ภายในห้องพิเศษ ตี้ เฟิ่งเฉี่ยนเดินหมากอย่างสบายใจ เมื่อเดินมาถึงก้าวที่ 51 ริมฝีปากสีผลอิงของนางโค้งขึ้นเป็รอยยิ้มสมใจ
“สำเร็จแล้ว!”
แทบจะเป็เวลาเดียวกัน ภายในห้องพิเศษ เทียน มีเสียงปรบมือดังก้องกังวานขึ้น ซือคงเซิ่งเจี๋ยหลุดปากออกมาอย่างตื่นเต้นว่า “เยี่ยม! เป็การเดินหมากที่เยี่ยมยอดก้าวหนึ่ง หลุดพ้นจากความตายเกิดใหม่อีกครั้ง!”
วิธีการเดินหมากของหมากขาว ทำให้เขาที่เป็คู่ต่อสู้อดที่จะชื่นชมไม่ได้
ซือคงจวินเย่สีหน้าเคร่งเครียด “หรือ...ทำลายได้อีกแล้ว”
ซือคงเซิ่งเจี๋ยยากที่จะปกปิดสีหน้าท่าทางตื่นเต้นได้ เขาพูดอย่างกระตือรือร้น “นางไม่เพียงแต่ทำลายค่ายกลดาบโลหิตพญามัจจุราชของข้าลงได้ ซ้ำยังเอาคืนข้าได้อีกด้วย ท่านดูสิ...”
ซือคงจวินเย่มองตามทิศทางที่น้องชายชี้มือไป เห็นเพียงบนกระดานหมากนั้นปรากฏให้เห็นหมากขาวที่ก่อตัวกันเป็เจดีย์แหลม มันแหวกผ่ากองทัพของหมากดำทะลุเข้ามา ราวกับเป็หน่อไม้ที่แตกยอดอ่อนหลังฝนผ่านพ้นไปอย่างไรอย่างนั้น!
“นี่คือ...ค่ายกลเจดีย์หรือ”
ซือคงเซิ่งเจี๋ยส่ายหน้า ในดวงตานั้นทอประกายแรงกล้า “ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่ค่ายกลเจดีย์! เป็ค่ายกลดาวหกดวง!”
“ค่ายกลดาวหกดวงหรือ” ซือคงจวินเย่จับจ้องสายตามองกระดานหมากอีกครั้ง พบว่าหมากขาวเหล่านี้เชื่อมโยงไว้ด้วยกัน ถึงกับกลายเป็รูปร่างของดาวทั้งหกดวงเชื่อมต่อกัน มีลักษณะคล้ายปิดทางเดินของหมากดำอย่างแน่นสนิท!
“เป็ไปได้อย่างไร” เขาตื่นตะลึง ไม่อยากเชื่อ
“เป็เพราะข้าประมาทเกินไป ด้วยคิดว่าเป็เพียงค่ายกลเจดีย์ธรรมดาๆ จึงไม่ได้ใส่ใจ ใครเลยจะรู้ว่านางถึงกับใช้หลักการสร้างค่ายกลเจดีย์มาอำพรางการก่อค่ายกลดาวหกดวง! วิธีการคิดล้ำลึกเช่นนี้ช่างเป็อัจฉริยะโดยแท้!” ซือคงเซิ่งเจี๋ยหัวเราะเบิกบานใจขึ้นมากะทันหัน “ทว่า สะใจ! ความสุขที่สุดของคนเราก็คือเมื่อได้ดื่มสุรากับสหายรู้ใจ เมื่อได้เดินหมากกับคนที่มีฝีมือสูสีกัน! วันนี้ได้พบคู่ต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมเช่นแม่นางเฟิง ไม่เสียแรงที่ข้าเดินทางไกลมาเป็พันลี้ เพื่อการประลองหมากกระดานหนึ่ง!”
ซือคงจวินเย่กลับไม่พอใจ “อาเซิ่ง เ้าอย่าลืมว่า นางเป็คู่ต่อสู้ของพวกเรา!”
