ฉินซีอาศัยประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากชาติที่แล้ว แสดงถึงการฝึกมาเป็อย่างดีในตอนถ่ายภาพฟิตติ้ง ไม่ว่าจะเป็การโพสท่าหรือการใช้สายตา ช่างภาพก็เก็บภาพไปได้สบายๆ รอจนถ่ายเสร็จเป็ที่พอใจ สวี่เทาก็พูดสรุปขึ้นมาทันทีว่า ให้เจี่ยงถิงเฟิง เถาเซียงและฉินซีไปถ่ายภาพฟิตติ้งด้านนอกต่อ
เมื่อผ่านไปแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ 2 วัน การถ่ายภาพฟิตติ้งก็ปิดม่านลง
และเพราะตอนที่ฉินซีถ่ายภาพอยู่นั้น ได้ทำให้ทีมหลายคนตะลึงในความงามจนอดใจแอบถ่ายภาพอัปโหลดลงบนอินเทอร์เน็ตไม่ได้ บังเอิญว่าเป็่ที่ข่าวการถ่ายทำกระบี่เย้ยยุทธจักรกำลังเป็ที่พูดถึงอยู่พอดี ภาพของฉินซีบนเวยป๋อ[1] จึงมีจำนวนคนแชร์ออกไปไม่น้อย ทว่าบางคนก็คิดว่าเขาเพียงแต่งคอสเพลย์[2] เท่านั้น
ฉินซีไม่ค่อยได้เล่นเวยป๋อ จึงไม่รู้ว่าภาพของตัวเองถูกอัปโหลดออกไปแล้ว เขาเตรียมสัมภาระสำหรับออกไปถ่ายละครกับกองถ่ายไว้เรียบร้อยนานแล้ว เขาไปคนเดียว ไม่มีผู้จัดการ ไม่มีผู้ช่วย ลำบากถึงขนาดต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง
ฉินซีรู้ว่าข้อจำกัดแบบนี้จะเป็อุปสรรคต่อการเจริญเติบโตในวงการบันเทิง แต่ถ้ายังหาบริษัทที่เหมาะสมไม่ได้ ก็ทำได้เพียงค่อยๆ เป็ค่อยๆ ไปแบบนี้ ถ้ารีบร้อนเกินไปก็อาจผิดพลาดอย่างครั้งก่อนหน้า ถูกหลอกแล้วก็ยังไม่รู้ตัว
กระบี่เย้ยยุทธจักรถูกกำหนดให้เปิดกล้องในวันที่ 12 มิถุนายน ฉินซีกังวลว่าตัวเองไปคนเดียวจะไปไม่ถูกที่ เขาจึงไปขอสวี่เทาออกเดินทางพร้อมคนกลุ่มใหญ่ของกองถ่ายในวันที่ 11 เอาไว้แล้ว
ไม่นานก็มาถึงวันที่ 10 มิถุนายน ฉินซีคาดว่าสถานที่สำหรับถ่ายทำน่าจะค่อนข้างลำบาก ก่อนออกเดินทางหนึ่งวันจึงคว้ากระเป๋าตังค์แล้วออกไปหาร้านอาหารประเภทบุฟเฟ่ต์ร้านหนึ่ง ตั้งใจว่าจะปลอบประโลมกระเพาะของตนให้ดีเสียหน่อย รอจนเขาจ่ายเงินและยกถาดอาหารเตรียมเบียดเข้าไปในกลุ่มคนเพื่อแย่งชิงอาหาร จู่ๆ โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น
ฉินซีนำโทรศัพท์มือถือออกมาด้วยมือเดียว และกดรับสายในทันทีโดยไม่ดูให้ละเอียดว่าใครโทรเข้ามา “ฮัลโหล สวัสดีครับ ตอนนี้ผมไม่ค่อยสะดวกรับสาย ถ้ามีเื่ด่วนอะไร อีกสักครู่ผมจะโทรกลับไปนะครับ”
“ไม่สะดวก?” น้ำเสียงปลายสายค่อนข้างเ็า เมื่อได้ยินเสียงที่กระทบโสตประสาท ฉินซีก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมากะทันหัน “จะไม่เอาโทรศัพท์มือถือคืนแล้วเหรอ?” ปลายสายถามอีกครั้ง
โทรศัพท์มือถือของฉัน?
