ตอนที่กู้เจิงเพิ่งแต่งเข้าตระกูลเสิ่น ก็รู้สึกว่าตระกูลเสิ่นไม่เหมือนตระกูลอื่น นางคิดมาตลอดว่าหากคนที่นายหญิงเสิ่นแต่งงานด้วยเป็คนมีฐานะและอำนาจ แม่สามีจะต้องใช้ชีวิตเป็เหมือนบทกวีภาพวาดอย่างแน่นอน
เมื่อสังเกตเห็นสายตาสงสัยจากกู้เจิง แม่นางผู้นั้นจึงคืนชามให้นาง แล้วเอ่ยเสียงนุ่มว่า “ขอบคุณที่ให้น้ำ ข้าขอตัวก่อน” พูดจบนางก็พาสาวใช้จากไป
“เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของแม่นางผู้นี้ดูเป็ชนชั้นสูง ออกมากันแค่สองคนแบบนี้คนในครอบครัวไม่เป็ห่วงหรือ?” กู้เจิงรู้สึกแปลกใจ ตอนที่นางอยู่ในจวนกู้ จะออกจากจวนแต่ละครั้งล้วนยากเย็นแสนเข็ญ แต่แม่นางน้อยผู้นี้แค่เห็นก็รู้แล้วว่าน่าจะได้รับการอบรมสั่งสอนมาดี แต่คนในครอบครัวกลับวางใจให้นางออกมาตามลำพังหรือ? เมื่อคิดได้เช่นนี้ กู้เจิงเลยแอบเดินตามหลังพวกนางไป
ชุนหงก็เดินตามหลังคุณหนูของนางไปด้วยเช่นกัน
หลังจากแม่นางน้อยกับสาวใช้เดินจนพ้นตรอก กู้เจิงก็เห็นรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ คนขับรถม้ารีบทำความเคารพหญิงสาวผู้นั้น ก่อนจะรีบหยิบม้านั่งเพื่อให้นางเหยียบก้าวขึ้นรถ
หลังจากรถม้าเคลื่อนตัวจากไป กู้เจิงยิ่งรู้สึกแปลกใจ รถม้ามุ่งหน้าไปทางเมืองหลวง ทว่ากลับมาขอน้ำนางถึงที่นี่? ยิ่งไปกว่านั้นควรจะเป็คนขับรถม้าหรือสาวรับใช้คนนั้นมาขอน้ำ แต่แม่นางน้อยกลับลงมาขอด้วยตัวเอง
เมื่อคิดไม่ออก กู้เจิงก็ไม่อยากคิดแล้ว
พอใกล้เวลาเลิกงานของเสิ่นเยี่ยน กู้เจิงจึงไปรออยู่ระหว่างทางที่เขาจะต้องกลับมาบ้าน
เมื่อเห็นเสิ่นเยี่ยนปรากฏตัวขึ้น กู้เจิงจึงหิ้วชายกระโปรงวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหา
“ท่านพี่”
“เ้ามาทำอะไรตรงนี้?”
“รอท่านไงเ้าคะ”
เสิ่นเยี่ยนมองใบหน้าของภรรยาที่ต้องไอเย็นจนแดงระเรื่อ พานให้ในใจรู้สึกหวั่นไหวอยู่บ้าง เขากุมมือที่เย็นเฉียบของนางไว้พลางพูดว่า “ข้างนอกหนาว เ้าไม่ต้องออกมารอข้าหรอก” ก่อนจะมองไปทางชุนหง “คราวหน้าตอนออกมาเอาเตาผิงเล็กๆ มาให้นางด้วย”
“บ่าวเคยบอกแล้วเ้าค่ะ แต่คุณหนูบอกว่ามันดูแปลกเกินไป” ชุนหงเอ่ย คนในตรอกนี้ไม่มีใครหิ้วเตาผิง ออกจากบ้านกันเลย
“เดิมทีเ้าเป็คุณหนูจากจวนป๋อเจวี๋ย ฐานะก็แตกต่างจากพวกนางอยู่แล้ว ถึงจะแปลกแต่ก็เป็เื่ปกติของเ้าไม่ใช่หรือ?” เสิ่นเยี่ยนมองภรรยาอย่างเป็ห่วง
“เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม* ถ้าข้าแปลกเกินไป เกรงว่าคนแถวนี้คงไม่มีใครอยากคุยกับข้าเ้าค่ะ” กู้เจิงเอ่ยเถียงข้างๆ คูๆ
(*หมายถึง ประพฤติตนตามที่คนส่วนใหญ่ประพฤติกัน หรือปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่ตัวเองอาศัยอยู่)
“ไม่เป็ไร หลังสิ้นปีนี้พวกเราก็จะย้ายไปอยู่บ้านที่วังหลวงจัดให้กันแล้ว” สำนักราชเลขาได้จัดสรรบ้านไว้แล้ว และท่านพ่อท่านแม่ก็อนุญาตแล้ว
“ดีเ้าค่ะ ท่านพี่ ที่ข้ามารอท่านที่นี่เพราะมีเื่จะคุยกับท่านเ้าค่ะ” ว่าแล้วนางก็เล่าเื่ฟู่ผิงเซียงเมื่อตอนเที่ยงให้เขาฟังอย่างละเอียด
พอได้ฟังเพียงครึ่งเื่ เสิ่นเยี่ยนก็เลิกคิ้วขึ้น ยิ่งพูดถึงองค์หญิงสิบเอ็ด คิ้วก็ยิ่งขมวดเข้าหากัน
กู้เจิงเล่าเื่ของกู้อิ๋งกับองค์หญิงสิบเอ็ดในวันแต่งงานอีกครั้ง “ท่านว่าสิ่งที่คุณหนูรองหนิงพูดจะเป็จริงหรือเ้าคะ?”
