นับั้แ่รู้ว่าในมือของหลิวฉีซื่อมีเงินมากมาย ตอนนี้จางกุ้ยฮัวทำอาหารจึงเริ่มกล้าใส่น้ำมันมากขึ้น
เมื่อมาถึงจุดนี้หลิวฉีซื่อไม่สามารถพูดอะไรได้ เพียงเพราะคำพูดเดียวของชุ่ยหลิวที่บอกว่าเวลานางอยู่ในจวน อาหารของนายท่านก็ใส่น้ำมันเช่นนี้
ั้แ่นั้นมาหลิวฉีซื่อก็ไม่เคยตำหนิจางกุ้ยฮัวเื่ใส่น้ำมันมากอีก
ไม่นานนักอาหารก็ถูกวางเต็มโต๊ะ
จางกุ้ยฮัวนึกถึงสิ่งที่หลิวเต้าเซียงพูดก่อนหน้านี้ได้
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงบอกให้หลิวชิวเซียงที่เป็ลูกมือไปหาชามสะอาดมาสองใบแล้วแบ่งอาหารออกมาเศษหนึ่งส่วนสาม
นางเก็บเผื่อเอาไว้
“กินข้าวได้แล้ว อาเล็ก อาหารเสร็จแล้ว วันนี้มีเนื้อหมูเค็มนึ่งด้วย”
หลิวเต้าเซียงะโด้วยเสียงเล็กใสแจ๋ว หลิวเสี่ยวหลันรีบยื่นศีรษะออกมาจากประตูห้องทิศตะวันตก “รู้แล้ว พี่สะใภ้สามเอ็นดูข้าจริงๆ”
อืม เมื่อมีเนื้อสัตว์ให้กิน ทุกคนก็เป็คนดีทั้งนั้น
หลิวเต้าเซียงแอบดูแคลนหลิวเสี่ยวหลัน
ทั้งครอบครัวนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร รอจนหลิวฉีซื่อที่ชอบวางมาดเดินออกมา
ในที่สุดหลังจากการเรียกนับพันครั้ง หลิวฉีซื่อจึงเดินออกจากห้องโดยมีชุ่ยหลิวช่วยพยุงแขน
หลิวเต้าเซียงเงยหน้าขึ้นมองหลังคาบ้าน แล้วดูการประพฤติตัวเยี่ยงผู้สูงศักดิ์ เมื่อเทียบกับสภาพหลังคาบ้านหญ้าฟางเช่นนี้ ดูแล้วช่างไม่เข้ากันเสียเลย
หลิวฉีซื่อเดินไปที่โต๊ะอาหารด้วยสีหน้าตึงเครียด ก่อนจะชี้ไปที่หลิวเต้าเซียงแล้วถามว่า “เ้าถือคำพูดก่อนหน้านี้ของข้าเป็การผายลมหรือ?”
หลิวเต้าเซียงเงยหน้าขึ้นมองนางและถามว่า “ท่านย่า ก่อนหน้านี้พูดว่าอะไรหรือ?”
เมื่อเผชิญหน้ากับหลิวเต้าเซียง หลิวฉีซื่ออยากจะบีบคอนางให้ตาย
“เ้ากําลังเสแสร้งอะไรอยู่? อายุแค่นี้ไม่รู้ไปเลียนแบบใคร ช่างเน่าเฟะเสียจริง”
ขณะที่พูดสายตาก็เหลือบมองไปทางจางกุ้ยฮัว
น่าเสียดายที่มองด้วยสายตาเช่นนั้นไปก็เปล่าประโยชน์
จางกุ้ยฮัวไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย นางกำลังก้มศีรษะคีบเนื้อหมูเค็มให้บุตรสาว เป็เนื้อหมูสามชั้นมันวาวที่มีความยืดหยุ่น เนื้อหมูเค็มถูกคีบขึ้นมาพร้ะเกียบ ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนรอบทิศ!
หลิวฉีซื่ออยากบอกให้จางกุ้ยฮัววางเนื้อลง แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะว่าชุ่ยหลิวยังยืนอยู่ด้านหลัง
หลิวฉีซื่อไม่้าให้คนในจวนตระกูลหวงมีข่าวว่า นางอยากได้หน้าแต่แท้จริงแล้วกลับไม่มีความสามารถเช่นนั้น การขายขี้หน้าเช่นนี้นางทนไม่ได้!
