ชาวห้อง 307 ทุกคนล้วนเชื่อในตัวเซี่ยเสี่ยวหลาน
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้ในสิ่งที่เพื่อนร่วมหอถกกันลับหลัง รวมถึงความเชื่อใจที่พวกเธอมอบให้กับตนเอง แต่หลังบาดหมางกับตระกูลจี้ในครั้งนี้ เธอก็ได้รับความหวังดีจากผู้คนจำนวนมาก และที่เหนือความคาดหมายก็คือ แม้แต่หนิงเสวี่ยก็ยังสนับสนุนเธอ เซี่ยเสี่ยวหลานจึงทำการ ‘วางแผน 5 ปี’ ในใจเป็ที่เรียบร้อย
ตอนเธอเรียนจบปริญญาตรี เธอควรทำให้ได้ถึงจุดไหน? ทางที่ดีที่สุดคือควรทำให้จี้หย่าคุกเข่าขอขมาที่ถนนฉางอันให้ได้
จะก้าวเดินช้าเกินไปไม่ได้ เซี่ยเสี่ยวหลานตั้งใจไว้ว่าเปิดร้านที่ซีดันได้เมื่อไร เธอจะใช้ ‘หลานเฟิ่งหวง’ ทั้งสองสาขาเป็หลักประกันขอกู้ยืมเงินจากผู้จัดการอู่จำนวนหนึ่ง
เมื่อก่อนเธอคิดว่าค่อยๆ เป็ค่อยๆ ไปคงไม่เป็ไร แต่ตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานอยากใช้เงินต่อเงิน
จี้หย่า้าใช้ชีวิตที่อเมริกามากนักใช่ไหม
กว่าจี้หย่าจะรู้ตัวอีกที เซี่ยเสี่ยวหลานคงคว้าโอกาสตอนปฏิรูปเศรษฐกิจสร้างธุรกิจในประเทศจีนจนประสบความสำเร็จไปแล้ว!
เื่ขอสินเชื่อจากผู้จัดการใหญ่อู่ เซี่ยเสี่ยวหลานค่อนข้างมั่นใจ ใครซื้อพันธบัตรรัฐบาล ผู้จัดการใหญ่อู่ย่อมให้สินเชื่อกับคนนั้น เซี่ยเสี่ยวหลานใช้ร้านเสื้อผ้าเป็หลักค้ำประกัน ไหนจะมีเรือนสี่ประสานที่สือช่าไห่ ผู้จัดการใหญ่อู่เป็คนเห็นเธอซื้อเองกับตา คงใช้เป็หลักประกันได้หลายหมื่นหยวนอย่างแน่นอน
เงินปันผลปลายปีจากร้านเสื้อผ้าที่ซางตู เซี่ยเสี่ยวหลานคาดว่าคงได้ประมาณห้าหมื่นหยวนขึ้นไป รวมกับเงินที่มีอยู่ในมือตอนนี้ เธอจะนำไปเปิดร้านที่ซีตัน จากนั้นค่อยใช้ร้านที่ซีตันกับเรือนสี่ประสานเป็หลักค้ำประกัน และเซี่ยเสี่ยวหลานก็จะได้สินเชื่อจากผู้จัดการใหญ่อู่เพื่อเปิดร้านสาขาอีกแห่งหนึ่ง
หากพึ่งพาแค่ร้านเสื้อผ้าที่ซีตันเพียงแห่งเดียว คงทำเงินได้ช้าเกินไป
กรุงปักกิ่งนั้นกว้างใหญ่ยิ่งนัก ต่อให้เปิดร้านเสื้อผ้า 10 สาขาในคราวเดียวก็ยังไม่อาจกระจายได้ทั่วทั้งเมืองด้วยซ้ำ
พื้นที่แถบชายฝั่งทะเลทางใต้เริ่มนิยมเกี่ยวกับแฟชั่น ทว่าความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของคนเมืองหลวงยังมีให้ตักตวงอีกจำนวนมหาศาล กรุงปักกิ่งใช่ว่าไม่มีของดี ของนำเข้าในปักกิ่งล้วนมีให้เลือกทุกอย่าง แต่ของดีพวกนั้นต้องใช้เงินตราต่างชาติในการใช้จ่ายน่ะสิ สำหรับชาวบ้านทั่วไปการใช้เงินตราต่างชาติช่างไม่เป็มิตรเอาเสียเลย ดังนั้นเสื้อผ้าที่เซี่ยเสี่ยวหลานตั้งใจจะขายราคาย่อมไม่ถูก แต่ไม่ต้องใช้เงินตราต่างชาติในการซื้อ ใครมีเงินก็สามารถซื้อได้ทั้งนั้น
ธุรกิจที่ต้นทุนต่ำแต่กำไรสูงนั้นมีไม่น้อย ขึ้นอยู่กับว่าใครจะสามารถคว้ามันไว้ได้ อย่างเช่น ‘ชั้นเรียนกวดวิชา’ ของเซี่ยจื่ออวี้ เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่านั่นเป็ความคิดที่ไม่เลวเลยทีเดียว
ดูอย่างชั้นเรียนกวดวิชาซินตงฟางในโลกอนาคต ปี 2016 ชั้นเรียนกวนวิชาแห่งนั้นสามารถจดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกาได้ ชั้นเรียนกวดวิชาที่เติบโตถึงขั้นนี้เท่ากับประสบความสำเร็จแล้วมิใช่หรือ?
