คำพูดสบายๆ ของมู่จื่อหลิง ทำให้หลงเซี่ยวเจ๋อรู้สึกสับสนเมื่อได้รับฟัง
ในยามที่พวกเขาได้ยินการระบายความโกรธของฮองเฮาเมื่อไม่นานมานี้ ดูเหมือนว่าเป็เพราะการหายตัวไปของมามาผู้นั้น
ซุนมามาเป็มือขวาของฮองเฮา และยามนี้มือขวาของนางหายตัวไป ฮองเฮาย่อมต้องโกรธเป็ธรรมดา
แต่เหตุใดซุนมามา ถึงหายตัวไปโดยไร้เหตุผล?
เป็ไปได้ไหมว่าการหายตัวไปของซุนมามา จะเกี่ยวข้องกับพี่สะใภ้สามของเขา? วันนี้เขาพลาดอะไรดีๆ ไปหรือเปล่า?
การเคลื่อนไหวในการกินของหลงเซี่ยวเจ๋อช้าลงโดยไม่รู้ตัว มือของเขาแตะค้างอยู่ตรงคาง ในใจของเขามีการคาดเดาที่ยังเลือนรางอยู่
หากเป็มู่จื่อหลิงที่ลงมือทำจริงๆ เช่นนั้นนางก็สุดยอดมากแล้ว สามารถก่อเหตุฆาตกรรมในตำหนักคุนหนิงได้ ทั้งยังเป็มามาคนโปรดที่สุดของฮองเฮา
แต่เมื่อดูจากสถานการณ์นี้แล้ว มู่จื่อหลิงจะต้องทำสำเร็จแล้วเป็แน่
ครั้งที่แล้ว การกระทำเล็กน้อยของมู่จื่อหลิงทำให้ตำหนักโซ่วอันร้อนรน ทำให้ไทเฮาเฒ่าไม่สามารถนอนหลับได้อย่างสงบสุขทั้งวัน
ยามนี้เป็เพียงการเปลี่ยนสถานที่สำหรับการฆาตกรรม ตำหนักโซ่วอันและตำหนักคุนหนิงก็ไม่ได้ดูแตกต่างกันเลย
ยิ่งหลงเซี่ยวเจ๋อคิดเื่นี้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งเสียใจมากขึ้นเท่านั้น หากเขารู้เื่นี้ก่อนหน้านี้ เขาจะไม่ออกไปเที่ยวเล่นเพียงลำพังในวันนั้น เพราะการติดตามพี่สะใภ้สามของเขาดูน่าสนุกกว่าการออกไปเที่ยวเล่นเพียงลำพังเสียอีก!
แต่...การที่มู่จื่อหลิงกล่าวออกมาเช่นนี้ นับเป็การยอมรับกับฮองเฮาไม่ใช่หรือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับซุนมามานั้นเป็ความผิดของนาง? มู่จื่อหลิง้าเล่นกลอุบายอันใดกับฮองเฮากันแน่?
จิตใจของหลงเซี่ยวเจ๋อเต็มไปด้วยความคิด เขาไม่สามารถเข้าใจมันได้ จึงมีคำถามมากมายอยู่ในหัวของเขา
ความหมายของมู่จื่อหลิงนั้นชัดเจน ทันทีที่พูดคำเหล่านี้ออกมา ใบหน้าของฮองเฮาก็มืดลงในทันที ราวกับว่านางเข้าใจแล้วว่ามู่จื่อหลิงหมายถึงสิ่งใด
ปรากฏว่าเมื่อคืนนี้เป็ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ เป็นางจริง นางช่างกล้านัก...
“เมื่อคืน...” ฮองเฮาเกือบทุบโต๊ะอย่างเสียการควบคุม และถามอย่างโกรธเคืองออกมาแล้ว
แต่ในเวลาเดียวกัน นางก็เห็นมู่จื่อหลิงทานน้ำแกงเมล็ดบัวอย่างเอร็ดอร่อย
ทันใดนั้น พระหัตถ์ที่ยกขึ้นของฮองเฮาก็ถูกวางลง และคำพูดเมื่อครู่ที่มาถึงปากของนางก็ถูกกลืนกลับลงไปอย่างเ็า
หลงเซี่ยวเจ๋อเดาได้อยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงมองเห็นความปรารถนาของฮองเฮาที่จะระบายโทสะออกมา
แม้ว่าหลงเซี่ยวเจ๋อได้พยายามควบคุมตนเองไว้แล้ว แต่เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ หัวใจของเขาก็กำลังเดือดพล่านด้วยความกระตือรือร้น!
