ห่างออกไปจากหมู่บ้านซื่ออัน... ไกลพอจะลืมเลือนกลิ่นหอมของดิน กลิ่นฟืนยามเช้า และเสียงหัวเราะของผู้คนมีสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งราวกับอยู่ คนละโลก หากหมู่บ้านซื่ออันคือภาพของความเงียบสงบและเรียบง่ายเมืองหลวง ก็เป็ภาพสะท้อนของ ความวุ่นวาย ความทะเยอทะยาน และการหักหลังผู้คนที่นี่ไม่ยิ้มด้วยใจแต่ยิ้มด้วยเล่ห์กลที่นี่เป็จุดศูนย์กลางแห่งอำนาจ การเมือง การค้าขาย และคำโกหกถนนทอดยาวเต็มไปด้วยเกี้ยวทอง รถม้า และรองเท้าของขุนนางผู้สูงศักดิ์ใต้ผ้าไหมและเครื่องประดับ...คือดาบที่พร้อมแทงจากด้านหลัง
และในใจกลางของเมืองหลวงแห่งนี้คือชายคนหนึ่งผู้เป็ที่รู้จักทั่วทั้งแผ่นดินแต่หาใช่ในทางดีไม่ แม่ทัพเว่ยซ่างเทียน บุรุษผู้มีทั้งยศฐาบรรดาศักดิ์และกองทัพอยู่ใต้เท้าแต่ชื่อของเขานั้นกลับถูกพูดถึงด้วยความหวาดหวั่นและดูแคลนในคราเดียวกันเขาคือแม่ทัพที่ยินดีขายเกียรติ เพื่อซื้ออำนาจคือผู้ที่พร้อมเหยียบซากศพของลูกน้อง หากนั่นหมายถึงการเลื่อนตำแหน่งเป็ชายผู้เปื้อนเืทั้งจากศัตรู และพันธมิตรของตนเอง
บางคนกล่าวว่า... เว่ยซ่างเทียน คือเนื้อร้าย ของแผ่นดิน แต่ในจวนของบุรุษผู้น่าเกรงขามที่สุดคนหนึ่งของแผ่นดินกลับมีสิ่งเดียวที่งดงามเกินกว่าจะอยู่ในสถานที่เช่นนี้
นั่นก็คือเว่ยจิ้งซิน บุตรสาวของแม่ทัพผู้เหี้ยมโหดดั่งดอกไม้ที่ถูกซ่อนไว้หลังม่านเหล็กสตรีผู้ร่างกายอ่อนแอแต่สายตาไม่เคยยอมแพ้สตรีที่ถูกเลี้ยงดูดุจภาชนะล้ำค่า ทว่าไร้ทางเลือก และนางถูกลิขิตให้กลายเป็เครื่องมือ
“ตัวข้าในยามนี้… แม้อายุจะล่วงเลยเข้าสู่ปลายฝนต้นหนาวแห่งชีวิตแต่ข้าจะไม่มีวันยอมให้อำนาจในมือเสื่อมถอยตามกาลเวลาเด็ดขาด”
เสียงของแม่ทัพ เว่ยซ่างเทียน หนักแน่นเย็นเยียบทว่าแฝงไว้ด้วยความกราดเกรี้ยวที่ปะทุจากภายในเขายืนอยู่กลางลานกว้างของค่ายทหารเบื้องหน้า คือกองทัพที่ฝึกซ้อมกันอย่างขะมักเขม้นเสียงฝีเท้ากระแทกพื้นอย่างพร้อมเพรียง เสียงโห่ร้องของทหารหนุ่มดังกระหึ่มเว่ยซ่างเทียนมองภาพนั้นด้วยสายตาแข็งกร้าวมันคือผลงาน… คือเครื่องหมายของบารมีที่เขาสั่งสมมาทั้งชีวิต