ตลอดมานางบอกกับคนในจวนตระกูลหวงว่า แม้ว่านางจะหลุดพ้นจากการเป็ทาส แต่ชีวิตก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทำให้คนเก่าคนแก่ในจวนอิจฉาริษยา
“ท่านย่า ตอนเที่ยงท่านพูดไปเยอะมาก ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านหมายถึงประโยคไหน อีกอย่างคำพูดมากมายเช่นนั้น ก็ต้องดูว่าหลานสาวจะจำได้หรือไม่”
นางที่ไม่เคยยกเื่สถานะ ‘หลานสาว’ ขึ้นมาอ้าง ตอนนี้ก็ยกมันขึ้นมาแล้วเน้นย้ำ
นาง้าดูว่า หลิวฉีซื่อจะมีหน้าเอ่ยถึงเื่มันเทศได้อย่างไร?
การที่เอามันเทศให้อาหารหมูเพื่อไปขายแลกเงิน สุดท้ายเงินก็ตกอยู่ในมือของนางไม่ใช่หรือ?
หลิวฉีซื่อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และระงับความโกรธในใจ “ข้าบอกว่า ครอบครัวฝั่งเ้าไม่เคารพผู้าุโ ไม่เชื่อฟัง จึงลงโทษไม่ให้พวกเ้ากินข้าว”
ทันทีที่นางพูดแบบนี้ห้องโถงก็เงียบสนิท
สายตาทั้งหมดหกคู่ มีห้าคู่ที่จ้องมองหลิวฉีซื่อ มีเพียงดวงตาของหลิวเสี่ยวหลันที่ยังมองอยู่ที่เนื้อหมูเค็ม
อย่าได้สร้างเื่ขำขันได้หรือไม่?
ไม่เคารพผู้าุโ!
ใครทำงานบ้าน? ใครทำงานเกษตร? ใครดูแลเื่ทุกอย่างในบ้าน?
หลิวเต้าเซียงดูิ่นางทางสายตา ช่างหน้าไม่อาย!
ตามคาด จางกุ้ยฮัวไม่ชอบใจและหันไปถามหลิวฉีซื่อด้วยใบหน้าเ็า “ท่านแม่ ข้าไม่รู้ว่าครอบครัวฝั่งเราไม่เคารพผู้าุโอย่างไร ท่านพ่อ ท่านก็เห็นว่างานในไร่นาก็มีเพียงซานกุ้ยกับท่านที่ช่วยกันทำ ส่วนงานในบ้านก็มีข้าพาบุตรสาวทั้งสองช่วยกันดูแล ทั้งในทั้งนอกพวกข้าสามคนก็ดูแลหมด แล้วจะไม่เคารพผู้าุโได้อย่างไร? เวลาที่ท่านปวดหลัง ใครกันที่ขึ้นเขาไปหาสมุนไพรมาต้มน้ำให้? เวลาอาเล็กไม่สบาย ใครกันที่เป็คนจัดการทุกเื่ให้?”
หลิวต้าฟู่เพิ่งรินเหล้าเข้าไปในจอก ก่อนจะใช้ตะเกียบคีบเนื้อหมูเค็มที่เล็งไว้ขึ้นมา เมื่อได้ยินสิ่งที่จางกุ้ยฮัวถาม จึงหันไปพูดกับหลิวฉีซื่อ “เงียบหน่อยเถอะ ั้แ่เช้าจนเย็นจะไม่ให้คนได้อยู่อย่างสงบสุขเลยหรือ แล้วก็ครอบครัวฝั่งเ้าสามไม่เคารพผู้าุโตรงไหน อย่าเอาแต่หาเื่ไปวันๆ กินข้าวๆ”
หลังจากพูดจบเขาก็ไม่สนใจใบหน้าเขียวคล้ำของหลิวฉีซื่ออีก แล้วคีบเนื้อหมูเค็มที่ต้องตาต้องใจมานานใส่เข้าปาก จากนั้นก็จิบเหล้าพร้อมกับหรี่ตาเคลิ้ม