หลงเซี่ยวเจ๋อยัดผักสองคำใหญ่เข้าไปในปากของเขาอย่างมีความสุข ก่อนจะเคี้ยวช้าๆ
ต้องบอกว่าพี่สะใภ้สามของเขาพูดถูก วันนี้เขาได้ทานอาหารที่อร่อยมากจริงๆ
หลงเซี่ยวเจ๋อเอนหลังอย่างเกียจคร้านบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดง เคี้ยวอาหารในปากอย่างช้าๆ ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ภายในดวงตาเต็มไปด้วยพลังงาน
“เสด็จแม่ น้ำแกงเมล็ดบัวนี้รสชาติดีจริงๆ มันหวาน แต่ไม่เลี่ยน ทั้งหวานทั้งอร่อย” มู่จื่อหลิงพูดทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตา เสียงทานค่อยๆ ดังขึ้น บนใบหน้ามีความรู้สึกพึงพอใจในการเพลิดเพลินกับความอร่อย
ดูเหมือนว่ามู่จื่อหลิงจะไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ฝังหัวของตนลงในชามน้ำแกงเมล็ดบัวตรงหน้า ราวกับว่าไม่เห็น่เวลาที่การแสดงออกของฮองเฮาเปลี่ยนไป
“พี่สะใภ้สาม น้ำแกงเมล็ดบัวอร่อยจริงหรือ?” หลงเซี่ยวเจ๋อพูดขึ้นเมื่อเขาเห็นมู่จื่อหลิงทานมันอย่างเอร็ดอร่อย เส้นสีดำสามเส้นปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเขา ไม่ใช่การพูดเกินจริงใช่ไหม!
“นั่นเป็เื่ปกติอยู่แล้ว” มู่จื่อหลิงหันไปมองหลงเซี่ยวเจ๋อ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ั์ตาของนางเต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้ง ราวกับนางกำลังพูดว่า ‘รอชมการแสดง’
แม้ว่าปกติแล้วนางจะไม่ชอบขนมหวานมากที่สุด แต่ในยามนี้ รสหวานของน้ำแกงเมล็ดบัวนี้ช่างหอมหวานถึงใจของนาง และนางชอบมันมากในวันนี้
หลังจากได้รับสายตาชี้นำของมู่จื่อหลิงแล้ว หลงเซี่ยวเจ๋อก็เริ่มสนใจ
“โอ้ น่าเสียดายที่ข้าอิ่มแล้ว ไม่เช่นนั้นข้าก็อยากกินมันเหมือนกัน” หลงเซี่ยวเจ๋อเหลือบมองฮองเฮาจากหางตา น้ำเสียงของเขาค่อนข้างเศร้า แต่ริมฝีปากบางสีแดงอ่อนของเขากำลังยกขึ้นเป็รอยยิ้มกว้างขนาดใหญ่
หลงเซี่ยวเจ๋อผู้นี้เป็คนจริงใจมาก เพราะเขาจัดการกับอาหารบนโต๊ะเกือบทั้งหมด
เห็นได้ว่าในยามนี้เขากำลังยกขาขึ้นมานั่งไขว้ขา และใช้มือใหญ่ของตนลูบท้องที่ปูดขึ้นมาเบาๆ ราวกับจะบอกว่าเขาอิ่มจากการทานและดื่มแล้ว
ั้แ่เข้ามาในห้องอาหาร รอยยิ้มของหลงเซี่ยวเจ๋อแทบไม่เคยหายไป สายตาของเขาจ้องไปที่ชามน้ำแกงเมล็ดบัวของมู่จื่อหลิง
คนโง่ยังรู้ว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติกับชามน้ำแกงเมล็ดบัวชามนั้น
แต่หากมู่จื่อหลิงกล้ากิน แสดงว่านางมั่นใจว่านางจะรับมันได้ ยังดีที่เขาไม่ได้ยืนกรานที่จะคว้ามันและกินเข้าไป ไม่อย่างนั้น มันจะเกิดเื่ไม่ดีขึ้นมา
ฮองเฮาคิดว่าพวกเขาเป็คนโง่ และอย่างที่ทุกคนรู้ เป็นางเองที่โง่เขลาที่สุด
ดังนั้นในยามนี้...หลงเซี่ยวเจ๋อจึงยิ้มกว้าง มองดูอย่างชื่นชมยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น ราวกับมองคนโง่ เขาเหลือบมองฮองเฮาที่เคยฉลาดมาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม ั้แ่ต้นจนจบ ฮองเฮาไม่เคยใช้สายตาอันล้ำค่าของนางในการจ้องมองหลงเซี่ยวเจ๋อ โดยธรรมชาติแล้ว นางย่อมไม่เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
ในเวลานี้ ฮองเฮาจ้องไปที่น้ำแกงเมล็ดบัวที่มู่จื่อหลิงทานไปกว่าครึ่งชาม มองอย่างไม่เชื่อสายตา
ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้กินเข้าไปเช่นนี้? กินเข้าไปแล้วจริงๆ?