เขาในวัย 59 ปียังคงเป็แม่ทัพใหญ่แห่งราชสำนักแต่ทว่า… บารมีเริ่มร่วงโรยเรี่ยวแรงเริ่มถดถอยอำนาจที่เคยแน่นหนักบัดนี้เริ่มสั่นคลอนด้วยเสียงกระซิบของเหล่าขุนนางหนุ่มและน้ำเสียงเย้ยหยันของศัตรูเก่า
เขาย่อมรู้...ว่าไม่ใช่ทุกคนที่เคารพเขาด้วยใจมีคนมากมายที่เพียงรอเวลาให้เขาสะดุดทั้งศัตรูในอดีตทั้งขุนนางร่วมราชสำนักแม้แต่คนในจวนบางคน ก็อาจไม่จงรักภักดีดังที่แสดง
เว่ยซ่างเทียน…คือหมาป่าเฒ่า ที่ยังไม่ยอมให้นักล่าตัวใดเข้ามาแทนที่ง่าย ๆ และตราบใดที่ยังมีลมหายใจเขาจะไม่มีวันปล่อยให้ใครลบชื่อเขาออกจากประวัติศาสตร์แห่งแผ่นดินนี้
“ท่านพ่อ! ถึงเวลาแล้ว... ที่ท่านควรมอบตำแหน่งแม่ทัพให้ข้าเสียที!” น้ำเสียงห้าวหาญทว่ากลับแฝงความบุ่มบ่ามและทะเยอทะยานจนล้นเกินผู้เอ่ยคือ เว่ยเจินหง บุตรชายคนโตของแม่ทัพเว่ยซ่างเทียนชายหนุ่มผู้มีรูปลักษณ์คล้ายบิดาในยามหนุ่ม ทั้งร่างสูงใหญ่ กล้ามเนื้อแน่นแนบ ชุดเกราะประดับหรูหราหากแต่...สิ่งที่เขาไม่มีวันได้รับจากบิดาคือ มันสมอง และสายตาแห่งผู้นำแม่ทัพเว่ยซ่างเทียนยืนนิ่งอยู่กลางลานทหารด้านหน้าเขาคือเหล่าทหารนับร้อยที่กำลังฝึกซ้อมอย่างพร้อมเพรียงเสียงฝีเท้าเหยียบพื้นดังกระหึ่ม ชวนให้คนภายนอกครั่นคร้ามหากแต่เสียงของบุตรชาย… กลับเหมือนยุงตัวหนึ่งในฤดูหนาว
“มอบตำแหน่งให้เ้าอย่างนั้นรึ?”
เขาเอ่ยเสียงต่ำ… ช้าแต่ชัดเจน “เพียงแค่เ้ากล้าเอ่ยเช่นนี้ ก็พิสูจน์แล้วว่าเ้า... ไม่คู่ควร” เว่ยเจินหงขบกรามแน่น ดวงตาลุกวาวด้วยความไม่พอใจ “ข้าก็เป็ลูกชายของท่าน! มีโลหิตเดียวกัน! ไฉนข้าจึงไม่คู่ควร!?”
แม่ทัพเว่ยแค่นหัวเราะในลำคอ “เพราะเ้ามีเพียงโลหิต… แต่ตัวเ้านั้นมันไม่มีสมอง”เขาเว้นจังหวะ พลางตวัดสายตาไปรอบลานกว้าง“เ้าหยิ่งยะโส ขาดวินัย ใช้กำลังไร้เหตุผล…หากให้เ้าคุมกองทัพไม่ถึงสามเดือน ตระกูลเว่ยต้องแหลกเป็ผุยผง!”
