงไม่มีอันตรายใดๆ อีก จึงเดินมุ่งหน้าไปยังโครงกระดูก
“ผู้าุโ เมื่อครู่ข้าช่วยชีวิตลูกหลานของท่านเอาไว้ ศิลาเพลิงิญญาสามก้อนนี้คิดซะว่าเป็รางวัลให้กับข้า ข้ารู้ว่าท่านคงไม่สะดวกมอบให้กับข้า ถ้าอย่างนั้นข้าขอหยิบมันเองเลยแล้วกัน” ถังเหล่ยพึมพำกับโครงกระดูก
จากนั้นถังเหล่ยก็คุกเข่าลง ศิลาเพลิงิญญาก้อนแรกถูกเก็บมาอย่างราบรื่น ทันใดนั้นถังเหล่ยก็ััได้ถึงพลังของศิลาเพลิงก้อนนี้ รอยยิ้มจึงปรากฏบนใบหน้าของเขา
“ศิลาเพลิงิญญาระดับหก ถือว่าการมาครั้งนี้ของข้าคุ้มค่าแล้ว” ถังเหล่ยเก็บศิลาเพลิงิญญาเข้าไปในแหวนมิติด้วยใบหน้าเบิกบาน
จากนั้นจึงเก็บอีกสองก้อน ทันทีที่ถังเหล่ยเก็บศิลาเพลิงิญญาก้อนสุดท้ายเข้าไปไว้ในแหวนมิติ ทั้งถ้ำก็เริ่มสั่นไหวและเริ่มมืดมิดจากส่วนลึก ในเวลาเดียวกันก็เกิดรอยแยกมากมายบนพื้น เขาตระหนักได้ทันทีว่าถ้ำแห่งนี้กำลังจะพังทลาย
“แย่แล้ว!” ถังเหล่ยกล่าว
ศิลาเพลิงิญญาสามก้อนนี้คือต้นกำเนิดพลังงานของถ้ำ หลังจากที่ศิลาเพลิงิญญาถูกถังเหล่ยเก็บไป ถ้ำจึงสูญเสียแหล่งกำเนิดพลังงานและไม่อาจแบกรับแรงกดดันได้อีกต่อไป
“เ้าทำอะไรลงไป?” ตี้เชียนเสวี่ยะโ
เดิมทีสถานการณ์ยังคงราบรื่น แต่หลังจากที่ถังเหล่ยเก็บเอาศิลาเพลิงิญญา ถ้ำก็มีท่าทีว่าจะพังทลายขึ้นมา
“หนีเร็ว ไม่เช่นนั้นจะถูกฝังทั้งเป็!”
ถังเหล่ยไม่มีเวลามาอธิบายกับอีกฝ่าย หากถูกฝังไว้ใต้ดินลึกหลายสิบวาไม่ว่าจะมีพลังมากเพียงใดก็คงไร้ประโยชน์ เส้นทางที่ถังเหล่ยเข้ามาตอนแรกขณะนี้มีซากศพของกิ้งก่าเพลิงกองขวางอยู่
รอยแยกที่พื้นดินเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และถ้ำเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง มีก้อนหินตกลงมาจาก้าไม่หยุด ในเวลานี้เหลือเส้นทางหนีไม่มากแล้ว ตี้เชียนเสวี่ยอุ้มตี้ชิงวิ่งไปในเส้นทางที่ยังไม่ถูกปิด ส่วนถังเหล่ยวิ่งไล่หลังมาติดๆ
การพังทลายของถ้ำแห่งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบกับทั้งสามคนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกิ้งก่าเพลิงที่อาศัยอยู่ที่นี่ด้วย
ถือว่าถังเหล่ยเป็ผู้ลงมือทำลายรังของกิ้งก่าเพลิงทางอ้อม ระหว่างที่พวกเขากำลังวิ่งหนีก็เริ่มปรากฏกิ้งก่าเพลิงออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน ทันทีที่พวกมันเห็นถังเหล่ยกับตี้เชียนเสวี่ย ก็เข้าใจว่าสองคนนี้คือผู้ที่เข้ามาทำลายรังของมัน