ทั้งการตั้งคำถามของจางกุ้ยฮัวและท่าทางไม่สนใจอะไรของหลิวต้าฟู่ ทำให้ความโมโหในใจของหลิวฉีซื่อปะทุจนถึงขีดสุด
นางตบตะเกียบลงบนโต๊ะแล้วด่า “เก่งแต่กิน ไม่กินให้ตายๆ ไปเลยเล่า เลี้ยงแต่พวกล้างผลาญ ไม่มีประโยชน์”
หลิวฉีซื่อเลือกสรรคำหยาบคายที่นิยมในหมู่บ้านสามสิบลี้ด่ากราดออกมาเป็ชุด เมื่อนางด่าจนน้ำลายเริ่มแห้ง ถึงพบว่าคนทั้งครอบครัวนอกจากนางที่โกรธและยังแผดเสียงด่า คนที่เหลือก็ยกถ้วยกินข้าวไป อิ่มเอมไป ยิ่งทำให้หลิวฉีซื่อโมโหจนแทบกระอักเื
ความโกรธแผดเผาสติสัมปชัญญะของนางจนหมดสิ้น นางจึงเอื้อมมือไปกวาดถ้วยชามกับข้าวบนโต๊ะ
ใครจะรู้ว่าสองพี่น้องมือเท้าไวกว่า รีบยกชามกับข้าวคนละใบ แล้วยกถ้วยข้าวของตนเองะโออก
“ท่านแม่ ท่านทำอะไร!” หลิวเสี่ยวหลันรู้สึกว่าดวงตาเ็ป อีกทั้งใบหน้าก็เปียกปอน ขณะนี้นางหาได้ใส่ใจสิ่งเหล่านี้ และรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดตาตนเองพร้อมกับร้องโวยวาย
หลิวฉีซื่อเห็นเข้าจึงเ็ปใจ นึกเสียใจที่เมื่อครู่ตนเองคิดฟุ้งซ่านเกินไป แล้วมองดูชามผักกวางตุ้งที่สาดใส่ตรงหน้าบุตรสาว ปรากฏว่าน้ำแกงกระเด็นเข้าตาหลิวเสี่ยวหลัน
“ยังยืนโง่อยู่อีก พวกโง่ ยังไม่รีบไปเอาน้ำอุ่นยกมาให้นายพวกเ้าล้างตาอีก”
อิงเอ๋อร์ที่ปรนนิบัติหลิวเสี่ยวหลันรีบวางตะเกียบลงแล้วเดินไปทางห้องครัวอย่างลนลาน
หลิวฉีซื่อชี้ไปทางสองพี่น้องหลิวเต้าเซียงที่ยืนห่างจากโต๊ะ “นางตัวดีพวกนี้ จะรีบกินเพื่อไปเกิดใหม่หรือ แต่ละคนไม่เคยเห็นย่าอย่างข้าอยู่ในสายตา ยังไม่รีบวางอาหารลงบนโต๊ะอีก ใครอนุญาตให้พวกเ้ากิน”
หลิวเต้าเซียงคว้าชามเนื้อหมูเค็มไว้ได้ เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวฉีซื่อ นางจัดการยื่นถ้วยข้าวของตนให้หลิวชิวเซียงแล้วโกยเนื้อหมูเค็มกว่าครึ่งชามลงไปในถ้วยข้าวสองใบโดยไม่พูดจา จากนั้นค่อยวางชามเนื้อหมูเค็มลงบนโต๊ะ
“ท่านย่า ท่านไม่กินก็ไม่เป็ไร แต่ข้าหิวแล้ว”
นางไม่ได้โง่เขลา หลิวฉีซื่ออยากโมโหก็โมโหไป ไม่เกี่ยวอะไรกับตนเอง นางตัดสินใจแน่วแน่ว่าสิ่งที่ควรกินก็ต้องกิน ที่ควรนอนก็ต้องนอน ส่วนงาน? ที่ไม่ควรทำก็จะไม่ทำ!