หัวใจของฮองเฮากำลังจะะเิออกด้วยความตื่นเต้น ราวกับความฝัน
เดิมฮองเฮาคิดว่านางจะต้องใช้เวลาในการบังคับและชักชวนให้มู่จื่อหลิงกิน แต่คาดไม่ถึง คาดไม่ถึงจริงๆ...ว่านางจะกินมันเข้าไปเช่นนี้
เมื่อเห็นมู่จื่อหลิงกินน้ำแกงเมล็ดบัวอย่างช้าๆ ยิ่งฮองเฮามองมากเท่าไร นางก็ยิ่งรู้สึกมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น
ไม่รู้ั้แ่เมื่อใด นางเริ่มพยายามอย่างหนักเพื่อจัดการกับยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ และทุกครั้งก็ต้องจบลงด้วยความล้มเหลว แต่ในครั้งนี้มันกลับสำเร็จได้อย่างง่ายดาย
หากการหายตัวไปของซุนมามาเมื่อคืนนี้เกี่ยวข้องกับยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้จริงๆ เช่นนั้นนางก็ไม่จำเป็ต้องทวงถามความผิดจากมู่จื่อหลิงอีกต่อไป
มุมปากของฮองเฮายกขึ้นเป็ส่วนโค้งที่ดูอบอุ่นและอ่อนโยน ดวงตาของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ทั้งเ็าและเ้าเล่ห์ นางเสียใจจริงๆ ที่ซุนมามาจากไป แต่ยามนี้นางควบคุมมู่จื่อหลิงได้แล้ว ทำไมนางจะไม่มีความสุขเล่า?
เมื่อมีมู่จื่อหลิงเป็หุ่นเชิด แม้ว่าจวนฉีอ๋องจะเข้มแข็งราวกับมีกำแพงเหล็กที่ยากจะทำลาย แต่สำหรับนาง มันจะต้องเป็เหมือนกระดาษแผ่นหนึ่ง
ฮองเฮาผู้น่าสงสารไม่คิดเลยว่าหากเมื่อคืนนี้มู่จื่อหลิงมาที่ตำหนักคุนหนิงจริงๆ นางคงจะรู้แผนการระหว่างนางกับซุนมามาทั้งหมดแล้ว
แต่ฮองเฮาไม่ได้คิดเกี่ยวกับมัน ด้วยเื่นี้ทำให้นางนอนไม่หลับมานานหลายคืน มู่จื่อหลิงผู้รอดชีวิตมาได้หลายครั้งภายใต้แผนการสมคบคิดอันไร้ที่ติของนาง นางจึงไม่คิดถึงจุดประสงค์ที่ทำให้มู่จื่อหลิงยอมเชื่อฟังอย่างง่ายดายแม้แต่น้อย
น่าสงสาร...หลังจากที่ฮองเฮาเห็นมู่จื่อหลิงกำลังกินน้ำแกงเมล็ดบัวเข้าไป นางก็รู้สึกอิ่มเอมไปด้วยความตื่นเต้นในทันที เช่นนั้นนางจะยังคิดสิ่งใดอีกมากมายออกได้อย่างไรกัน
สิ่งแรกที่ฮองเฮาคิดก็คือ ในอีกไม่กี่วัน นางจะสามารถกำราบยายเด็กหน้าเหม็นที่ไม่รู้ว่านางต้องสูญเสียพลังงานและความสนใจไปมากเพียงใดเพื่อให้ได้มา
เมื่อเห็นใบหน้าของฮองเฮาเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ปกปิดไม่ได้ อีกทั้งยังเป็รอยยิ้มจากใจ เป็รอยยิ้มที่จริงใจ
มู่จื่อหลิงยิ่งมีความสุขมากขึ้น
ข้าไม่ได้กลัวว่าเ้าจะมีความสุข แต่เกรงว่าเ้าจะไม่ได้รับความสุขนั้น
หากเ้าไม่มีความสุข เ้าจะแสดงคลื่นของความสิ้นหวังที่ขึ้นๆ ลงๆ เช่นนั้นได้อย่างไร และเ้าจะทำให้ข้ารู้สึกมีความสุขจากการแก้แค้นได้อย่างไร...