กิ้งก่าเพลิงจำนวนมากจึงพุ่งมาทางสามคนทันที ทันใดนั้นด้านหลังของตี้เชียนเสวี่ยก็ปรากฏวิหคเพลิงตัวหนึ่ง มันอ้าปากพ่นเปลวเพลิงที่ร้อนระอุออกมา อย่างไรก็ตามกิ้งก่าเพลิงเหล่านี้ก็เติบโตมากับเปลวเพลิงเช่นกัน การโจมตีครั้งนี้จึงไม่สามารถขับไล่กิ้งก่าเพลิงได้
“เ้าอยู่ด้านหน้า ข้าจะระวังหลังให้!” ถังเหล่ยะโ
ไม่ใช่เพราะถังเหล่ยเป็คนดี แต่เพราะเส้นทางเริ่มแคบขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่สามารถวิ่งขนาบข้างได้
ในมือของถังเหล่ยถือกริชเอาไว้ ทันใดนั้นมันก็เปล่งประกายแสงเยือกเย็นออกมาเป็ระยะ เขาลงมือสังหารกิ้งก่าเพลิงอย่างต่อเนื่อง และในขณะนี้การถล่มของถ้ำก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น กิ้งก่าเพลิงบางตัวยังไม่ทันได้โจมตีถังเหล่ยด้วยซ้ำ แต่กลับถูกหินทับตาย
ตี้เชียนเสวี่ยเร่งฝีเท้าวิ่งไปด้านหน้าสุดชีวิต ส่วนถังเหล่ยยังคงวิ่งอยู่ด้านหลังและสังหารกิ้งก่าเพลิงไปพร้อมๆ กัน ทันทีที่ตี้เชียนเสวี่ยมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ นางจึงเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ เส้นทางที่นางกับตี้ชิงกำลังวิ่งอยู่นั้นปลายทางเป็พื้นราบ สามารถหนีออกด้านนอกได้โดยไม่ต้องลดความเร็ว
ตูม!
หลังจากถังเหล่ยกับตี้เชียนเสวี่ยพุ่งออกมาจากถ้ำ ไม่กี่ลมหายใจต่อมาถ้ำที่อยู่ด้านหลังก็พังทลายลงโดยสมบูรณ์
ตี้เชียนเสวี่ยไม่สามารถควบคุมความเร็วได้ ทันทีที่พุ่งออกจากอุโมงค์นางและตี้ชิงก็เกือบพุ่งชนกับก้อนหินขนาดใหญ่ ในเวลาเดียวกันตี้ชิงก็ถูกโยนออกไปอีกด้านหนึ่ง โชคดีที่ตี้ชิงยังสลบอยู่ ไม่เช่นนั้นต้องร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัวอย่างแน่นอน
ถังเหล่ยวิ่งไปยังพื้นที่ปลอดภัย หายใจหอบรุนแรงจากความเหน็ดเหนื่อย เมื่อครู่เขาคนเดียวต่อสู้กับกิ้งก่าเพลิงทั้งฝูงและก็ต้องวิ่งเอาชีวิตรอดไปพร้อมๆ กัน จึงทำให้เสียพลังไปมาก
ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณปกคลุมถังเหล่ยกับตี้เชียนเสวี่ยเอาไว้ เมื่อรอจนฝุ่นสลายหายไปจึงปรากฏหลุมขนาดใหญ่อยู่บนเนินเขา ฝูงกิ้งก่าเพลิงล้วนถูกทับอยู่ด้านล่าง
แม้ว่ากิ้งก่าเพลิงจะไม่ได้ทำผิดอะไรก็ตาม แต่ในเวลานี้พวกมันได้ตายไปพร้อมกับจ้าวยุทธ์ผู้นั้นแล้ว
……