แต่ละฉากความทรงจำในสมองของฉินซีย้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ “คุณเฉิน โทรศัพท์ของผมอยู่กับคุณเหรอครับ?”
“นายทำตกเอาไว้บนรถ ฉันคิดว่านายจะรีบติดต่อมาเสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่า… นายจะเปลี่ยนซิมการ์ดใหม่อย่างไร้สุ้มเสียง แม้แต่โทรศัพท์มือถือก็ยังไม่มาเอาคืน” น้ำเสียงของเฉินเจวี๋ยไม่ได้นุ่มนวลอะไร เกรงว่าหากคนอื่นมาได้ยินเข้า ก็เข้าใจผิดไปว่าเขากำลังโมโห แต่ฉินซีรู้ดี คนอย่างเฉินเจวี๋ยไม่มีทางจะรู้สึกรู้สาอะไรกับเื่แค่นี้
และที่เฉินเจวี๋ยติดต่อมาหาเขาเพราะโทรศัพท์มือถือเครื่องเดียว นั่นก็มีความเป็ไปได้อย่างเดียวเท่านั้น… เพราะเห็นคลิปวิดีโอในโทรศัพท์เข้าให้แล้ว!
ศีรษะของฉินซีชื้นเหงื่อที่เกิดจากความกังวล เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นและพยายามกดน้ำเสียงไว้ไม่ให้ผิดสังเกต “ผมคิดว่าโทรศัพท์มือถือหายไป คงหาไม่เจอแล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจน่ะครับ”
“แล้วตอนนี้ยังจะเอาอยู่ไหม?” เฉินเจวี๋ยย้ำถามอีก
เอาอยู่ไหม? ไม่เอาเหรอ?
แน่นอนว่าต้องเอากลับมาสิ! ‘หลักฐาน’ แบบนั้นไม่ควรอยู่ในมือของคนอย่างเฉินเจวี๋ยเลย!
“ไม่ทราบว่าคุณเฉินจะสะดวกตอนไหนครับ ผม… ผมจะเข้าไปเอาครับ” ฉินซีพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง
ทางฝั่งเฉินเจวี๋ยไม่ได้พูดอะไรออกมาเป็นาที ฉินซีก็ไม่กล้าวางสาย กระทั่งเสียงพลิกกระดาษดังขึ้นจากฝั่งนั้น เขาถึงได้ยินเสียงของเฉินเจวี๋ยจากปลายสายอีกครั้ง “ตอนนี้ก็แล้วกัน ไปรอฉันที่ร้านอาหารตะวันตกถนนชิงหยาง 17”
“ตอนนี้เหรอครับ?” ฉินซีใไปเล็กน้อย ก่อนจะคิดขึ้นว่า เมื่อสักครู่เฉินเจวี๋ยคงจะดูตารางเวลาของตัวเอง และมีเพียง่นี้เท่านั้นที่พอจะมีเวลาว่าง ฉินซีถอนหายใจออกมา พอดีเลย พรุ่งนี้เขาก็ต้องไปที่อื่นกับกองถ่ายแล้ว “โอเคครับ เดี๋ยวผมจะไปเดี๋ยวนี้เลย”
“อืม” เฉินเจวี๋ยวางสายไป เมื่อฉินซีได้สติกลับมา ก็พบว่าในมือยังถือถาดอาหารอยู่ เอาเถอะ... ดูเหมือนว่าบุฟเฟ่ต์มื้อนี้คงต้องพับไปก่อน หลังจากนี้สักพักไปนั่งทานอาหารตะวันตกกับเฉินเจวี๋ย ก็รู้อยู่แล้วว่าคงต้องกระอักกระอ่วนจนกลืนอาหารไม่ลงแน่
เฉินเจวี๋ยเป็คนที่มีเื่มากมายให้จัดการในทุกๆ วัน หลังจากฉินซีนั่งรถเมล์มาถึง ก็ยังไม่เห็นเงาของเฉินเจวี๋ย แม้แต่รถเบนท์ลี่ย์สีดำคันนั้นก็ไม่มีจอดให้เห็น ฉินซีเดาว่าคงอีกสักพักกว่าเขาจะมาถึง จึงเข้าไปในร้านอาหารตะวันตกก่อน พนักงานหน้าร้านอาหารตะวันตกโค้งกล่าวต้อนรับ ก่อนจะถามขึ้น “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าได้จองเอาไว้หรือเปล่าครับ?”