ก่อนเกิดใหม่ รายงานผลประกอบการประจำปี 2016 ของซินตงฟางแสดงให้เห็นว่า มีรายได้ตลอดทั้งปีเกือบ 1500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็เงินหยวนก็เท่ากับรายได้หลักหมื่นล้านหยวน คงไม่ต้องพูดถึงว่าทำกำไรได้มากน้อยเท่าไร ชั้นเรียนกวดวิชามีอิทธิพลต่อสังคมเป็อย่างมาก ทั้งระดับชื่อเสียงทางสังคม และการให้การยอมรับจากคนทั้งประเทศ แน่นอนว่าชื่อเสียงของชั้นเรียนกวดวิชาดีกว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์เสียด้วยซ้ำ
‘ชั้นเรียนกวดวิชา’ มีอนาคตสดใส ผู้ก่อตั้งซินตงฟางเริ่มต้นมาจากการกวดวิชาภาษาต่างประเทศ เนื่องจาก่ต้นยุค 90 กระแสนิยมเื่การเดินทางออกนอกประเทศเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ก่อตั้งซินตงฟางจึงมุ่งเป้าไปที่การกวดวิชาภาษาอังกฤษ และก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
ชั้นเรียนกวดวิชาของเซี่ยจื่ออวี้มีการกวดวิชาหลากหลายวิชาแต่กลับไม่โดดเด่นสักอย่าง คิดว่าจ้างนักศึกษาจากวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งมาสอนก็เพียงพอแล้วอย่างนั้นหรือ
หากให้เซี่ยเสี่ยวหลานลงมือทำชั้นเรียนกวดวิชา เธอคงบุกตลาด ‘การสอบเข้ามหาวิทยาลัย’ แล้ว ครูอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถมีอยู่ในกรุงปักกิ่งมากมาย ไม่เชิญพวกเขามาสอน แต่กลับเรียกนักศึกษาที่มีความรู้ครึ่งๆ กลางๆ มาสอน? ค่ากวดวิชาเองก็ไม่ได้ถูก แม้จะจ้างอาจารย์เก่งๆ มาสอนอย่างไรค่าจ้างก็คงไม่แพงมากนัก เพราะเงินเดือนครูสมัยนี้ยังไม่สูงนักน่ะสิ
เซี่ยเสี่ยวหลานขี่จักรยานพลางครุ่นคิด นี่เป็โอกาสทางธุรกิจที่ดีมากเหลือเกิน
ทว่ายิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด ตลาดที่ดีขนาดนี้กลับถูกเซี่ยจื่ออวี้ทำพังเสียไม่เป็ท่า
ตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานจึงไม่กล้าทำธุรกิจแบบเดียวกันอีก เพราะ ‘ชั้นเรียนกวดวิชา’ ถูกต่อต้านกลายๆ ราวกับมีคนตั้งใจให้เป็เช่นนั้น รวมถึงปัจจัยเื่กลไกทางการตลาดอีกด้วย
โอกาสทำเงินที่ดีเช่นนี้ ใช้ทำเงินเฉยๆ ไม่ดีหรืออย่างไรกัน แต่เซี่ยจื่ออวี้กลับ้าทั้งหาเงินและใช้มันปูทางสร้างชื่อเสียงให้กับหวังเจี้ยนหัว... สองเป้าหมายนี้ใช้วิธีการดำเนินงานที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง เป็เซี่ยจื่ออวี้ที่โลภเกินไป!