สำหรับฮองเฮา ดูเหมือนว่าจะบรรลุเป้าหมายแล้ว หมอกควันในใจของนางหายไปในทันที มุมปากแดงโค้งออกเป็รอยยิ้มกว้าง คงไม่ต้องกล่าวถึงว่านางภูมิใจมากเพียงใด
ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ก็มีเพียงเท่านี้ หลังจากกินน้ำแกงเมล็ดบัวชามนี้แล้ว นางจะต้องทนทุกข์ทรมานในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ฮองเฮาหัวเราะในใจครั้งแล้วครั้งเล่า นางไม่สามารถควบคุมความตื่นเต้นในใจได้ ราวกับว่าปมในหัวใจของนางที่ถูกปิดล้อมมาเป็เวลานานถูกปลดออกอย่างกะทันหัน มันเป็ความรู้สึกที่น่ายินดีจริงๆ
ยามนี้ในหัวใจของฮองเฮา ไม่ได้เพียงแค่ยืนอยู่บนความได้เปรียบเพียงเท่านั้น แต่นางได้รับในสิ่งที่เหนือกว่าแล้ว และสิ่งนี้จะดำเนินไปโดยไม่ต้องบอกกล่าว
ดังนั้นฮองเฮาที่เพิ่งได้รู้เื่ของซุนมามา จึงยังคงสงบนิ่งอยู่ได้ ทั้งยังมีรอยยิ้มที่อ่อนโยน นางพูดเบาๆ ว่า “หลิงเอ๋อร์ชอบก็ดีแล้ว หากมันอร่อยก็กินให้มากหน่อย”
“ได้” มู่จื่อหลิงเงยหน้าขึ้นและพยักหน้าให้ฮองเฮา รอยยิ้มสดใสกระตุกขึ้นที่มุมปากของนาง นางก็อารมณ์ดีเช่นกัน!
หลังจากนั้นมู่จื่อหลิงจึงหยิบชามน้ำแกงเมล็ดบัวขึ้นมาอย่างเชื่อฟัง เงยหน้าขึ้นและดื่มเข้าไปจนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
“อิ่มแล้ว ขอบพระทัยฮองเฮาสำหรับการต้อนรับที่อบอุ่นในวันนี้” มู่จื่อหลิงวางชามลง ค่อยๆ ถอนหายใจอย่างโล่งอก ดวงตาของนางยังคงใสราวกับน้ำ มองไปที่ร่างของฮองเฮาอย่างแ่เบา
ในยามนี้ ฮองเฮาก็จ้องมองนางอยู่เช่นกัน ทั้งสองจ้องมองกันและกัน
มู่จื่อหลิงยิ้ม ดวงตาของนางแจ่มใสและสงบนิ่ง นางดูไร้เดียงสาและไม่เป็อันตราย
ไม่ใช่เื่ยากสำหรับฮองเฮาที่จะเห็นว่า ในยามนี้นางเองก็ไม่สามารถซ่อนความตื่นเต้นในสายตาของนางได้เช่นกัน
เมื่อนางได้พบกับการจ้องมองที่ไม่เป็อันตรายของมู่จื่อหลิง นางก็ตื่นตระหนกอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
ฮองเฮาสูดหายใจเข้าลึกๆ เตือนตนเองในใจว่า คงเป็เพราะ่นี้นางพักผ่อนไม่เพียงพอจึงเป็เหตุให้เกิดความกระสับกระส่าย ก็แค่นางหนูผู้โง่งมผู้หนึ่ง นางจะกลัวได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อบรรลุเป้าหมายของนางแล้ว ก็ไม่มีอะไรเหลือให้ต้องคิดมากอีกต่อไป
เมื่อคิดถึงเื่นี้ ดังนั้น...ดวงตาของฮองเฮาจึงมืดลง จากนั้นนางจึงพบว่าการจ้องมองของมู่จื่อหลิงนั้นทั้งสงบและอ่อนโยน ทั้งยังมีรอยยิ้มที่นุ่มนวล “ในเมื่อเ้าอิ่มแล้วและมันก็ค่ำแล้ว เ้าควรรีบกลับได้แล้ว”
มู่จื่อหลิงเยาะเย้ยในใจ กลับหรือ? แม้ว่านางจะอยากกลับไป แต่นางก็เต็มใจที่จะอยู่ที่นี่มากกว่าที่จะกลับไป
ฮองเฮามีความสุขแล้ว แต่นางยังไม่มีความสุข
จะกลับไปในยามนี้หรือไม่นั้น นางจะตัดสินใจเอง
“เสด็จแม่ ที่จริงแล้วที่หลิงเอ๋อร์มาวันนี้เพราะยังมีบางสิ่งที่สำคัญมากที่จะบอกกับท่าน” มู่จื่อหลิงยิ้ม ก่อนจะเช็ดปากของนางอย่างสง่างามด้วยผ้านุ่มๆ
ก่อนที่นางจะพูดจบ ดวงตาของนางเหลือบมองนางกำนัลตัวน้อยที่อยู่ด้านหลังฮองเฮา และความหมายก็ชัดเจน
เมื่อบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ฮองเฮาจึงไม่เป็กังวลอีกต่อไป
แต่ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้มีเื่สำคัญจะพูดเช่นนั้นหรือ?
