เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้เื่ราวที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย
ตระกูลตู้อะไรนั่น อยู่ห่างจากเธอในตอนนี้มากเกินไป
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้แค่ว่าเธอต้องทำสิ่งที่ตนสามารถทำได้ให้ดีเท่านั้น
ห้องเต้นรำหนานหยางถูกสั่งปิด ทำให้หลิวเทียนเฉวียนยอมคายวัสดุก่อสร้างและเงินมัดจำกลับคืนมาทั้งหมด นี่คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เนื่องจากสามารถลดความเสียหายให้กับลุงจากมากจนเหลือน้อยที่สุด อีกทั้งยังไม่มีเื่คบชู้นอกบ้าน และไม่ถึงกับตกหลุมพรางของหลิวเทียนเฉวียนจนต้องมีหนี้ติดตัวหลักหลายแสน!
คุ้มแล้วที่เซี่ยเสี่ยวหลานเดินทางไปที่เผิงเฉิงใน่สุดสัปดาห์
เธอรู้ว่าอนาคตประเทศจะพัฒนาไปในทิศทางไหน แต่กลับไม่อาจคาดการณ์อนาคตของตัวเองได้ เธอไม่รู้เลยว่าการมีเื่กับหลิวเทียนเฉวียนครั้งนี้จะทำให้คนอื่นในตระกูลตู้เดินทางเข้ามาในแผ่นดินใหญ่ หากรู้แล้วเธอจะไม่ปะทะกับเขาอย่างนั้นหรือ? ไม่ว่าอย่างไรเธอก็คงสู้กับหลิวเทียนเฉวียนอยู่ดี หลิวเทียนเฉวียนเป็ฝ่ายหาเื่พวกเธอก่อน สิ่งนี้คือความยุ่งยากที่หนีไม่พ้น จำเป็ต้องลงมือจัดการเท่านั้น
โจวเฉิงขยำกระดาษโทรเลขเป็ก้อน
หลิวเทียนเฉวียนถูกเรียกตัวกลับฮ่องกงแล้ว จากนิสัยของตระกูลตู้ คงเปลี่ยนคนมาคุมเื่ในแผ่นดินใหญ่สินะ
ครั้งนี้โจวเฉิงขัดคำสั่งของผู้เป็พ่ออย่างโจวกั๋วปิน เขาติดต่อกับพวกพานซานอีกครั้ง
แค่ครั้งเดียว พ่อของเขาคงไม่รู้หรอกใช่ไหม?
เขาไม่ได้โยนกระดาษโทรเลขลงถังขยะ แต่จุดไฟเผามันแทน
เผาเสร็จเขาก็ออกจากห้องมาและได้เจอกับฟางซื่อจงเข้าพอดี
หอพักของทั้งคู่อยู่ชั้นเดียวกัน จะหลบหน้าไปตลอดคงจะเป็ไปไม่ได้
ฟางซื่อจงแค่นเสียงฮึออกมา สายตาที่มองโจวเฉิงเต็มไปด้วยความมุ่งร้าย
ความขัดแย้งระหว่างเขากับโจวเฉิงคงไม่มีทางคลี่คลาย ไม่อย่างนั้นคนจะพูดกันหรือว่า มีเมียดีสามีย่อมปลอดภัย เริ่มแรกฟางซื่อจงแค่รู้สึกอิจฉาโจวเฉิงเล็กน้อยเท่านั้น คนเรามักชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนรอบข้าง โจวเฉิงอายุน้อยกว่าเขาสิบปี แต่ตำแหน่งหน้าที่กลับเหมือนกัน
ตอนหลังเขาแต่งงานกับเกาเฟย ซึ่งนั่นก็เหมือนเขาได้เปิดกล่องแพนโดร่า ความรู้สึกอิจฉาที่มีต่อโจวเฉิงเพิ่มขึ้นจนถึงขั้นประสงค์ร้าย
ความขัดแย้งคราวก่อน เกาเฟยยืนกรานว่าโจวเฉิงเป็ฝ่ายทำร้ายผู้อื่น สามเดือนที่ผ่านมาเหตุการณ์นั้นได้สร้างความเดือดร้อนให้กับโจวเฉิง คำวิจารณ์ของคนในหน่วยงานที่มีต่อโจวเฉิงแย่ลง แต่ฟางซื่อจงยังคงรู้สึกไม่พอใจ โจวเฉิงไม่ได้รับผลกระทบอย่างเป็รูปธรรม เขาแค่ได้รับโทษสถานเบาเท่านั้น ฟางซื่อจงคิดว่านั่นยังไม่เพียงพอ
โจวเฉิงเห็นเขาเป็เพียงอากาศธาตุ
เขากับฟางซื่อจงไม่ถูกกันคือเื่ที่คนในหน่วยงานรู้กันเป็อย่างดี ทว่าตอนนี้ฟางซื่อจงยั่วโมโหเขาไม่ได้ง่ายๆ อีกต่อไป โจวเฉิงมีการพัฒนา และเขามีอัธยาศัยที่ดีขึ้นมาก!