ซือคงเซิ่งเจี๋ยส่ายหน้า “ในสายตาของข้า ไม่มีคู่ต่อสู้ มีเพียงนักเดินหมาก!”
คิ้วตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเบิกบานใจ ราวกับแพ้ชนะสำหรับเขาแล้วไม่สำคัญอะไรเลย
ค่ายกลถูกทำลาย โลกในจินตนาการจึงเลือนหายไปด้วย
ฟางเสียและคนอื่นๆ ได้สติตื่นขึ้นมาจากโลกแห่งจินตนาการ แต่ละคนราวกับเพิ่งตื่น ตื่นตระหนกจนเหงื่อเย็นโซมกาย
“เมื่อสักครู่เกิดอะไรขึ้น”
“ข้าเห็นตัวเองเดินเข้าไปในค่ายกลดาบ ดาบจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ในตัวข้า น่ากลัวเหลือเกิน!”
“ข้าก็เห็นเหมือนกัน! อันตรายเหลือเกิน!”
“พวกเราถูกสถานการณ์บนกระดานหมากดึงเข้าไป หลุดเข้าไปในจินตนาการ!”
“ตอนนี้สถานการณ์เป็อย่างไรบ้าง ค่ายกลถูกทำลายแล้ว”
“แตกแล้ว! ทำลายแล้ว!”
“แม่นางเฟิงทำลายค่ายกลใหม่อีกแล้ว!”
“เหลือเชื่อ!”
“เคราะห์ดีที่มีแม่นางเฟิง!”
“...”
ขณะที่ทุกคนกำลังส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น ฟางเสียพลันส่งเสียงร้องเอ๊ะขึ้นมา สายตาของเขาตกอยู่บนกระดานหมากไม่เคลื่อนไหว หานหลินเยว่เห็นแล้วร้อนใจทันที “แย่แล้ว หรือศิษย์พี่ฟางติดอยู่ในค่ายกลอีกแล้วเ้าคะ ศิษย์พี่ฟาง รีบตื่นขึ้นเ้าค่ะ!”
นางยื่นมือออกไปหมายจะเขย่าร่างของฟางเสีย ทว่าถูกฟางเสียขัดขวาง
“ข้าไม่เป็ไร แต่สถานการณ์บนกระดานหมากมีปัญหา”
“สถานการณ์บนกระดานหมากหรือ” หานหลินเยว่มองไปยังกระดานหมากอย่างไม่แจ่มแจ้ง
ฟางเสียชี้ไปที่กระดานหมากแล้วพูดอย่างตื่นเต้น “เ้าดูสิ รูปร่างของหมากขาว เหมือนค่ายกลดาวหกดวงหรือไม่”
หานหลินเยว่จับจ้องสายตามองไป ม่านตาของนางค่อยๆ ขยายกว้างขึ้นทีละน้อยจนกลายเป็สีหน้าประหลาดใจอย่างที่สุด “ค่ายกลดาวหกดวง! หรือเป็ค่ายกลดาวหกดวงหรือเ้าคะ”
ฟางเสียพยักหน้ายืนยัน ในแววตานั้นยิ่งทอประกายเจิดจ้า “ถูกต้อง! นั่นคือค่ายกลดาวหกดวง! แม่นางเฟิงไม่เพียงแต่ทำลายค่ายกลของอีกฝ่ายลงได้ นางยังตอบโต้คู่ต่อสู้อีกด้วย! อัจฉริยะ ช่างเป็ยอดคนจริงๆ!”
เขาชื่นชมไม่ขาดปาก
คนอื่นๆ จึงพบพิรุธในตอนนี้เอง
“ให้ตายเถอะ นั่นเป็ค่ายกลหกดาวจริงๆ ด้วย!”
“แม่นางเฟิงเท่เหลือเกิน!”
“นี่เป็ค่ายกลที่แม่นางเฟิงคิดค้นด้วยตนเองกระมัง ไม่เคยเห็นมาก่อน!”
“แม่นางเฟิงเก่งจริงๆ!”
“ช่างเป็อัจฉริยะที่ยากจะพบในรอบร้อยปี!”