สนใจแต่จะขยายกิจการให้ใหญ่โต ไม่คิดเลยว่าจะมีปัญญาดูแลให้ดีได้หรือไม่
หากเซี่ยจื่ออวี้ไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงของชั้นเรียนกวดวิชาฉาวโฉ่ เซี่ยเสี่ยวหลานยังคงคิดอยู่เลยว่าหลังผ่านเข้ารอบการแข่งขันภาษาอังกฤษ และได้อันดับดีๆ ติดไม้ติดมือกลับมา เธอสามารถลอกเลียนวิธีการกวดวิชาภาษาอังกฤษของซินตงฟางได้
ช่างเถอะ ตลาดด้านการกวดวิชายังไม่โตพอ
ซินตงฟางประสบความสำเร็จใน่ต้นยุค 90 เวลานั้นเงินเดือนและรายได้ของประชาชนเริ่มเพิ่มขึ้นแล้ว ทว่าปัจจุบันเพิ่งปี 1984 เท่านั้น แม้ภาษาอังกฤษจะเป็หนึ่งในวิชาที่ใช้สอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่คนที่ตั้งใจฝึกฝนด้านนี้โดยเฉพาะยังมีจำนวนน้อยอยู่
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดไปคิดมา ธุรกิจที่ทำรายได้ได้ดีใน่ยุค 80 ยังคงเป็ธุรกิจเสื้อผ้า ซึ่งเส้นทางนี้เธอเลือกเดินไม่ผิด
เครื่องใช้ไฟฟ้าก็สามารถทำเงินได้เช่นกัน แต่ต้องใช้เงินลงทุนเยอะน่ะสิ
เงินทุนของเสื้อผ้าหนึ่งตัวราคาเท่าไร แล้วเทียบกับเงินทุนสำหรับทีวีเครื่องหนึ่งล่ะ
ระหว่างเดินทางไปยังสือช่าไห่ สมองของเซี่ยเสี่ยวหลานก็จัดระเบียบความคิดเป็ที่เรียบร้อย ย่าอวี๋กับหลิวเฟินยังไม่ออกจากบ้าน ดังนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานจึงสามารถบอกสิ่งที่หนิงเสวี่ยฝากฝังมาได้อย่างทันท่วงที ตอนแรกย่าอวี๋ไม่ค่อยอยากเจอหนิงเยี่ยนฝานสักเท่าไร แต่สุดท้ายเธอก็เปลี่ยนใจ
“ไม่ต้องรอเขามาหรอก ฉันไม่ใช่คนใหญ่คนโตอะไร เดี๋ยวฉันไปเจอเขาเองแล้วกัน ่เช้าเธอมีคาบเรียนหรือเปล่า”
เซี่ยเสี่ยวหลานส่ายศีรษะ “ไม่มีค่ะ แต่ฉันมีเรียนตอนบ่าย”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปบ้านหนิงเป็เพื่อนฉันสักครั้งแล้วกัน”
เรียนสถาปัตยกรรมในประเทศจีน อย่างไรก็ต้องได้เจอหนิงเยี่ยนฝานไม่ใช่หรือ
หนิงเยี่ยนฝานสมัยยังหนุ่มนั้นเรียนอยู่ที่เป่ยผิง ตอนหลังเขาสนใจในด้านสถาปัตยกรรมจึงไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ เขาวิจัยศาสตร์ด้านสถาปัตยกรรมมานานหลายสิบปี ทั้งยังมีชื่อเสียงโด่งดัง การที่เซี่ยเสี่ยวหลานตามไปเจอเขาย่อมไม่เสียเวลาโดยเปล่า
หากไม่มีย่าอวี๋พาไป หนิงเยี่ยนฝานจะเจอกับเด็กปีหนึ่งของภาควิชาสถาปัตยกรรมไปเพื่ออะไร
ภาควิชาสถาปัตยกรรมของหัวชิงเองก็หนีไม่พ้นอิทธิพลของหนิงเยี่ยนฝาน เขาเป็ผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการยอมรับ นักเรียนของเขาล้วนเป็อาจารย์ของภาควิชาสถาปัตยกรรม เซี่ยเสี่ยวหลานมีหรือจะปฏิเสธโอกาสการได้พบหน้าคนใหญ่คนโตของสาขานี้