“เื่นี้ข้าจะไปบอกตวนอ๋องในวันพรุ่งนี้ หากองค์หญิงสิบเอ็ดคิดจะทำอะไรจริงๆ มีเพียงตวนอ๋องเท่านั้นที่สามารถหยุดได้”
กู้เจิงพยักหน้ารับ เื่ของราชวงศ์ก็ให้คนในราชวงศ์ออกหน้าดีที่สุดแล้ว
“เ้ากังวลใจมาตลอดบ่ายเลยหรือ?” เสิ่นเยี่ยนมองภรรยาที่ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เปล่าหรอกเ้าค่ะ เพียงแค่ตอนที่ข้านึกถึงมัน ก็เหมือนมีบางอย่างติดอยู่ในใจ อึดอัดใจน่ะเ้าค่ะ” ยามนี้ทั้งสองคนพากันเดินเข้ามาในตรอก กู้เจิงกลัวว่าจะพบคนรู้จัก นางจึงรีบชักมือออกจากการกุมมือของเสิ่นเยี่ยน “แต่หลังจากบอกท่าน ก็หายแล้วเ้าค่ะ”
“เ้าเชื่อว่าข้าจะจัดการได้?”
“เชื่อเ้าค่ะ”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นในดวงตาที่เ็าของเสิ่นเยี่ยน “เ้ามั่นใจในตัวข้าเสียจริงนะ”
“ท่านเป็สามีของข้า ถ้าข้าไม่มั่นใจในตัวท่านแล้วจะมั่นใจในตัวใครล่ะเ้าคะ?” กู้เจิงออเซาะ
อาหารที่จัดวางบนโต๊ะในงานเลี้ยงนี้เป็มื้ออาหารที่ดีที่สุด เมื่อใกล้จะจบงาน ทั้งเ้าสาวและเ้าบ่าวก็ออกมาดื่มคารวะสุราให้ทุกคน แต่เ้าสาวแค่โผล่หน้าออกมาเท่านั้น พอเผยตัวเสร็จก็รีบกลับเข้าเรือนหอไป เหลือเพียงเ้าบ่าวที่ดื่มสุรากับทุกคน
หลังจากจบงานเลี้ยงในตอนเย็น สองสามีภรรยาเสิ่นก็อยู่ช่วยเก็บงานต่อ
ที่บ้านตระกูลเสิ่น ชุนหงเริ่มต้มน้ำร้อนสำหรับทุกคนไว้ล้างหน้าล้างตา กู้เจิงจูงสามีไปนั่งในห้องครัว นางหยิบภาพโต๊ะ เก้าอี้ และชั้นวางหนังสือที่นางวาดเอาไว้มาให้เขาดู
“โคมไฟนี้ดูแปลกตามาก” สายตาของเสิ่นเยี่ยนถูกภาพวาดโคมไฟบนกระดาษดึงดูดเข้า
“นี่คือโคมไฟที่เอาไว้แขวนเ้าค่ะ จะส่องแสงเฉพาะบางส่วน ถึงตอนนั้นข้าจะแขวนโคมไฟไม้ไผ่สานเหล่านี้บนชายคาหลายๆ แบบเ้าค่ะ”
ภาพของเก้าอี้เป็สิ่งที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน เสิ่นเยี่ยนเห็นภรรยามีท่าทางปลื้มอกปลื้มใจ นางดูใส่ใจกับร้านนี้อย่างยิ่ง
“ในเมื่อข้ามุ่งเป้าไปที่คนสามัญทั่วไป ถ้าเช่นนั้นเงินค่าอ่านหนังสือข้าจะคิดเดือนละห้าสิบอีแปะ ท่านว่าเหมาะสมหรือไม่เ้าคะ?” กู้เจิงพอจะเข้าใจค่าเงินในยุคนี้บ้างแล้ว หนึ่งก้วนก็เท่ากับหนึ่งพันอีแปะ หนึ่งก้วนเทียบเท่าหนึ่งตำลึงเงิน หรือ 0.1 ตำลึงทอง
“เ้าบอกว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับเ้าไม่ใช่หรือ? ข้าไม่มีความเห็น” เสิ่นเยี่ยนยิ้มบางๆ
กู้เจิงจึงเขียนเื่ค่าอ่านหนังสือนี้ลงบนกระดาษด้วยความดีใจ “ยังขาดตราประทับอีก”
“เอาตราประทับไปทำอะไร?”