อ่า... ดูเหมือนว่าร้านอาหารตะวันตกระดับสูงจะต้องจองก่อนมา… ฉินซียังคิดไม่ออกว่าควรตอบอย่างไรดี จู่ๆ พนักงานคนนั้นก็มองมาที่เขาด้วยสีหน้าแจ้งกระจ่าง “อ้อ คุณคือเพื่อนของคุณเฉินใช่ไหมครับ?”
ฉินซีพยักหน้า
พนักงานกระตือรือร้นขึ้นมาไม่น้อย “พวกเราจัดที่ไว้ให้คุณเฉินเรียบร้อยแล้วครับ คุณมาลองดูก่อนได้เลยครับ ว่าถูกใจที่นั่งตรงนี้มั้ย”
ฉินซีเดินตามพนักงานคนนั้นไปถึงมุมที่ถูกต้นไม้ในกระถางปิดบังไปกว่าครึ่ง บริเวณนี้วางโซฟาสีแดงเอาไว้ 2 ชุด มองดูนุ่มนิ่ม แต่ราคาคงไม่ธรรมดา อีกทั้งบนโต๊ะยังมีเทียนจุดเอาไว้ สภาพแวดล้อมเงียบสงบมาก แต่ฉินซีกลับรู้สึกว่าบรรยากาศดูแปลกๆ ชอบกล
เมื่อพนักงานเห็นว่าเขาไม่พูดอะไรก็รีบเข้ามาอธิบาย “คุณเฉินชอบสถานที่เงียบๆ น่ะครับ พวกเราก็เลยตั้งใจจองที่ตรงนี้ไว้ให้คุณเฉิน”
ถ้าเฉินเจวี๋ยชอบ แน่นอนว่าฉินซีก็ไม่อาจพูดอะไรได้ อย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนจ่ายเงิน จึงไม่มีสิทธิ์เื่มาก
ฉินซีนั่งลง พนักงานนำน้ำเปล่าแก้วหนึ่งมาวางลงตรงหน้าฉินซี จากนั้นก็เดินถอยออกไป
ฉินซียกแก้วน้ำขึ้นมาเพื่อจะดื่ม ทว่าเขากลับสังเกตเห็นคู่รักตรงหน้าเข้า ทุกการกระทำจึงชะงักงันไป
...เดี๋ยวก่อนนะ ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าบรรยากาศมันแปลกไปตรงไหน สภาพแวดล้อมแบบนี้ การจัดวางแบบนี้ มันเหมือนกับดินเนอร์ใต้แสงเทียนของคู่รักไม่มีผิดเลยนี่? พนักงานคนนั้นคงไม่ได้ตั้งใจจัดเตรียมมาใช่ไหม? พนักงานเข้าใจความสัมพันธ์ของตัวเขาและเฉินเจวี๋ยผิดไปหรือเปล่า? ไม่ๆๆ ในประเทศเราไม่ได้เปิดกว้างขนาดจะยอมรับคู่ชายรักชายได้ขนาดนั้น! คนทั่วไปก็คงจะรู้สึกว่าพวกเขาเป็แค่เพื่อนกันเท่านั้น...