เว่ยเจินหงกำหมัดแน่นหน้าแดงก่ำด้วยโทสะก่อนจะระบายความเดือดดาลนั้นใส่บ่าวรับใช้ที่ยืนตัวสั่นอยู่ด้านข้าง“อ๊ากกก! ไอ้คนไร้ค่า!” เสียงฝ่ามือกระทบเนื้อดังลั่น บ่าวน้อยล้มลงดิ้นพล่านเสียงร้องขอชีวิตแ่เบาไม่ต่างจากเสียงลม
แม่ทัพเว่ย… ไม่แม้แต่จะปรายตามองเขาเพียงกล่าวเรียบ ๆ ว่า“ต่อให้เ้าทุบตีมันจนตาย… ก็ไม่มีวันยกให้เ้า”
เสียงฝ่ามือกระทบร่างของบ่าวรับใช้ดังก้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่ง... เว่ยเจินหงหอบหายใจแรงด้วยความเหนื่อยล้าเืเปื้อนมือของเขา แต่สายตาของผู้เป็บิดายังเย็นเยียบเช่นเดิมไม่แม้แต่จะเหลียวแล
นั่นทำให้โทสะในอกของเขาค่อย ๆ กลายเป็เพลิงขมขื่นที่ลุกโชนเงียบ ๆเขาปัดแขนเสื้อ หันหลังเดินจากลานฝึกด้วยฝีเท้าหนักแน่นและเต็มไปด้วยความหงุดหงิดสีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวังแต่ไม่ใช่ต่อการกระทำของตนเองหากเป็ต่อโลกที่ไม่ยอมเข้าข้างเขาและพ่อผู้ที่ไม่เคยมองเขาในฐานะ “ทายาท”
เส้นทางของเขามุ่งตรงไปยังอีกมุมหนึ่งของจวนเรือนที่เงียบสงบเสียจนแทบไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจเป็สถานที่เดียว ที่เขาสามารถระบายทุกอย่างออกมาได้ไม่ใช่เพราะจะมีคนปลอบแต่เพราะผู้ที่อยู่ในเรือนนั้นจะไม่มีวันโต้ตอบเขา
ภายในเรือนไม้หลังเล็กที่ถูกแยกไว้จากส่วนอื่นของจวนเว่ยจิ้งซิน น้องสาวเพียงคนเดียวของเขานั่งอยู่เงียบ ๆ ข้างหน้าต่าง แสงแดดยามบ่ายส่องกระทบเส้นผมสีดำสนิทของนางใบหน้าซีดเซียวดุจดอกเหมยในฤดูหนาว
“ข้าทำดีแค่ไหนก็ยังไม่พอสำหรับเขา…” เว่ยเจินหงเอ่ยออกมาเสียงขุ่น“เขาไม่เห็นหัวข้าเลยแม้แต่น้อย... แล้วดูสิเ้าเป็เพียงหญิงอ่อนแอ ยังได้ความเมตตาจากเขามากกว่าข้าเสียอีก!” คำพูดของพี่ชายยังคงพรั่งพรูออกมาเหมือนสายน้ำที่ไหลจากเขื่อนแตก
ต่อให้พายุแห่งความขัดแย้งระหว่าง เว่ยเจินหง กับ เว่ยซ่างเทียน จะโหมกระหน่ำเพียงใดต่อให้คำพูดระหว่างพ่อลูกจะเต็มไปด้วยความเดือดดาลและการดูแคลน...แต่ในอีกมุมหนึ่งของจวนยังมีแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียว ที่ทั้งสองไม่เคยแตะต้องด้วยความโกรธเกรี้ยวนั่นคือ เว่ยจิ้งซิน
นางคือสตรีผู้อ่อนแอกลับเป็ดั่ง “จุดสงบ” ในบ้านหลังที่เต็มไปด้วยอำนาจ คำสั่ง และาแในใจแม้เว่ยเจินหงจะก้าวร้าวต่อทุกคนแม้เขาจะฟาดฟันบ่าวไพร่และะโใส่ผู้อื่นจนะเืทั้งเรือนแต่เมื่อย่างก้าวเข้าสู่เรือนของน้องสาวน้ำเสียงของเขามักจะเบาลงดวงตาแข็งกร้าวกลับกลายเป็วูบไหวไม่ว่าเขาจะโกรธเพียงใดเขาก็ไม่เคยเอ่ยวาจาร้ายต่อหน้าจิ้งซินเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ส่วนเว่ยซ่างเทียน... แม้เขาจะไม่เคยเอ่ยคำอ่อนโยนกับผู้ใดแม้เขาจะขึ้นเสียงใส่ลูกชาย หรือสังหารศัตรูได้โดยไม่กระพริบตาแต่เมื่อยามเดินผ่านเรือนของเว่ยจิ้งซินเขากลับชะลอฝีเท้าเสมอหยุดมองเพียงเงาของบุตรสาวที่ปรากฏอยู่หลังฉากผ้าแล้วทอดสายตานิ่งนาน... ก่อนจะเดินจากไปเงียบ ๆ นางคือผู้เดียวในตระกูลที่ไม่ต้องยกมือคำนับ ไม่ต้องแสดงอำนาจ หรือแสดงความเข้มแข็งนางคือ หัวใจ เพียงดวงเดียวของบ้านหลังนี้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้