“รับเงินจากคนอื่นก็ต้องให้ใบเสร็จ ใบเสร็จนั้นพวกเราจะเรียกว่าบัตรรายเดือน เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นใช้บัตรรายเดือนปลอมมาปะปนกัน ทีนี้ก็จะเป็หน้าที่ของเ้าตราประทับ พวกเราต้องหาคนที่เก่งๆ สักหน่อยมาทำตราประทับนี้นะเ้าคะ”
เสิ่นเยี่ยนพยักหน้ารับ อันนี้คล้ายกับบัตรผ่านด่าน แต่ในเมืองเยว่เฉิงยังมีบัตรรายเดือนที่มีตราประทับเช่นนี้อยู่ “พรุ่งนี้ตอนเที่ยงข้าจะปรึกษากับตวนอ๋อง เ้าแวะมาบอกรายละเอียดเื่ตราประทับให้ฟังสักหน่อย แล้วจะให้คนของกรมกลาโหมไปจัดทำให้”
กู้เจิงตะลึงงัน “ก็แค่ตราประทับส่วนตัว จำเป็ต้องให้กรมกลาโหมไปจัดการด้วยหรือเ้าคะ?”
“ตราประทับส่วนตัวที่พวกเขาทำ คนอื่นไม่สามารถปลอมแปลงได้ ดังนั้นต้องให้ท่านอ๋องออกหน้าให้ถึงจะทำได้”
เมื่อนึกถึงเื่แตกหักเล็กๆ กับตวนอ๋อง กู้เจิงก็ไม่ค่อยอยากจะเจอหน้าเขาในตอนนี้
“เป็อะไรหรือ?”
แววตาของเสิ่นเยี่ยนดั่งห้วงลึกยามมองนาง ลึกลงไปถึงก้นบึ้งของดวงตาดำสนิทนั้นก็มีเพียงนาง กู้เจิงรู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย นางไม่กล้ามองสบตาเขาตรงๆ “เปล่าเ้าค่ะ”
ตอนที่สองสามีภรรยาเสิ่นกลับมาถึงบ้าน ชุนหงก็ต้มน้ำร้อนสำหรับทุกคนไว้เรียบร้อยแล้ว พ่อแม่สามีต่างก็ถือน้ำร้อนเข้าห้องไปล้างหน้าล้างตา
วันรุ่งขึ้น กู้เจิงตื่นแต่เช้าตรู่ เพราะถูกเสียงประทัดปลุกเข้า
ยามตื่นขึ้นมา พื้นที่เตียงด้านข้างก็ไม่เหลือไออุ่นแล้ว เมื่อคิดได้ว่าเสิ่นเยี่ยนต้องไปที่สำนักราชเลขาั้แ่เช้าตรู่ นางก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่เื่ง่ายเลย หลังพ้นสิ้นปีนี้ไป เมื่อพวกเขาได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวงก็คงจะไม่ต้องลำบากขนาดนี้อีก
กู้เจิงออกมาจากห้อง นางเห็นหิมะตกลงมาจากฟากฟ้า และบนหลังคาก็มีชั้นหิมะบางๆ นางจึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปััปุยหิมะ
หิมะวันนี้ลอยตัวอยู่ในอากาศอย่างเฉื่อยชา ราวกับเป็ภาพช้า เป็สิ่งมหัศจรรย์อันแสนพิเศษ กู้เจิงยื่นมือออกไปให้หิมะเกล็ดหนึ่งตกลงบนฝ่ามือ “หิมะเกล็ดใหญ่จัง” กู้เจิงอุทานขึ้นกับตัวเอง
ชุนหงที่กำลังจะมาปลุกกู้เจิง นางขยี้ตาอย่างแปลกใจที่เห็นคุณหนูตื่นได้โดยไม่ต้องให้นางมาปลุก นางรู้สึกว่าช่างหาได้อยากยิ่ง “คุณหนู บ่าวจะไปเอาน้ำร้อนมาให้นะเ้าคะ”