ฉินซีรู้สึกกระอักกระอ่วนเป็อย่างมาก
เขานั่งอยู่เกือบจะครึ่งชั่วโมง ในที่สุดเฉินเจวี๋ยก็มาถึง
วันนี้เฉินเจวี๋ยสวมชุดสูทสีดำดูเหมือนว่าจะเพิ่งออกมาจากบริษัท ที่ด้านหลังไม่มีบอดี้การ์ดตามมาด้วย ถ้ามองข้ามสีหน้าเรียบเฉยและความสูงส่งรอบตัวไป เขาก็ดูไม่ได้ต่างจากคนมีเงินทั่วไปนัก
เฉินเจวี๋ยเข้ามานั่งด้านในโซฟา ในระหว่างนั้นเขาก็ขมวดคิ้วฉับ ฉินซีอดส่งเสียงถามไม่ได้ “เป็อะไรไปเหรอครับ?”
เฉินเจวี๋ยพยายามเก็บขาเข้าไป “ไม่มีอะไร”
ฉินซี “...” เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าขาของเฉินเจวี๋ยยาวเกินไป หากจะต้องนั่งโซฟาและม้วนขาเข้าไปใต้โต๊ะ ก็ค่อนข้างลำบากอยู่
“พวกเรา… เปลี่ยนที่นั่งกันดีไหมครับ?” เดิมทีคนที่จ่ายค่าอาหารมื้อนี้ก็คือเฉินเจวี๋ย ฉินซีไม่ควรจะเป็คนพูดเื่นี้ขึ้นมา
เฉินเจวี๋ยไม่ได้พูดอะไร เขาพิงตัวไปกับพนักพิงของโซฟา แล้วหลับตาลงนวดขมับ ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้เขาคงต้องจัดการงานไม่น้อย ดังนั้นถึงได้แสดงท่าทางเหนื่อยล้าเช่นนี้
ในตอนนั้นฉินซียิ่งรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่ใช่เพียงเพราะคำถามของเขาไม่ได้รับคำตอบกลับ แต่เขายังไม่อยากเห็นด้านนี้ของเฉินเจวี๋ยเลย นี่ทำให้คนรู้สึกกังวลขึ้นมาได้ คนอย่างเฉินเจวี๋ยจะมาเปิดเผยความรู้สึกต่อหน้าคนแปลกหน้าอย่างเขาง่ายๆ ได้อย่างไร
เฉินเจวี๋ยวางมือลง พลางถามฉินซี “นายชอบที่นั่งตรงไหน?”
“หืม? ผมเหรอ?” ฉินซีนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะกวาดสายตาไปทั่วห้องอาหาร “ใกล้หน้าต่างก็แล้วกันครับ ผมชอบที่สว่างๆ”
เฉินเจวี๋ยพยักหน้า ก่อนจะเรียกพนักงานมาเปลี่ยนที่นั่งให้พวกเขา
ฉินซีไม่เข้าใจว่าทำไมเฉินเจวี๋ยถึงดีกับเขาขนาดนี้ แต่ก็ทำได้เพียงเก็บความสงสัยไว้ และย้ายไปนั่งที่ใหม่ใกล้หน้าต่างกับเฉินเจวี๋ยอีกครั้ง
“โทรศัพท์มือถือของนาย” ยามที่เฉินเจวี๋ยพูดต่อหน้าจริงๆ กลับพูดสั้นๆ กระชับกว่าในสายโทรศัพท์มากนัก เมื่อรวมกับน้ำเสียงเรียบเฉยก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชาติที่แล้วถึงมีคนจำนวนไม่น้อยบอกว่าเขา ‘ชอบกับเกลียดไม่แตกต่าง เข้าใกล้ได้ไม่ง่าย’
เฉินเจวี๋ยแบมือข้างที่ถือโทรศัพท์ออก
ฉินซีเห็นว่าเขาไม่ได้ทำอะไรต่อ จึงเป็ฝ่ายยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือมา
โทรศัพท์มือถือของเขาปลอดภัยดีไม่มีอะไรเสียหาย อีกทั้งยังถูกชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มอีก ในความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ นี้ ทำเอาฉินซีประหลาดใจไปเล็กน้อย
เฉินเจวี๋ยเรียกพนักงานเข้ามาเพื่อสั่งอาหาร รอจนพนักงานหมุนตัวออกไป จู่ๆ เขาก็เปิดปากโจมตีฉินซีขึ้นมา “ฉันเห็นคลิปวิดีโอในโทรศัพท์แล้ว”
เห็นแล้วจริงๆ ด้วย! หัวใจของฉินซีพลันเต้นระรัว
“นายกล้ามากจริงๆ” ยิ่งเขาพูดจาไร้อารมณ์ ฉินซีก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าคำพูดของเขามีความหมายอย่างไรกันแน่
ฉินซีพยายามทำความเข้าใจจนรู้สึกปวดหัว แต่ก็ไม่กล้าจะพูดอะไรกับเฉินเจวี๋ยต่อ จึงได้แต่ปิดปาก ก้มหน้า ดื่มน้ำ ทำเป็ไม่ได้ยิน...
