ไป๋จื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เพลงถ้ำะจะกล่าวถึงดอกบัวได้อย่างไรเ้าคะคุณหนู? ข้าว่ายังไม่ถึงเวลาที่ดอกบัวจะบานเลย เหตุใดท่านไม่คัดเพลงที่กล่าวถึงดอกหลิวอย่างเพลงแสดงความยินดีกับเ้าบ่าวเซี่ยจิงล่ะเ้าคะ?”
อวิ๋นจื่อเห็นด้วยกับไป๋จื่อ ตอนนี้นางมีความสุขมาก ในขณะที่คัดนางก็ท่องบทกวีออกมาด้วย
“นกนางแอ่นตัวน้อยบินผ่านเรือนหลังงามที่เงียบสงบและไร้ผู้คน ต้นอินทผลัมตั้งตรง อากาศใน่พลบค่ำเย็นสบายนัก
สาวงามเพิ่งอาบน้ำเสร็จ นางโบกพัดทรงกลมที่ทำจากผ้าไหมสีขาว
พัดทรงกลมกับข้อมือเปลือยเปล่าที่ดูเรียบเนียนดุจหยก
นางเริ่มง่วง จึงเอนกายลงนอน
นางได้ยินเสียงเหมือนมีคนผลักประตูที่ทำจากผ้าปัก นางจึงเปิดม่านที่หน้าต่างแล้วมองออกไปด้านนอก
นางใเพราะนึกว่ามีผู้มาเยือน
แต่กลับเป็เสียงลมพัดกระทบต้นไผ่สีเขียว
ดอกทับทิมดูเหมือนผ้าพันคอสีแดง
เมื่อกลีบดอกร่วงหล่นย่อมก่อให้เกิดทิวทัศน์ที่งดงามแต่อ้างว้าง
หยิบดอกทับทิมขึ้นมาสูดกลิ่นหอม
ความงดงามภายใต้กลีบดอกให้ความรู้สึกอาลัยอาวรณ์
นางกลัวว่าลมตะวันตกจะพัดมาอย่างกะทันหัน ทำให้ดอกร่วงหล่นเหลือเพียงต้นและใบสีเขียว
นางอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไหสุรา
ก่อนกลีบสีแดงจะร่วงโรย น้ำตากลับร่วงหล่นลงก่อนแล้ว”
เมื่อไป๋จื่อเห็นว่าผู้เป็นายคัดเสร็จแล้ว นางก็กล่าวชมด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหนูคัดได้ดี ทั้งยังอ่านได้ดีอีกด้วยเ้าค่ะ”
อวิ๋นจื่อกล่าวย้ำอีกครั้งว่า “ดูเหมือนเ้าจะไม่เข้าใจความหมายของเพลงจริงๆ ดอกทับทิมอาจไม่ใช่คำที่มีความหมายถึงความสุขเสมอไป ข้าจะลองคัดให้เ้าดูอีกเพลง”
อวิ๋นจื่อลงมือคัดทันที เพลงที่นางเลือกคือวันหยวน
“ิญญาส่องแสงทำลายบรรยากาศ ดวงอาทิตย์ขึ้นแสดงถึงฤดูร้อน ปรับเปลี่ยนท่วงท่าในการเป่าขลุ่ย เสียงกลองสอดประสานกัน
เฟิ่งหวงร่อนถลาไปมาเหนือฟ้าเมืองเหยาจู ประตูวังัเปิดออก ฝนตกในฤดูใบไม้ผลิมอบความอบอุ่นและชุ่มชื้น”
ไป๋จื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูหลอกลวงผู้คนเช่นนี้ได้อย่างไร? เหตุใดเพลงนี้ถึงฟังดูไม่มีชีวิตชีวาเอาเสียเลย? ลองคัดเพลงยามเย็นที่แม่น้ำในฤดูใบไม้ผลิดีหรือไม่เ้าคะ?”