“หัวหน้าเรียกคุณไปพบครับ”
โจวเฉิงเดินอ้อมผ่านตัวฟางซื่อจง และเดินตามผู้ที่มาแจ้งข่าวไป
ฟางซื่อจงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมพลางคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าหัวหน้าเรียกโจวเฉิงไปคุยด้วยเื่อะไร ฟางซื่อจงสังหรณ์ใจว่า หัวหน้าชอบโจวเฉิงมากกว่า ลำเอียงเข้าข้างโจวเฉิงมากกว่า การเรียกโจวเฉิงไปพบตามลำพังเช่นนี้ เขากลัวว่าโจวเฉิงจะได้ผลประโยชน์อยู่คนเดียว
โจวเฉิงมาถึงห้องทำงาน ทว่าหัวหน้าสองคนกำลังปรึกษากันเื่งาน จึงทิ้งโจวเฉิงให้ยืนรอสิบกว่านาที
ผ่านไปครู่ใหญ่ หัวหน้าหลี่ถึงถามเขาว่า่นี้เป็อย่างไรบ้าง
“รายงานครับ ผมตระหนักถึงความผิดพลาดของตัวเองแล้ว ถ้าย้อนเวลากลับไปเมื่อสามเดือนก่อนได้ หากเกิดเื่แบบเดียวกันอีก ผมจะจัดการให้ดีขึ้นกว่านี้ครับ”
โจวเฉิงทบทวนตัวเองแล้วจริงหรือ?
นิสัยเย่อหยิ่งและดื้อรั้น สามารถเปลี่ยนกันได้จริงหรือนี่
ความจริงแล้วหัวหน้าหลี่พอจะได้ยินเสียงนินทาในหน่วยงานมาบ้าง หลังโจวเฉิงกลับมาจากการฝึกทหาร เขามีท่าทีที่เปลี่ยนไปจริงๆ
หัวหน้าหลี่ยื่นเอกสารชุดหนึ่งบนโต๊ะให้กับโจวเฉิง
“ทุกปีจะมีโควตาส่งคนไปเรียนต่อ ปีนี้ผมลงชื่อคุณไว้ เบื้องบนก็มีความเห็นชอบ ถ้าคุณไม่ติดขัดอะไร เดือนหน้าก็ไปรายงานตัวที่สถาบันได้เลย”
โจวเฉิงมองเอกสาร ระยะเวลาเรียนนานถึงสองปี
คนทั่วไปได้เรียนกันครึ่งปี โจวเฉิงไม่เข้าใจว่าทำไมของตนนั้นกลับกลายเป็สองปีได้
หัวหน้าหลี่ดูไม่อยากอธิบายรายละเอียดสักเท่าไร เขาเพียงถามโจวเฉิงว่ายินดีหรือไม่
นอกจากระยะเวลาที่นานไปหน่อย โจวเฉิงมีหรือที่จะไม่ยินดี
การจัดการของหน่วยงานครั้งนี้ตรงใจโจวเฉิงมาก เขาอยากพัฒนาตัวเองมานานแล้วเพื่อจะได้คุยภาษาเดียวกับว่าที่ภรรยา และเพื่อความก้าวหน้าทางอาชีพ ไปเรียนต่อเวลานี้นับว่าเป็่เวลาที่ดีที่สุด โจวเฉิงแทบตอบตกลงในทันที
ตอนเดินออกจากห้อง โจวเฉิงโค้งคำนับให้แก่หัวหน้าทั้งสองด้วยความเคารพจากใจจริง “ขอบคุณสำหรับความห่วงใยและความใส่ใจของหัวหน้าครับ!”