“นางตัวดี กล้าขัดคำสั่งข้าหรือ?” การกระทำของหลิวเต้าเซียงยิ่งเป็การกระตุ้นไฟที่สุมทรวงของหลิวฉีซื่อ
นางหยิบชามบนโต๊ะอาหารแล้วขว้างไปทางหลิวเต้าเซียงโดยตรง
จากนั้นก็ชี้หน้าด่าหลิวซานกุ้ย “ดูสิว่าสะใภ้เ้าสอนลูกอย่างไร ชอบสอนแต่เื่ต่ำทราม”
แล้วยังบอกว่าจางกุ้ยฮัวเป็พวกที่ชอบก่อเื่ไม่หยุด วันๆ หาแต่เื่แข็งข้อกับแม่สามี แล้วยังคิดจะจ้องแต่เงินส่วนตัวของนางทุกวัน
สรุปแล้วก็คือจางกุ้ยฮัวผิดทุกเื่และหลิวฉีซื่อไม่ผิดสักอย่าง
“ฮือๆ ์ช่างตาบอดเหลือเกิน เหตุใดจึงยัดเ้าตัวใจไม้ไส้ระกำเข้ามาในท้องข้า ทนตั้งท้องมาสิบเดือนและคลอดออกมาอย่างลำบาก แต่พอมีเมียก็ลืมแม่ แค่สั่งสอนหลานสาวสองคน แต่พวกเ้าดูสิว่าจางกุ้ยฮัวทำนิสัยอย่างไร กล้าชักสีหน้าใส่ข้า”
หลิวฉีซื่อลงไปนั่งกองกับพื้นแล้วเริ่มร้องไห้โอดครวญกับ์ฟ้าดิน
จางกุ้ยฮัวหน้าดำคร่ำเครียดอย่างหนัก “ท่านแม่ ในเมื่อท่านไม่พอใจในตัวข้า เช่นนั้นก็แยกครอบครัวข้าออกไป ต่อให้หิวตายก็ดีกว่าต้องมาทนถูกด่าว่าทุบตีทุกวันเยี่ยงนี้”
“พี่สะใภ้ เหตุใดท่านต้องยั่วให้ท่านแม่ข้าโมโหเช่นนี้ ไม่เห็นหรือว่าท่านแม่ข้าจะเป็ลมหมดสติแล้ว?” หลิวเสี่ยวหลันรู้แผนของหลิวฉีซื่อจึงพูดเช่นนี้ นางตั้งใจจะให้จางกุ้ยฮัวแบกรับคำกล่าวหาที่อกตัญญู
“ท่านแม่ ท่านบอกว่าลูกชายไม่กตัญญู ท่านมีลูกชายสี่คน แต่ก็มีเพียงข้าที่ดูแลอยู่ข้างกาย แม้พวกเขาจะมีใจนึกอยากดูแล แต่ก็ไม่เคยเห็นเงา ตอนนี้ท่านอาจจะยังไม่้าพึ่งพาพวกเขาให้มาดูแล แต่รอจนท่านไม่อาจเคลื่อนไหวได้ ข้าจะรอดูว่าพวกเขาจะมาเฝ้าท่านทุกวันหรือไม่!”
ว่ากันว่าเมื่อล้มป่วยก็ไร้เงาลูกกตัญญูอยู่ข้างเตียง!
หลิวฉีซื่อได้ยินดังนั้นก็หยุดชะงัก ไม่อาจร้องไห้ต่อได้ แต่ก็ไม่มีหน้าจะลุกขึ้นมาเอง
“ข้าคลอดมาเอง ลองกล้าไม่ดูแลข้าสิ!”
นางไม่เชื่อว่าบุตรชายแท้ๆ ของตนจะเป็คนใจเหี้ยม
หลิวซานกุ้ยโมโหจนหัวเราะออกมา เขาเข้าใจว่ามารดาของตนเองนั้นพูดไม่รู้เื่
จึงเอ่ย “เช่นนั้นข้าจะไม่เอ่ยถึงเื่อื่น ลำพังลูกสาวสองคนของข้า ก็เป็หลานสาวแท้ๆ ของท่าน อ้อ ท่านซื้อเด็กรับใช้มาปรนนิบัติถึงสองคน แล้วเหตุใดไม่ให้พวกนางไปเกี่ยวหญ้าให้อาหารหมู ในบ้านไม่มีคนรับใช้หรือ? หรือตั้งใจว่าจะเลี้ยงคนรับใช้อย่างบรรจง และเลี้ยงหลานสาวเ้าของบ้านอย่างหยาบกระด้างและต่ำต้อยถึงจะพอใจ?”
หลิวซานกุ้ยกล่าวออกมาเช่นนี้ แต่ในใจเขากลับตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่า ต่อไปเขาจะประคบประหงมบุตรสาวไว้ในอุ้งมือของตนเอง ไม่คาดหวังผู้อื่น!