ไป๋จื่ออ่านออกเสียง “ดอกท้อสามกิ่งใกล้บานแล้ว ฝูงเป็ดไม่ทันสังเกตเห็นความอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิ
หวงฮวาเฮา[1]และต้นอ้อเริ่มแตกหน่อ ปลาปักเป้าว่ายทวนน้ำจากทะเลสู่แม่น้ำ
ห่านป่าบินไปทางเหนือ ห่างออกไปหลายพันลี้
ในเมื่อทะเลทรายทางตอนเหนือมีลมแรงและมีหิมะตก ดังนั้นเรามาใช้เวลาครึ่งเดือนในฤดูใบไม้ผลิที่บริเวณตอนใต้ของแม่น้ำแยงซีกันเถอะ”
ไป๋จื่อกล่าวว่า “นี่คือความสุขเ้าค่ะ สิ่งที่คุณหนูคัดเมื่อครู่จะเรียกว่าความสุขได้อย่างไรกัน?”
อวิ๋นจื่อยิ้ม “เมื่อไหร่กันที่เ้ารู้ความหมายอันลึกซึ้งของเพลงนี้?”
เมื่ออวิ๋นจื่อพูดจบก็เห็นเย่เช่อเดินตามหงหลิงเข้ามา เขากล่าวว่า “ถ้าเ้า้าพูดคุยเกี่ยวกับความสุข ข้าจะคัดเพลงให้เ้าอ่าน”
อวิ๋นจื่อรับคำและสั่งให้ไป๋จื่อฝนหมึก
เย่เช่อส่งยิ้มเล็กน้อยให้นางแล้วเริ่มลงมือคัดอักษร
“เิหรงเป็ป่าที่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง ดอกไม้ที่งดงามจะเบ่งบานในยามพลบค่ำ
ต้นกล้วยแดงที่เติบโตในแคว้นทางใต้เอาแต่เปรียบเทียบรูปร่างลักษณะของกันและกัน แต่ต้นหลิวในซีหลิงกลับมีความเป็อันหนึ่งอันเดียวกัน
ตัดเย็บเสื้อผ้าและประดับประดาด้วยมุกเม็ดงาม สายฝนกระหน่ำลงมา อากาศเย็นะเื หมอกปกคลุมไปทั่ว
หิมะที่ปกคลุมพื้นดินไม่ใช่สิ่งไร้ประโยชน์ เมื่อโยนปิ่นปักผมลงไปย่อมไม่แตกหัก”
ขณะที่เย่เช่อคัดอักษร ไป๋จื่อก็อ่านออกเสียงให้อวิ๋นจื่อฟัง
หลังจากอ่านจบไป๋จื่อก็กล่าวติดตลกว่า “เพลงที่คุณชายคัดมีความหมายลึกซึ้งจริงๆ”
เย่เช่อพยักหน้าและกล่าวชม “เ้าฉลาดมาก!”
จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้อวิ๋นจื่อและถามนางว่า “เ้าชอบหรือไม่?”
อวิ๋นจื่อก้มหน้าและไม่กล่าวอะไร
เย่เช่อขยิบตาให้สาวใช้ทั้งสอง พวกนางจึงเดินออกจากห้องอย่างรู้ความ
เย่เช่อกล่าวต่อว่า “ปี้เหยียน นี่เป็เพลงที่ข้าชอบ”
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ข้าชอบเ้าค่ะคุณชาย”
เย่เช่อลูบผมของนางเบาๆ ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความรัก
เขาถามว่า “เ้าเป็อะไรไป? เหตุใดถึงดูไม่มีความสุขเอาเสียเลย?”
