“นั่นสิ กุ้ยฮัวมีชีวิตเหมือนเมล็ดพันธุ์ ไม่ได้อยู่ในดินที่ดี แต่กลับเจริญงอกงาม ตอนนี้สมควรแก่เวลาที่ครอบครัวเ้าจะเจริญแล้ว” ท่านย่าหวงไม่ได้ริษยาที่บ้านจางกุ้ยฮัวมีเงิน ตรงกันข้าม เพราะว่านางมีน้องชายที่ดี ท่านย่าหวงจึงยิ่ง้าคุยเื่หมั้นหมายของหลานชายคนโตให้เรียบร้อย
เมื่อถึงแก่วัยชรา นางย่อมรู้ดีว่าหากใจร้อนจะมิอาจกินเต้าหู้ นางจึงต้องรอให้ครอบครัวหลิวเห็นถึงความดีของหลานชาย เมื่อตระกูลหลิวยอมรับ นางจึงจะเอ่ยเื่การหมั้นหมายได้
“ไปกันเถิด เราอย่ามัวยืนอยู่หน้าประตูบ้านเลย อีกเดี๋ยวฝั่งตรงข้ามแม่น้ำจะมีคนเห็นเข้า ข้าเองก็ไม่ชอบให้คนอื่นมาดูเหมือนละครลิง” ท่านย่าหวงพูดจบก็เดินเข้าไปในตัวบ้านก่อน
จากนั้นคนทั้งหมดก็ตามเข้าไป
“กุ้ยฮัว นี่คือหัวไชเท้าแห้งที่ข้าตากไว้เมื่อปีที่แล้ว อีกเดี๋ยวเ้ากับสะใภ้หลี่ใช้น้ำต้มเดือดแช่ไว้ แล้วเอามาผัดกับเนื้อหมูเค็ม ไม่ต้องใส่เนื้อหมูเค็มมากนัก เลือกส่วนที่มีมันแล้วหั่นบางๆ นำมาผัด เมื่อมีน้ำมันมากพอก็ใส่กระเทียม รสชาติกำลังดี หลานชายคนโตข้ากินข้าวได้ทีสามถ้วยเชียวล่ะ”
ต่อมาเมื่อคิดได้ว่าพูดเช่นนี้คงไม่ดีนัก จะทำให้คนอื่นมองว่าหลานชายเป็คนกินจุได้ ท่านย่าหวงจึงรีบเปลี่ยนคำพูด “มีเพียงอาหารจานนี้ที่ถูกปากเขาจึงกินเยอะ ยามปกติก็เพียงแค่หนึ่งถ้วยกว่า”
หลิวเต้าเซียงและทั้งสามคนมองหน้ากัน ต่างก็เม้มปากยิ้มเบาๆ ท่านย่าหวงรักใคร่หวงเสียวหู่มาก ไม่เคยให้เขาต้องทุกข์ยาก
จางกุ้ยฮัวเห็นเด็กสาวสามคนยืนนิ่งอยู่อีกทาง กลัวว่าพวกนางจะเบื่อ จึงเอ่ย “พวกเ้าสองพี่น้องพาชุ่ยฮัวไปเล่นในห้องเถิด แล้วเก็บกวาดเสียหน่อย วันรุ่งขึ้นจะมีคนมาที่บ้านไม่น้อย แม้ว่าบ้านเราจะยากจน แต่ก็อย่าให้คนอื่นหัวเราะเยาะเอาได้”
หลิวเต้าเซียงรีบตอบและพูดว่า “ท่านพี่ ช่วยข้าจัดการก่อนดีหรือไม่ แล้วเดี๋ยวเราค่อยไปทำความสะอาดที่ห้องท่านพี่”
“เ้าคนเกียจคร้าน คิดว่าข้าไม่รู้หรือ หลังจากกินข้าวเที่ยงเ้าชอบนอนงีบตอนกลางวันเป็ที่สุด” หลิวชิวเซียงกลอกตาใส่นางหนึ่งที
แต่ในใจกลับไม่ได้โมโหแต่อย่างใด แม้ว่าน้องรองจะขี้คร้านไปหน่อย แต่หากครอบครัวไม่ได้นางเป็ที่พึ่งพา แล้วจะมีชีวิตที่ดีอย่างนี้ได้หรือ?