“ครานี้ซือคงเซิ่งเจี๋ยแพ้แน่แล้ว!”
“เขาสร้างตำนานไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน ในที่สุดก็ถูกคนทำลายสถิติแล้ว”
“...”
ภายในวังหลวง ขุนนางทั้งหลายค่อยๆ ได้สติเช่นกัน
“อันตรายเหลือเกิน! ข้าเกือบจะถูกธาตุไฟเข้าแทรก!”
“ซือคงเซิ่งเจี๋ยน่ากลัวเหลือเกิน! ถึงกับคิดค้นค่ายกลน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ออกมา!”
“ฆ่าคนโดยไร้ร่องรอย!”
“โหดร้ายเกินไปแล้ว!”
“เคราะห์ดีที่หมากขาวทำลายค่ายกลได้ หากไม่แล้วพวกเราต้องแย่แน่!”
“ใช่แล้ว เคราะห์ดีที่มีแม่นางเฟิง!”
“เอ๊ะ พวกท่านดูสิ! หมากขาวดูแปลกๆ!”
“หรือจะเป็ค่ายกลเจดีย์!”
“ไม่ถูกต้อง! ไม่ใช่แค่ค่ายกลเจดีย์แน่ๆ! แต่เหมือน...ค่ายกลดาวหกดวงมากกว่า!
“ถูกต้อง! เป็ค่ายกลดาวหกดวง! เป็ค่ายกลดาวหกดวงจริงๆ!”
“แม่นางเฟิงเก่งเกินไปแล้ว! ความสามารถสูงล้ำ! ข้ายอมแพ้!”
“ครั้งนี้ซือคงเซิ่งเจี๋ยแย่แล้ว! เขาแพ้แน่!”
“ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะวางเดิมพันข้างแม่นางเฟิง! ไม่ว่าสุดท้ายแล้วแม่นางเฟิงจะชนะหรือแพ้ ข้าล้วนสนับสนุนนางจนถึงที่สุด!”
“ข้าก็วางเดิมพันข้างแม่นางเฟิง เมื่อสักครู่นางช่วยชีวิตข้าเอาไว้!”
“...”
ดูเหมือนลมจะเปลี่ยนทิศกะทันหัน ขุนนางทั้งหลายต่างแห่กันไปสนับสนุนหมากขาว
เฟิ่งชังมีสีหน้าลำพองใจอย่างที่สุด บุตรสาวของเขาเก่งจริงๆ ได้ดั่งใจเหลือเกิน!
หลี่หรงเต๋อกลับรู้สึกหงุดหงิด เมื่อสักครู่เขาก็ติดอยู่ในค่ายกลเช่นกัน เขาลอบสาปแช่งซือคงเซิ่งเจี๋ยในใจ ในใจลึกๆ เขาเองก็อยากเปลี่ยนไปวางเดิมพันข้างแม่นางเฟิง แต่เมื่อเห็นศัตรูตัวฉกาจยืนอยู่เบื้องหน้า โดยเฉพาะสีหน้าได้ใจนั้น เขาจึงกลืนน้ำลายตัวเองไม่ได้
เวลาเพียงอึดใจเดียว นอกจากเขาคนเดียว คนทั้งหมดในท้องพระโรง ล้วนเปลี่ยนไปวางเดิมพันข้างแม่นางเฟิงทั้งสิ้น!
เขาถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวลำพัง!
กระอักกระอ่วน ตะขิดตะขวงใจ
เฟิ่งชังเห็นเช่นนั้นจึงปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่น “ใต้เท้าหลี่ ตอนนี้มีเพียงเ้าคนเดียวต่อสู้กับพวกเราทั้งหมด! โอ๊ะ ไม่เดินตามกระแสน้ำ ยืนหยัดในอุดมการณ์ ช่างกล้าหาญ! ฮ่าๆๆ...”