ฮองเฮาเหลือบมองมู่จื่อหลิงที่ยังคงยิ้มให้นาง หัวใจของนางก็รู้สึกหนักอึ้ง นางรู้สึกราวกับว่ามีสิ่งเลวร้ายกำลังเกิดขึ้น
แต่ยามนี้ ยายเด็กหน้าเหม็นได้ดื่มน้ำแกงเมล็ดบัวไปแล้ว ต้องโทษมู่จื่อหลิงที่นางมีสามเศียรหกกร [1] แต่นางก็ไม่อาจแบกท้องฟ้าทั้งผืน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฮองเฮาจึงไม่สนใจอีก นางโบกมือให้ชิวเหลียนถอยออกไป
มู่จื่อหลิงขยิบตาให้หลงเซี่ยวเจ๋ออีกครั้งจากมุมที่ฮองเฮามองไม่เห็น
หลงเซี่ยวเจ๋อเข้าใจ เขายืดเอวของตน แสร้งทำเป็ขยับกล้ามเนื้อและกระดูก แล้วเดินออกไปช้าๆ ตาของเขากวาดไปราวกับโจรเหลือบมองไปที่ประตู ก่อนที่เขาจะโรยผงยายากจะมองเห็นในมือของตนลงไปอย่างไม่ใส่ใจ
หลังจากนั้นไม่นาน หลงเซี่ยวเจ๋อก็แตะจมูกของเขาอีกครั้ง ก่อนเดินกลับเข้ามาพร้อมรอยยิ้มอย่างอันธพาล เอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้านด้วยท่าทางที่ไม่เหมือนใคร
ฮองเฮาคุ้นเคยกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและท้าทายของหลงเซี่ยวเจ๋อ จึงไม่มีข้อสงสัยแม้แต่น้อย
มีเพียงความรังเกียจและดูถูกในใจของนาง เพราะนางไม่ได้มองหลงเซี่ยวเจ๋อผู้ทำตัวราวอันธพาลหนุ่มอยู่ในสายตาของนางเลย
แต่เมื่อครู่นี้หลังจากหลงเซี่ยวเจ๋อกินอาหารไปมื้อหนึ่งแล้ว ดวงตาของฮองเฮาก้มลงบนโต๊ะอาหารรกๆ ตรงหน้านาง ั์ตาของนางเย้ยหยันเล็กน้อย และมีแววชั่วร้ายในดวงตาของนาง
ยามนี้เหลือเพียงสามคนในห้องอาหาร
ฮองเฮาผู้งดงามยิ้มและพูดเบาๆ “หลิงเอ๋อร์้าบอกเื่สำคัญอะไรกับแม่หรือ?”
ทันใดนั้นมู่จื่อหลิงก็เลื่อนเก้าอี้ออกแล้วลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปทีละก้าวอย่างช้าๆ เดินอย่างมั่นคงไปหยุดต่อหน้าพระพักตร์ของฮองเฮา......
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] สามเศียรหกกร (三头六臂) เป็สำนวน มีความหมายว่า เก่งกาจหรือมีความสามารถโดดเด่นเหนือคนทั่วไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้