เมื่ออาหารถูกนำมาเสิร์ฟ และเห็นว่าฉินซีนิ่งเงียบไป เฉินเจวี๋ยก็ไม่ได้โมโห แต่กลับพูดต่อ “บริษัทที่สามารถเปิดมาได้หลายปีอย่างเทียนหม่าหยูเล่อ นายคิดว่าพวกเขาจะไม่มีเื้ัเลยเหรอ?” และประโยคนี้ก็ทำให้สันหลังของฉินซีพลันเย็นวาบ
ความจริงฉินซีก็เคยคิดเื่นี้มาก่อน แต่เขาก็ไม่สามารถครุ่นคิดให้มากขนาดนั้นได้นัก ในเมื่อคิดทางที่ดีกว่านี้ไม่ได้ และอย่างไรเขาก็เป็เพียงคนธรรมดา ดังนั้นจึงทำได้แค่เสี่ยงอันตรายเพื่อจัดการกับบริษัทเทียนหม่าหยูเล่อเท่านั้น ถ้าไม่ปลาตาย แหก็ต้องขาด แต่ว่าเื้ัของเทียนหม่าหยูเล่อ… คือใครกันแน่?
“หน้าของนายจะลงไปในจานแล้ว”
ฉินซีใสะดุ้งเฮือกจนรีบเงยหน้าขึ้นมา และบังเอิญสบเข้ากับสายตาของเฉินเจวี๋ยพอดี ทั้งสงบทั้งเยือกเย็น แต่รู้สึกว่าในชั่วพริบตานั้น ราวกับเห็นรอยยิ้มแฝงอยู่ในนั้น
รอยยิ้มนั้นทำให้จิตใจของฉินซีสงบลงอีกครั้ง นี่เขาร้อนรนอะไรอยู่? แม้จะมีเื้ัแต่ก็ไม่อาจหาตัวเขาพบ นอกจากเฉินเจวี๋ยแล้ว จะมีใครได้อีกว่าเขาเป็คนอัปโหลดคลิปวิดีโอนั่น? ถ้าเฉินเจวี๋ยจะพูดออกไปก็คงไม่เอาโทรศัพท์มือถือมาคืนเขาหรอก
“ทานอะไรสักหน่อยเถอะ” ความเ็าบนใบหน้าของเฉินเจวี๋ยจางลงเล็กน้อย เขาเทไวน์แดงลงในแก้วด้วยตัวเอง ก่อนจะวางมันลงข้างมือของฉินซี “เื่วิดีโอ ฉันช่วยนายจัดการไปแล้ว เอาโทรศัพท์มือถือกลับไป แล้วถือว่าเื่นี้ไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน”
ดวงตาของฉินซีวาบประกายขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินเฉินเจวี๋ยจะพูดอะไรแบบนี้
“นายไปเซ็นสัญญากับบริษัทเทียนหม่าหยูเล่อได้ยังไง?” เฉินเจวี๋ยดูมีความเป็ผู้ดีสูง แต่กลับไม่ได้ติดเื่ห้ามพูดคุยระหว่างทานอาหาร เขาชอบการค่อยๆ ทานอาหารไปพร้อมกับพูดคุยอย่างไม่รีบไม่ร้อน และไม่ได้สนใจว่าคนตรงหน้าจะถูกท่าทางของเขาทำเอาสั่นสะท้านด้วยความกลัวไปแล้ว