หัวหน้าหลี่สั่งให้เขารีบไสหัวไป ส่วนอีกคนนั้นกำลังหัวเราะร่า
แน่นอนว่ามันคือความห่วงใยและใส่ใจจริงๆ
โอกาสเรียนต่อลักษณะนี้เป็ใครก็อยากคว้าเอาไว้ ได้เรียนต่อหมายถึงได้รับการสนับสนุน เวลาแค่สองปีเท่านั้น และต่อให้ต้องไปเรียนถึงสี่ปีคนอื่นก็ย่อมรู้สึกยินดีเหมือนกัน
โจวเฉิงเดินออกจากห้องทำงานมาก็โทรไปบอกที่บ้านเป็อย่างแรก โจวกั๋วปินก็คิดว่าเป็เื่ที่ดีมากเช่นกัน
โจวเฉิงไม่รู้สึกข้องใจอีก เขาจึงรีบเขียนจดหมายให้กับเซี่ยเสี่ยวหลาน
ตกกลางคืนเกาเฟยมาที่หน่วยงาน ฟางซื่อจงพูดถึงเื่ที่โจวเฉิงถูกหัวหน้าเรียกเข้าไปพบให้เธอฟังเกาเฟยพึงพอใจมาก
“เอาเป็ว่าคงไม่ใช่เื่ดีอะไร บางทีอาจสั่งให้เขาไปฝึกทหารที่ไหนอีก แน่นอนว่าเขาคงได้ทำแค่งานเล็กน้อยพวกนี้”
ฟางซื่อจงคิดดูแล้วก็เห็นด้วยกับคำพูดของเกาเฟย
สองสามีภรรยาเปลี่ยนไปคุยเื่อื่น ฟางซื่อจงอยากได้โควตาเรียนต่อ เนื่องจากเขาอายุเลยเลขสามแล้ว การเข้าเรียนต่อในสถาบันย่อมเป็ตัวเลือกที่ดีที่สุด ฟางซื่อจงจะสืบข่าวเื่นี้อยู่พอดี ทว่าวันรุ่งขึ้นหน่วยงานกลับประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับโควตาเรียนต่อ ซึ่งมีแค่ชื่อของโจวเฉิงเพียงคนเดียว!
ฟางซื่อจงรีบไปหาหัวหน้าทันที
หัวหน้าหลี่อธิบายกับฟางซื่อจงอย่างละเอียด เดิมทีฟางซื่อจงกับโจวเฉิงก็ไม่ถูกกันอยู่แล้ว หากไม่อธิบายให้เข้าใจ ความบาดหมางของทั้งคู่คงยิ่งฝังรากลึกขึ้นกว่าเดิมแน่นอน
“โจวเฉิงเข้าทำงานั้แ่อายุ 15 ปี เบื้องบนคิดว่าพื้นฐานการศึกษาของเขายังไม่เพียงพอ ครั้งนี้เลยให้เขาไปเรียนต่อสองปี...”
นี่ไม่ใช่การเลื่อนขั้นหลังเรียนจบ นี่คือการช่วยโจวเฉิงอุดช่องโหว่เื่การศึกษา
ฟางซื่อจงฟังหัวหน้าหลี่อธิบายจบก็กลับมาที่หอพัก พอเกาเฟยรู้เื่ก็ร้อนใจขึ้นมาทันที
“แล้วคุณล่ะ คุณก็จำเป็ต้องเรียนต่อเหมือนกันนะ!”
ฟางซื่อจงตบศีรษะตัวเอง
โจวเฉิงเข้าทำงานหลังจบมัธยมต้น ทว่าการศึกษาของฟางซื่อจงก็ไม่ได้สูงไปกว่ากันเลย แต่เขาไม่ได้โชคดีอย่างโจวเฉิงจึงเลื่อนขั้นไม่เร็วเท่า ฟางซื่อจงทำงานมานานหลายปี ตอนหลังเพื่อการเลื่อนตำแหน่ง เขาได้เคยไปเรียนต่อสองครั้ง และทั้งสองครั้งกินระยะเวลาไปครึ่งปี
หายากที่ฟางซื่อจงจะไม่ถูกเกาเฟยยั่วยุ เนื่องจากโจวเฉิงยังไม่เคยไปเรียนต่อเลยสักครั้ง หัวหน้าหลี่เองก็บอกแล้วว่า ระดับการศึกษาคือจุดอ่อนของโจวเฉิง! คำพูดนี้ช่างถูกใจฟางซื่อจงเหลือเกิน
————————————————————-
“เรียนต่อสองปี?”
สองวันต่อมา เซี่ยเสี่ยวหลานก็ได้รับจดหมายจากโจวเฉิง หลังจากที่เธออ่านมันจบก็รู้สึกดีใจแทนโจวเฉิงเช่นกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้