หลี่หรงเต๋อหน้าแดงก่ำ เขาลอบด่าในใจ “ถุย เดินตามกระแสน้ำอันใด ยืนหยัดในอุดมการณ์อันใด มิใช่เป็เพราะท่านหรอกหรือ”
หลี่หรงเต๋อแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ทุกคนล้วนวางเดิมพันคนเดียวกัน จะสนุกอะไร ข้ายินดีเสียสละ ส่งเสริมทุกท่าน ให้ทุกท่านสนุกสนานมากขึ้น!”
เฟิ่งชังได้ยินแล้วลอบถ่มน้ำลายในใจ “เ้าเสแสร้ง! เสแสร้งต่อไปเถิดเ้า!”
ทว่าเขาในนาทีนี้ ไม่มีกะจิตกะใจจะไปโต้เถียงกับอีกฝ่าย เพราะเขาถูกฝีมือการเดินหมากของหมากขาวทำให้ยอมแพ้ทั้งกายและใจ
ดูบุตรสาวของข้าสิ ทักษะการเดินหมากสูงล้ำเพียงใด!
เดินหมากสองสามก้าวก็ทำลายค่ายกลได้แล้ว ยังช่วยคนทั้งท้องพระโรงเอาไว้ได้อีก ช่างเก่งกาจเหลือเกิน!
ทำให้เขาได้หน้ายิ่งนัก!
น่าเสียดายที่ตอนนี้เขาไม่อาจบอกความจริงกับทุกคนว่าผู้ที่เดินหมากขาวเป็บุตรสาวของเขาเอง หาไม่แล้วจะต้องทำให้หลี่หรงเต๋ออิจฉาริษยาจนตายแน่นอน!
คิดแล้วอารมณ์ของเขาก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก เขาหรี่ตาลงดื่มสุรา คลอนศีรษะไปมาขาดเพียงไม่ได้ผิวปากเท่านั้น
ไท่จื่อน้อยเองก็มีความสุขไม่แพ้กัน ใบหน้าเล็กๆ นั้นแดงก่ำ น่าเอ็นดู
“ทูลไท่จื่อ ฮองเฮาเก่งกาจเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ!” ลั่วเฟิงเข้ามากระซิบกระซาบด้วยความตื่นเต้น
“ชู่วว เบาเสียงหน่อย!” ซิงกู่หันไปยื่นนิ้วให้เขานิ้วหนึ่ง แล้วพูดด้วยท่าทีเป็ความลับ “ทุกคนยังไม่รู้ว่าผู้ที่เดินหมากขาวเป็ฮองเฮา!”
ไท่จื่อน้อยยิ้มจนดวงตาโค้งลง “อยากเห็นสีหน้าท่าทางของทุกคนหลังจากรู้ความจริงเหลือเกิน!”
ดวงตาทั้งคู่ของลั่วเฟิงทอประกายราวกับมีดวงดาวอยู่ข้างใน “ทุกคนจะต้องทำแว่นตาหลุดแน่นอน!”
ซิงกู่มองเขาด้วยหางตาอย่างดูแคลน “เ้าโง่! เขาเรียกว่าตื่นตระหนกต่างหาก!”
ลั่วเฟิงเกาศีรษะ “ความหมายใกล้เคียงกัน!”
ซิงกู่ถลึงตา “ห่างกันมากต่างหาก เ้ามันโง่เขลา!”
ลั่วเฟิงกำหมดชูขึ้น “เ้าต่างหากที่โง่เขลา!”
ไท่จื่อน้อยเห็นคนทั้งสองโต้เถียงกัน จึงส่ายหน้าจนปัญญา “พวกเ้าอย่าทะเลาะกันเลย ล้วนกล่าวว่ามนุษย์เป็สัตว์สังคม พวกเ้าทำเช่นนี้มีแต่จะทำให้ข้ารู้สึกว่าตัวเองเป็คนโง่เขลาเช่นกัน!”
ลั่วหยิ่งที่ยื่นอยู่ไม่ไกลออกไปนัก ได้ยินบทสนทนาของเด็กน้อยหลายคนแล้วเกือบปล่อยเสียงหัวเราะพรืดออกมา ช่างเป็ตุ๊กตามีชีวิตสามตัวจริงๆ!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้