“ก่อนหน้านี้ไม่รู้เื่น่ะครับ ก็เลยเซ็นสัญญาไปแบบโง่ๆ หลังจากนั้นถึงได้รู้ว่าในสัญญามีบางอย่างผิดปกติ”
“ดังนั้นก็เลยคิดวิธีนี้ขึ้นมายกเลิกสัญญา?” ดูเหมือนว่าเฉินเจวี๋ยจะอ่านใจฉินซีได้หมดแล้ว
สิ่งที่ตัวเขาคิดได้ เฉินเจวี๋ยเองก็สามารถคิดได้ ภายในใจของฉินซีรู้สึกราวกับว่ามีคนมาััจุดที่ลึกที่สุดในจิตใจ ความรู้สึกประหลาดนี้คืออะไรกัน เขาฝืนคอที่แข็งเกร็งพยักหน้าลงอย่างอึดอัด
“...วงการบันเทิง ไม่เหมาะกับนาย” เพราะเฉินเจวี๋ยไม่ค่อยอยากอาหารนัก จึงทานเข้าไปง่ายๆ เพียงไม่กี่คำ แล้วรวบช้อนส้อมลง เขาขมวดคิ้วยืดตัวขึ้นพร้อมใช้มือซ้ายจัดสูทตัวนอก และพูดออกมาราวกับ้าแนะนำฉินซี
สีหน้าของฉินซีค่อยๆ เปลี่ยนไป และไม่ได้พูดอะไรออกมา คำพูดนี้ของเฉินเจวี๋ยถือว่าแตะถูกจุดอันตรายของเขาเข้าแล้ว เมื่อชาติก่อน คนข้างกายที่บอกว่าเขาทำอะไรเกินตัวมีมากตั้งมากมาย แต่เขากลับแสดงถึงความขุ่นเคืองนั้นไม่ได้! คนมีเงินนี่นะ พวกคนมีเงินนี่นะ… รอให้เขามีเงินบ้างแล้ว เขาถึงจะมีสิทธิ์ไปโมโหคนอื่นได้
เฉินเจวี๋ยไม่ได้ยินฉินซีตอบกลับใดๆ ในใจคิดว่าอีกฝ่ายคงกำลังเสียใจ ดังนั้นเลยออกไปรูดบัตรจ่ายเงิน และจากออกไปก่อน
ความจริงเฉินเจวี๋ยยังมีอีกครึ่งประโยคที่ไม่ได้พูดออกมา
“เพราะอารมณ์ของนายรุนแรงเกินไป หากอยู่ในวงการบันเทิงโดยไม่มีคนดูแลจะลำบากเอาได้ ฉันยื่นมือเข้าไปช่วยนายครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าหลังจากนี้จะมีคนมาคอยช่วยนายตลอด”
เฉินเจวี๋ยเดินออกมาจากห้องอาหารตะวันตก ก่อนจะขึ้นไปนั่งในรถ
หืม? เมื่อสักครู่ฉันพลาดอะไรไปหรือเปล่า? คุณเฉินพลาดไปแล้วครึ่งประโยคจนทำให้ฉินซีโมโหขึ้นมา
……
[1] เวยป๋อเป็โซเซียลมีเดียหนึ่งของจีน
[2] คอสเพลย์คือการแต่งตัวเลียนแบบตัวละครจากการ์ตูน เกม ศิลปิน กระทั่งตัวละครจากภาพยนตร์หรือซีรีส์เื่ต่างๆ