หลิวชิวเซียงนึกถามตัวเอง ถึงจะเป็นางที่โตกว่านี้อีกหลายปี ก็คงไม่อาจทำได้ถึงขั้นนี้
ยิ่งไปกว่านั้นหากเป็เื่เงิน น้องรองของนางไม่เคยตระหนี่ ขอเพียงได้ออกไปที่ตำบลก็มักจะซื้อด้ายแดงหรือไม่ก็ของกิน แม้กระทั่งด้ายที่ใช้เย็บปักและผ้า ก็มักจะเลือกสรรของชั้นดีมาให้
เดิมทีนางรู้สึกเกรงใจ แต่น้องรองกลับมีไหวพริบพอสมควร จึงบอกว่าตนเองที่เป็พี่ต้องฝึกหัดการเย็บปักให้ดี ต่อไปนางจะสวมใส่เสื้อผ้าที่ท่านพี่เย็บให้ทุกวัน หลิวชิวเซียงได้ยินดังนั้นน้ำตาถึงกับคลอเบ้า
นางยังจำได้ว่ามีหนหนึ่งที่หลิวเต้าเซียงกลับมาและเอ่ยด้วยท่าทีเสียดายว่า ในตำบลมีผ้าฝ้ายละเอียดสีชมพูอ่อนลายดอกสีเหลือง นาง้าตัดชุดกระโปรงกับพี่สาวคนละชุด เพียงแต่พวกนางตอนนั้นยังอยู่ที่บ้านเดิม หากว่านำมาทำชุดกระโปรง คงต้องถูกหลิวเสี่ยวหลันขอไปแน่นอน
หากรู้ว่าใช้จ่ายเงินแล้วต้องโมโห สู้ไม่ซื้อกลับมาั้แ่แรกดีกว่า
แม้ว่าจะไม่ได้ตัดชุด แต่หลิวชิวเซียงก็ยังคงนึกถึงความดีงามของน้องสาว
ขณะที่คิด ทั้งสามก็เดินเข้าไปในห้องของหลิวเต้าเซียง
“ชุ่ยฮัว เ้าเป็แขกคนแรกที่เข้ามาในห้องนอนของข้า” หลิวเต้าเซียงมองไปยังเพื่อนที่กำลังตกตะลึง จึงหยอกล้อนาง
หลี่ชุ่ยฮัวตอบอย่างมีความสุขว่า “ข้าบอกแล้วว่า เต้าเซียงดีกับข้าที่สุด เ้ารอก่อนนะ ปีนี้ข้าจะต้องเย็บผ้าเช็ดหน้าให้เ้าสักแปดผืนสิบผืน ให้เ้าได้ใช้ไปจนแก่เฒ่า”
หลิวเต้าเซียงยิ้มอย่างมีความสุข “ถ้าอย่างนั้นข้ารอได้ ชีวิตของข้าช่างดีเหลือเกิน มีสหายรักปักผ้าเช็ดหน้าให้ แล้วยังมีพี่สาวแสนดีตัดชุดให้”
หลิวชิวเซียงและหลี่ชุ่ยฮัวตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน “พวกข้าก็ไม่เสียเปรียบ หากเ้ายังมีหัวใจอยู่ ต่อไปก็เอาของอร่อยให้พวกข้ากินเยอะๆ”
“ข้ารู้ๆ เฮ้อ อยากอู้งานสักหน่อยก็ไม่ได้!” หลิวเต้าเซียงรับปากพร้อมกับหัวเราะร่า รอเพียงครั้งหน้าได้ของอร่อยมา ต้องนำมาปิดปากทั้งสองคน
ทั้งสามคนคุยไปหัวเราะไป จวบจนจางกุ้ยฮัวเรียกให้ทานมื้อเที่ยงจึงวางงานในมือไว้ก่อน ขณะนี้ห้องนอนของหลิวเต้าเซียงนั้นสะอาดเรียบร้อย ในห้องมีกลิ่นหอมของไม้จางๆ ช่างน่าดมเหลือเกิน
หลิวเต้าเซียงยิ้มและบอกว่ากลิ่นหอมนี้ยอดเยี่ยม ไม่จำเป็ต้องเด็ดดอกไม้ป่ามาอีก
หลิวชิวเซียงหัวเราะเยาะนางที่หน้าหนาและคิดว่าตนเองเป็ลูกคุณหนู จากนั้นทั้งสามก็วิ่งเล่นไล่ตีกันจนออกมาจากห้องปีกตะวันออก
หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ พวกนางก็นั่งเบียดกันอยู่บนเตียงของหลิวเต้าเซียง แล้วนอนกลางวันอย่างสบายใจเฉิบ แต่ก็ยังกังวลว่าห้องนอนของหลิวชิวเซียงจะเก็บไม่เรียบร้อยดี สักพักใหญ่จึงลุกขึ้นมาช่วยกันเก็บกวาด จากนั้นก็ถึงเวลาอาหารค่ำ
ยุคสมัยนี้งานเลี้ยงไม่ได้กินมื้อเดียว นี่ปะไร ่อาหารค่ำคนยังมากันมากมาย ต่างก็เป็คนที่มาช่วยงานล่วงหน้า และคนที่มาช่วยเตรียมทำกับข้าว รวมถึงนายช่างเหล็กก็พาลูกชายมานั่งร่วมโต๊ะด้วย
ทันทีที่ถึงเวลาอันเป็มงคล ครอบครัวหลิวก็ยืนจุดประทัดหน้าบ้าน สองสามีภรรยาหลิวต้าฟู่และหลิวฉีซื่อก็พาหลิวเสี่ยวหลันกับหลิววั่งกุ้ยมาเวลานี้พอดี
“โอ้ พี่สาม บ้านท่านจัดงานเลี้ยงเหตุใดจึงไม่บอกกล่าวกัน หากท่านแม่ไม่ได้ยินจากคนในหมู่บ้าน ก็คงไม่ได้มาแล้ว!”
เสียงของนางปนมากับเสียงะโนำอาหารตั้งโต๊ะ ทำให้เสียงนั้นได้ยินชัดเจน และดึงดูดความสนใจของคนเป็พิเศษ
ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงนี้ หลิวเต้าเซียงนึกอยากพุ่งเข้าไปอัดนางสักสองที!
หลิวเต้าเซียงกำลังถือกะละมังน้ำสกปรกเดินผ่านมาพอดี จึงกลอกตาแล้วหันไปเอ่ยถามหลิวต้าฟู่ “ท่านปู่ ข้าจำได้ว่าท่านพ่อบอกกับท่านแล้วว่าเชิญท่านมาร่วมงาน ท่านบอกเองว่าจะมาร่วมงานเวลาอาหาร ทว่าในเมื่อมาแล้ว ปู่กับย่าก็ต้องนั่งร่วมโต๊ะเ้าภาพ”
ที่หมู่บ้านสามสิบลี้นั้นเวลาจัดงานเลี้ยงต้องจัดทั้งหมดสามวัน วันแรกเป็การทานอาหารค่ำ ซึ่งเป็การเตรียมงานล่วงหน้าและคำนวณว่าวันรุ่งขึ้นจะมีคนมาร่วมงานเลี้ยงอาหารเป็จำนวนเท่าใด จะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองมากนัก เมื่อถึงวันรุ่งขึ้นในมื้อเที่ยงจะเป็งานเลี้ยงหลัก ส่วนมื้อค่ำสำหรับเพื่อนบ้านใกล้เคียง ญาติมิตร กระทั่งถึงตอนเช้าของวันที่สามก็จะเชิญสหายมานั่งเพียงไม่กี่โต๊ะ เมื่อทานอาหารกันพอประมาณ ที่เหลือก็จะแบ่งห่อให้ญาติมิตรสหายนำกลับบ้าน
เดิมทีใบหน้าของหลิวฉีซื่อนั้นหมองคล้ำ แต่เมื่อได้ยินคำพูดสุดท้ายของหลิวเต้าเซียงในการร่วมโต๊ะเ้าภาพ จึงจัดผ้าคลุมสีซีอิ๊วตัวใหม่เล็กน้อย ก่อนจะเชิดคางและให้ชุ่ยหลิวช่วยพยุงแขนเดินเยื้องย่างเข้ามา
หลิวเต้าเซียงเห็นแล้วอยากหัวเราะ เพราะหลิวต้าฟู่ที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิวฉีซื่อนั้นราวกับเป็คนติดตาม
“ท่านพ่อ ปู่กับย่ามาแล้ว”
ขณะนั้นหลิวซานกุ้ยกำลังช่วยจัดถ้วยชามพอดี เมื่อหันไปมองตามเสียงจึงรีบวางงานที่ทำไว้ก่อน จากนั้นเร่งฝีเท้าเข้าไปต้อนรับ “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านมาแล้วหรือ?”