หลิวฉีซื่อไม่อาจเถียงหลิวซานกุ้ยที่นับวันก็ยิ่งคิดได้ และโมโหที่เด็กรับใช้มาเห็นภาพน่าหัวเราะเยาะเช่นนี้ จึงตะคอกอย่างมีน้ำโห “เลี้ยงเสียข้าวสุก ไสหัวไป เหตุใดข้าจึงมีชีวิตที่ขมขื่นเช่นนี้ คลอดลูกชายอกตัญญูเช่นนี้ออกมาได้”
“ท่านแม่ ท่านพูดเองนะขอรับ ข้าจะพาลูกเมียข้าทั้งหมดเก็บข้าวของ แล้วไสหัวออกไปให้ไกล จะได้ไม่ต้องให้ท่านมาด่าว่าข้าอกตัญญู ไม่เชื่อฟังท่าน”
ไม่มีใครคาดคิดว่า จะมีวันหนึ่งที่หลิวซานกุ้ยเปิดปากแข็งข้อกับหลิวฉีซื่อ
ขณะนี้ ทุกคนในบ้านต่างมองกันอย่างตกตะลึง ละครฉากนี้จะแสดงต่อไปอย่างไรอีก?
หลิวซานกุ้ยมองสถานการณ์นี้ เขาเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่ามีเพียงความคิดที่ถูกต้องของตน จึงจะทำให้ครอบครัวฝั่งตนเองมีจุดยืนเมื่ออยู่ต่อหน้าบิดามารดา
“ท่านพ่อ ในเมื่อท่านแม่กล่าวเช่นนี้ ข้าเห็นว่าเชิญหลี่เจิ้งมาดีกว่า!”
หืม พ่อผู้แสนดี ท่านอยากแยกบ้านหรือ?!
ดวงตาดุจเม็ดอัลมอนด์โค้งเป็รูปจันทร์เสี้ยว!
“ไปเรียกมา เ้าไปเรียกมาเลย คิดว่าข้ากลัวเ้าหรือ? เอาเงินที่เลี้ยงดูพวกเ้าไปซื้อคนรับใช้ก็ได้” หลิวฉีซื่อถูกหลิวซานกุ้ยบีบจนไม่อาจย้อนกลับได้ จึงได้แต่คอตั้งตะคอกเสียงดัง
ให้ตายนางก็ไม่มีทางก้มศีรษะยอมรับผิด
“หรุ่ยเอ๋อร์!” หลิวต้าฟู่แผดเสียงสูงและคำราม!
หลิวฉีซื่อใอย่างไม่ทันตั้งตัว!
“เ้ากินมากเกินไปหรือ ตะคอกอะไรกัน!”
หลิวต้าฟู่รู้ว่าตนเองสูญเสียภาพลักษณ์และเคยชินกับการถูกนางกดอยู่ด้านล่าง จึงเปลี่ยนน้ำเสียงพูดคุยให้ดีแทน “เอาเถิด ต่างก็เป็ครอบครัวเดียวกัน จะให้คนทั้งหมู่บ้านหัวเราะเยาะจึงจะพอใจหรือ คิดถึงวั่งกุ้ยหน่อย”
สองปีจากนี้ หลิววั่งกุ้ยต้องลงสนามสอบ หากว่าสอบผ่านซิ่วไฉ ที่นาสามสิบไร่ในชื่อของหลิวฉีซื่อก็ไม่ต้องจ่ายภาษีอีกต่อไป
“เ้าคิดว่าข้าอยากโมโหหรือ มันเทศเ่าั้ข้าคิดไว้แต่แรกว่าจะเอาไปแลกเงิน อีกอย่างพวกนางสองพี่น้องอยู่แต่บ้านก็ไม่ได้ทำอะไร ไปเกี่ยวหญ้าให้อาหารหมูไม่ได้ทำให้เหนื่อยตายสักหน่อย”
ดวงตาของหลิวซานกุ้ยยิ่งเ็ากว่าเดิม
แต่ใบหน้าของจางกุ้ยฮัวเย็นะเืยิ่งกว่า
ปัญหาอยู่ที่ว่า เด็กรับใช้ที่ซื้อมาสองคนกลับทำเพียงงานเล็กน้อย ส่วนงานที่หนักและเหนื่อยที่สุดกลับกลายเป็งานที่จัดสรรให้บุตรสาวสองคนของหลิวซานกุ้ย
-----