อวิ๋นจื่อยิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่ได้ไม่มีความสุข ข้าแค่คิดว่าหลังจากพบคุณชายแล้ว ประเดี๋ยวท่านก็จะจากไปอีกครั้ง ข้าจึงรู้สึกผิดหวัง”
เย่เช่อะเืใจเล็กน้อย เขารั้งตัวนางเข้ามากอดอย่างแแ่
ลมหายใจอันอบอุ่นและอ่อนโยนราวกับสายน้ำค่อยๆ ไหลเวียนอยู่ในอากาศ
อวิ๋นจื่อได้ยินเพลงกู่ฉินมามากและนางยังเล่นกู่ฉินได้ไพเราะอีกด้วย แต่มันไม่ไพเราะเท่ากับเสียงหัวใจของเขาในตอนนี้
เย่เช่อได้พบเจอผู้คนมากมายและผ่านประสบการณ์มามาก แต่หญิงสาวในอ้อมแขนทำให้เขาอยากหยุดอยู่ที่นางและละทิ้งหลายอย่างที่เขาคิดว่าจะไม่มีวันละทิ้งในชีวิตนี้ เขาอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับนาง
พวกเขาสวมกอดกันอย่างแแ่ราวกับรู้จักกันมานาน
เย่เช่อรู้ว่าน้องชายของตนเองเดินทางมาที่เมืองหยงโจวเพื่อตามหาเขา การกระทำเช่นนี้ย่อมตีความได้ว่าอีกฝ่าย้าประกาศากับเขา บางทีจากนี้ไปเขาอาจเผชิญกับเหตุการณ์นองเือย่างที่ไม่เคยเผชิญมาก่อน
อย่างไรก็ตาม นางทำให้เขาไม่อยากใส่ใจเื่ราวเ่าั้
ส่วนอวิ๋นจื่อก็เพิ่งรู้ว่าสมาชิกในครอบครัวของนางจากไปอย่างกะทันหัน แต่นางกลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย
นางโศกเศร้ามาก
แต่เมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดของเย่เช่อ นางกลับรู้สึกว่าบางทีสิ่งต่างๆ อาจไม่ได้แย่ขนาดนั้น สถานการณ์ในภายภาคหน้าอาจพลิกกลับได้ บางทีอาจไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่เมืองฉินโจว
ไม่แน่ว่าทุกอย่างอาจเปลี่ยนแปลงไป
อย่าหวาดกลัว ทั้งหมดล้วนเป็เื่ของอนาคต
จู่ๆ นางก็นึกถึงเพลงเพลงหนึ่ง
“คืนนี้เป็ค่ำคืนแบบใด? ข้าต้องลงเรือลำเดียวกับองค์ชาย นี่เป็ความรักที่ไม่ควรเกิดขึ้น
อย่าได้ละอาย จงอ่อนน้อมถ่อมตน
ูเามีต้นไม้ ต้นไม้มีกิ่งก้าน ข้าชอบเ้าได้แค่ในใจ ไม่อาจให้เ้ารับรู้”
นี่เป็เพลงที่เสด็จแม่เคยสอนนาง นางจะร้องเพลงนี้ก็ต่อเมื่ออยู่คนเดียว อยู่ต่อหน้าเสด็จแม่ หรืออยู่ต่อหน้าคนที่นางรักมากที่สุดเท่านั้น
อวิ๋นจื่อจำเนื้อเพลงทั้งหมดไม่ได้
นางไม่ได้ท่องเนื้อเพลงออกมา แต่นางรู้สึกราวกับเพลงนี้ดังกึกก้องอยู่ในใจนาง
บรรยากาศรอบข้างมีแต่ความเงียบงัน
ทั้งคู่สวมกอดกันเงียบๆ ต่างฝ่ายต่างรับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนของอีกฝ่าย
เป็ไปได้หรือไม่ว่านางกับเขาเคยพบเจอกัน เคยรู้จักกัน และเคยตกหลุมรักกันมาก่อน?
หากสิ่งที่เรียกว่าการกลับชาติมาเกิดมีอยู่จริง นางกับเขาจะเคยพบกันมาก่อนหรือไม่?
บางทีอาจจะเคย
อุณหภูมิระหว่างทั้งสองค่อยๆ สูงขึ้น
ความรู้สึกคุ้นเคยผุดขึ้นในใจของนาง
ไม่สิ ต้องเคยแน่ นางกับเขาต้องเคยรู้จักกันและต้องเคยรักกันมาก่อน!