หลิวฉีซื่อทำหน้าบึ้งตึง “ฮึ เ้าคงไม่อยากให้เรารู้ กลัวจะเสียเปรียบให้คนในครอบครัวสินะ”
นางพูดแบบนี้ กระทั่งคนในหมู่บ้านก็ไม่ชอบฟัง มีแม่บ้านที่นึกหมั่นไส้จึงตั้งใจจะปะทะกับนาง แต่คนรอบข้างรีบดึงแขนเสื้อไว้ เป็สัญญาณให้อดทนไว้หน่อย วันนี้เป็วันดีของครอบครัวหลิวซานกุ้ย ไม่ควรทำให้เป็เื่
วันนี้เป็วันดี หลิวซานกุ้ยไม่้าทะเลาะกับหลิวฉีซื่อจนหน้าดำหน้าแดง ด้วยเหตุนี้จึงไม่ตอบ และหันไปเอ่ยกับหลิวต้าฟู่ “ท่านพ่อ ท่านกับท่านแม่ไปนั่งที่โต๊ะเ้าภาพก่อน ทางนั้นมีหลี่เจิ้งกับท่านป้าหวงนั่งอยู่ด้วย!”
หลิวเสี่ยวหลันมองไปรอบๆ ในสายตายังคงเผยถึงความเยาะเย้ย ลำพังบ้านที่เก่าผุพังเช่นนี้ ไม่เห็นจะมีมูลค่าถึงร้อยตำลึง เกรงว่าจางกุ้ยฮัวยังคงกำเงินไว้แน่น เช่นนั้นไม่ได้การ นางต้องเกลี้ยกล่อมให้ท่านแม่ อาศัยตอนที่ครอบครัวนี้ยังไม่ได้ใช้เงินออกไป รีบเอาเงินมาให้ได้
“ท่านแม่ กำแพงบ้านพี่สามก่อได้ดียิ่งนัก ได้ยินมาว่า หินร่วนนี้ก็ออกเงินซื้อมา”
หลิวฉีซื่อมองไปที่กำแพงบ้านรอบทิศ ว่ามิได้ เพราะใช้ดินเหลืองฉาบกับหินร่วน จึงทำให้กำแพงดูดีกว่าบ้านของนางไม่น้อย
นางแอบกัดฟันและกระซิบว่า “เดี๋ยวข้าจะให้นางตัวดีนั่นคายเงินออกมาให้ได้”
หลิวเต้าเซียงใช้สายตาจ้องมองทั้งสองคนอย่างถมึงทึง นี่ไม่เห็นว่านางมีตัวตนเลยหรือ?
ยังไม่พอใจ แล้วยังกล้าเล็งเงินสินเ้าสาวของมารดานาง เชอะ ฝันกลางวันฤดูใบไม้ผลิไปเถิด
รอดูกันต่อไป!
หลิวซานกุ้ยที่เดินนำอยู่ชะงักฝีเท้าเล็กน้อย ขณะที่หลิวต้าฟู่หันไปดูด้านข้าง
ท้ายที่สุดแล้วหลิวซานกุ้ยก็เดินนําครอบครัวไปที่โต๊ะหลัก มีเพียงหลี่เจิ้งและผู้เฒ่าสองสามคนนั่งอยู่ที่นั่น มีหม้อไฟขนาดเล็กตั้งอยู่บนโต๊ะ ซึ่งเป็อาหารที่ท่านย่าหวงช่วยคิดขึ้นมาให้ เป็เนื้อหมูเค็มผัดหัวไชเท้าแห้ง เมื่อกลิ่นลอยมาช่างหอมหวนยิ่งนัก
“หลีกทางหน่อย น้ำแกงมาแล้ว เต้าหู้สี่สมบัติ!”