“ชุนหง มีน้ำร้อนอยู่ในหม้อ” นายท่านเสิ่นที่เดินสวนมาได้ยินคำพูดของชุนหงจึงเอ่ยขึ้น
“อรุณสวัสดิ์เ้าค่ะท่านพ่อ” กู้เจิงทักทาย
“อรุณสวัสดิ์ อรุณสวัสดิ์” นายท่านเสิ่นยิ้มแย้มได้ทุกวัน เมื่อก่อนจะเห็นแค่หน้าเ็าที่สิบกว่าปีเปรียบดังหนึ่งวัน* ของลูกชายในทุกเช้าตรู่ แต่ตอนนี้ได้เห็นหน้าลูกสะใภ้ที่ยิ้มแย้มราวบุปผางามในทุกวัน ก็ยิ่งทำให้ชีวิตนี้มีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ
(*หมายถึง การสามารถทำสิ่งเดิมๆ ได้อย่างสม่ำเสมอ)
“อรุณสวัสดิ์เ้าค่ะท่านแม่” กู้เจิงเห็นแม่สามีเดินออกมาจากห้องครัวกำลังพันผ้ากันเปื้อน จึงทักทาย
“อรุณสวัสดิ์ วันนี้หิมะตก ใส่เสื้อผ้าให้หนาหน่อยนะ” นายหญิงเสิ่นกำชับลูกสะใภ้ นางเห็นในอ่างไม้ที่หนีบเข้ากับเอวสามีมีแต่รำข้าวกับหัวไชเท้า จึงเอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่าให้ท่านเอาฟักทองแก่ที่ต้มด้วยน้ำซาวข้าวในสวนใส่ลงไปด้วยหรือเ้าคะ?”
“ไอ้หยา ข้าลืมไป” นายท่านเสิ่นตบหน้าผากแล้วรีบไปสวนเพาะปลูก
นายหญิงเสิ่นก็เดินตามเข้าไปเช่นกัน “ข้าจะไปเร่งไฟขึ้นอีกหน่อย”
ภายในห้อง ชุนหงยื่นผ้าอุ่นๆ ให้กู้เจิง “ข้าได้ยินพ่อเฒ่าเสิ่นบอกว่า หมู แกะ และกระต่ายในบ้านเรา หลายวันนี้ต้องให้อาหารที่ดีจะได้แข็งแรง ก่อนปีใหม่จะฆ่าหนึ่งตัวเ้าค่ะ”
กู้เจิงพยักหน้ารับ “อีกสิบกว่าวันก็จะปีใหม่แล้ว เร็วจริงๆ”
“คุณหนู ท่านแต่งงานมาได้เกือบครึ่งปีแล้ว เมื่อไหร่จะตั้งครรภ์ล่ะเ้าคะ?”
กู้เจิงเช็ดหน้าเสร็จก็นั่งลงตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองตัวเองที่มีผิวขาวเนียนมีน้ำมีนวลในกระจก ท้องลูกของนางกับเสิ่นเยี่ยนอย่างนั้นหรือ? ฟังดูเหมือนไม่เลว นางยิ้มพลางกล่าวว่า “ปีหน้า ปีหน้าต้องตั้งครรภ์แน่” เสิ่นเยี่ยนบอกว่ารอพ้นปีแล้วจะร่วมหลับนอนกับนาง หากทำเื่เช่นนั้นย่อมต้องตั้งครรภ์แน่
อาหารเช้าในวันนี้เป็แป้งทอดหัวไชเท้า และเต้าฮวยเค็มที่นายท่านเสิ่นซื้อมาั้แ่เช้าตรู่
“หอมจัง” กู้เจิงอุทาน แผนงานหนึ่งวันอยู่ที่ยามเช้า* หลังกินอาหารเช้าแล้ว ไม่ว่าทำอะไรก็จะเต็มไปด้วยพลังงาน
(*เป็คำพังเพย หมายถึง การเริ่มลงมือทำ ซึ่งแผนของแต่ละวันเริ่มต้นจากตอนเช้า )