ไม่อย่างนั้นเหตุใดในใจของนางถึงเกิดความรู้สึกคุ้นเคยเช่นนี้?
ทั้งสองดูเหมือนจะรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคิดสิ่งใดอยู่และยิ่งสวมกอดกันแน่นขึ้น
เย่เช่อพึมพำเบาๆ “ปี้เหยียน ข้ารู้สึกว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อนและเคยรักกันอย่างลึกซึ้ง เ้าจะว่าอย่างไรถ้าข้าถามว่าเ้าจะแต่งงานกับข้าหรือไม่?”
เสียงของเขาคล้ายกับเสียงลมที่พัดอย่างแ่เบา แต่เต็มไปด้วยความหนักแน่นดุจขุนเขา
อวิ๋นจื่อไม่ตอบ นางค่อยๆ ดันตัวออกจากอ้อมกอดของเขา จากนั้นก็เขย่งปลายเท้าเล็กน้อยและแตะริมฝีปากที่ชุ่มฉ่ำของนางเข้ากับริมฝีปากของเขาเบาๆ
ราวกับจิติญญาของทั้งสองได้เชื่อมโยงกัน
เย่เช่อไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาจูบหญิงสาวอย่างดูดดื่ม
ริมฝีปากของนางราวกับแอ่งน้ำพุที่ใสสะอาดและมีรสชาติหวานล้ำ หลังจากที่เขาได้ลิ้มรสแล้วก็ไม่อยากปล่อยมือจากนางอีก
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของนางพร่ามัวราวกับหมอกควัน เขาไม่สามารถควบคุมตนเองได้
จนกระทั่งเย่เช่อรู้สึกว่าอวิ๋นจื่อกำลังหายใจหอบ เขาจึงถอนริมฝีปากออก จากนั้นเขาก็สวมกอดนางอย่างอ่อนโยน แล้วแสดงความรักใคร่และปลอบประโลมด้วยการจูบผมของนางอย่างแ่เบา เขารู้สึกราวกับว่าหัวใจของตนเองถูกสาดส่องด้วยแสงจันทร์ที่ให้ความรู้สึกสงบนิ่งและงดงาม
เย่เช่อรู้สึกราวกับเดินทางผ่านเวลามาหลายพันปีจนกระทั่งในที่สุดก็ได้พบนาง การได้เห็นหญิงสาวในชุดขาวมีสีหน้าเศร้าโศกทำให้เขาเศร้าใจยิ่งนัก
เขาอาจเคยรู้จักนางจากในชาติก่อน
นางแต่งกายด้วยชุดขาวและดูสูงส่งราวเทพเซียน ทำให้เขารู้สึกหลงใหลยิ่งนัก
“ปี้เหยียน”
เขาเรียกชื่อนางเบาๆ
หญิงสาวที่กำลังเหม่อลอยเงยหน้าขึ้น นางมองเขาด้วยสายตาที่อบอุ่นและถามว่า “มีอะไรหรือเ้าคะ?”
ทั้งสองสบตากันและรู้สึกราวกับว่าภาพที่เห็นตรงหน้าจะไม่มีทางลบเลือนไปจากหัวใจ
ดอกไม้ในสวนกำลังเบ่งบานอย่างเต็มที่
เช่นเดียวกับนางและเขาในตอนนี้
------------------------
[1] หวงฮวาเฮา คือโกฐจุฬาลัมพา เป็พืชชนิดหนึ่งในสกุลโกฐจุฬาลัมพา วงศ์ทานตะวัน ภาษาจีนกลางเรียกว่าหวงฮวาเฮา ส่วนตำรายาแผนโบราณจีนเรียกส่วนต่างๆ ของพืชชนิดนี้ที่นำมาตากแห้งว่าชิงเฮา เป็ไม้ล้มลุกที่มีอายุเพียงหนึ่งปี มีกลิ่นแรง มีขนประปราย เมื่อแก่ขนจะหลุดร่วงไป บริเวณใบมีต่อมน้ำมัน ดอกมีสีเหลืองหรือเหลืองเข้ม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้