เตาทำอาหารตั้งอยู่ที่ลานบ้าน ขณะนั้นมีหญิงชราที่พาดผ้าขนหนูไว้บนบ่าเดินเข้ามา กระแอมเสียงดังเพื่อเป็การเตือนให้ผู้ที่พาเด็กน้อยมาด้วยให้ระวัง อย่าได้ชนกับคนที่กำลังนำอาหารมาวาง อาหารเสียไปนั้นเื่เล็ก แต่หากเด็กถูกความร้อนลวกจะเป็เื่ใหญ่
ในขณะนั้นเองไม่รู้ว่าท่านย่าหวงโผล่ออกมาจากไหน ได้คว้ามือของหลิวฉีซื่อพร้อมกับหัวเราะแล้วเอ่ย “ข้ายังคิดว่าเ้าจะไม่มาเสียอีก ได้ยินว่าไปหมู่บ้านข้างๆ ไม่เสียแรงที่เป็แม่ซานกุ้ย อย่างน้อยก็ยังจำงานสำคัญของลูกได้ มาๆๆ พวกท่านชายทั้งหลายนั่งด้วยกันน่าเบื่อออก เราไปนั่งฝั่งนั้น มีแต่แม่เฒ่า กำลังคุยกันสนุกสนานเลยล่ะ!”
จากนั้นก็ดึงหลิวฉีซื่อไปที่โต๊ะโดยไม่รีรอ โต๊ะฝั่งนั้นมีหญิงชรานั่งอยู่ด้วยกันหลายคน น่าจะเป็ผู้าุโในหมู่บ้าน เมื่อมีท่านย่าหวงข่มอยู่เหนือศีรษะ หลิวฉีซื่อเองก็ไม่กล้าก่อเื่
หลิวเสี่ยวหลันเห็นว่าหลิวต้าฟู่นั่งอยู่ที่โต๊ะเ้าภาพ ส่วนหลิววั่งกุ้ยก็นั่งอยู่ข้างบิดาโดยไม่รอให้ใครเชิญ นางเห็นดังนั้นจึงดึงแขนเสื้อของเขา “พี่สี่ ไปนั่งโต๊ะที่คนน้อยเป็เพื่อนข้าหน่อย”
หลิววั่งกุ้ยไม่สนใจนางจึงค่อยๆ สะบัดแขนเสื้อ แล้วปัดมือของหลิวเสี่ยวหลันออก ก่อนจะมองไปที่ชุ่ยหลิว “เ้าพาคุณหนูไปนั่งที่โต๊ะ ดูแลคุณหนูให้ดี อย่าให้นางหิว”
การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ก่อนหน้านี้ของเขา คนอื่นอาจดูไม่ออก แต่อยู่ในสายตาของชุ่ยหลิวทั้งหมด จึงรู้ว่าคุณชายสี่ไม่ชื่นชอบคุณหนูห้า
นางรีบตอบรับก่อนจะพาหลิวเสี่ยวหลันไปนั่งที่โต๊ะงานเลี้ยงอีกด้านหนึ่ง
หลิวเต้าเซียงเห็นดังนั้นจึงโล่งอก ขณะนั้นหลิวชิวเซียงหาโอกาสเดินมาหานางแล้วทอดถอนใจ “โชคดีที่มีท่านย่าหวงช่วยข่มไว้ มิฉะนั้น ท่านย่าคงอาละวาดขึ้นมาแน่ ไม่รู้ว่านางแสร้งไม่รู้หรืออย่างไร ทั้งที่น้าชายก็เขียนชัดเจนในจดหมายว่า เงินนั้นเอามาเสริมกับเงินสินเ้าสาวของท่านแม่เรา ต่อมาข้าเคยได้ยินจากพี่หูจื่อว่า สินเ้าสาวของท่านแม่ ขอเพียงนางถือไว้ ท่านย่าก็อย่าได้คิดจะเอาไปแม้แต่แดงเดียว”
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าในมือของมารดามีเงินมากเกินไป ไม่น่าวางใจ “ท่านแม่ใจอ่อนเกินไป หลังจากงานเลี้ยง ต้องรีบให้ท่านแม่ซื้อพันธุ์หมูกับลากลับมา”
“หลังอาหารค่ำวันพรุ่งนี้ เราค่อยคุยกับท่านพ่อท่านแม่” สองพี่น้องคิดเหมือนกันว่า เงินทองต้องเปลี่ยนเป็ทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้ชื่อของจางกุ้ยฮัวเท่านั้น จึงจะรับประกันได้ว่าหลิวฉีซื่อไม่สามารถนำเื่ ‘ตอบแทนคุณ’ มาพูดอย่างบังอาจได้อีก
-----