อย่าว่าแต่เด็กใหม่รุ่นปี 1984 ของภาควิชาสถาปัตยกรรมเลย หากรุ่นพี่สาขาเดียวกันมีโอกาสเดียวกันนี้ก็คงผลักเซี่ยเสี่ยวหลานกระเด็น แล้วเสนอตัวไปแทนอย่างแน่นอน
หน้าตาดีแค่ไหน เป็ดาวมหาลัยหรือไม่ ล้วนไม่อาจเทียบกับการได้พูดคุยกับคนระดับปรมาจารย์
พอรู้ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะไปด้วยกัน หนิงเสวี่ยก็ไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด ย่าอวี๋อายุมากแล้ว การมีเด็กรุ่นหลานตามมาด้วยถือเป็เื่ปกติ
หนิงเสวี่ยเองก็ไม่รู้ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานกับย่าอวี๋เป็อะไรกัน ทว่าคุณปู่ของเธอดูเคารพย่าอวี๋มาก หนิงเสวี่ยจึงไม่อาจสะเพร่าได้ เมื่อมาถึงบ้านตระกูลหนิง หนิงเยี่ยนฝานก็ยืนรออยู่หน้าประตูแล้ว
ได้พบหน้าคนรู้จักในรอบหลายปี หนิงเยี่ยนฝานเองย่อมรู้สึกดีใจ
“รุ่นน้องอวี๋ ถ้ารู้ว่าเธอยอมออกจากซางตู ฉันคงเชิญเธอมาเป็แขกที่ปักกิ่งนานแล้ว”
ย่าอวี๋พึมพำ “ปักกิ่งมีอะไรดีกัน ขนาดหมายังไม่ลืมรากเง้า ซางตูต่างหากที่เป็บ้านของฉัน”
ซางตูเป็บ้านเกิดของตระกูลอวี๋ ดังนั้นย่าอวี๋ถึงได้อยู่เฝ้าบ้านเก่าไม่ยอมไปไหน เพราะกลัวตระกูลอวี๋คนอื่นๆ กลับมาแล้วจะไม่มีที่ไป หนิงเยี่ยนฝานทำได้เพียงทอดถอนหายใจ หลายปีมานี้เขาคอยสืบข่าวคราวของคนตระกูลอวี๋อยู่ตลอด ทว่าก็เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร เขาไม่ได้ข่าวอะไรกลับมาเลย
รุ่นน้องอวี๋ต้องโดดเดี่ยวใน่บั้นปลายชีวิต ตอนนี้มีคนอยู่เคียงข้างแล้ว ไม่ว่าคนคนนั้นจะมีสัมพันธ์กันทางสายเืหรือไม่ก็ตาม คิดได้ดังนั้นน้ำเสียงที่หนิงเยี่ยนฝานพูดด้วยก็เปี่ยมไปด้วยความเมตตา
“เธอคงเป็เซี่ยเสี่ยวหลานสินะ เพื่อนร่วมมหาลัยของหนิงเสวี่ย นึกไม่ถึงว่าจะมีโอกาสเจอกันเช่นนี้ อยากไปดูห้องทำงานของฉันไหม”
ห้องทำงานของหนิงเยี่ยนฝาน?
คนเรียนสถาปัตยกรรมทุกคนล้วนสนใจการออกแบบของผู้เฒ่าหนิง อีกทั้งผู้เฒ่าหนิงยังขยันสร้างสรรค์ผลงาน และตอนนี้เขายังคงเป็มือหนึ่งของวงการนักออกแบบ
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องขอรบกวนแล้วค่ะ”
สองผู้าุโไม่ได้เจอกันมานานหลายปีย่อมมีเื่ที่อยากคุยกันเป็การส่วนตัว ทันทีที่เซี่ยเสี่ยวหลานตอบรับว่าอยากชมห้องทำงานของหนิงเยี่ยนฝาน หนิงเสวี่ยจึงทำหน้าที่ผู้นำทางไปโดยปริยาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้