หวังหู่รู้สึกเสียใจอย่างที่สุด
หากเขาไม่ได้หลอกล่อลู่คงออกไปตามหาหญ้าชะตาวสันต์ ป่านนี้ลู่คงก็คงไม่ต้องมาเจอกับิญญาร้ายเหล่านี้!
“จะทำอย่างไรดีเล่า” เขาซ่อนตัวอยู่ในห้องเก็บฟืน มือปิดปากปิดจมูก ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ๆ
ชาวบ้านที่ถูกิญญาร้ายสิงสู่กำลังตามหาตัวหวังหู่อยู่ เขาลอบมองช่องประตูออกไปด้านนอก ครั้นเห็นภาพเบื้องหน้าก็ร่ำไห้ในใจ “แม่เ้าโว้ย...ทำไมพวกมันถึงมารวมกันอยู่ตรงนี้ได้วะ!”
ชาวบ้านสามคนกำลังพลิกหาหวังหู่ทั่วบ้าน แม้กระทั่งใต้เตียงก็ค้นหาแล้ว แต่ก็ไม่พบ ในที่สุดสายตาของพวกเขาก็ไปหยุดอยู่ที่ห้องเก็บฟืนพร้อมกัน
หวังหู่ที่หลบอยู่หลังแผ่นไม้มองดูคนทั้งสามพุ่งเข้ามาหาตนเอง ความรู้สึกสิ้นหวังแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ในเวลานี้เขากำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าควรทำเช่นไรดี
โครม! ประตูถูกชาวบ้านที่เป็หัวหน้าเตะจนพัง ทั้งสามคนพุ่งเข้าไปในห้องเก็บฟืนอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่พบหวังหู่! ในขณะที่พวกเขากำลังพลิกหาในห้องเก็บฟืนอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง บานหน้าต่างตรงมุมห้องที่ไม่เป็ที่สังเกตก็ถูกปิดลงอย่างเงียบเชียบ
ด้านนอกหน้าต่าง หวังหู่ทิ้งตัวพิงผนัง ใบหน้าเปรอะเปื้อนน้ำตา เขากุมปากเอาไว้เพื่อไม่ให้ตนเองร้องออกมาเพราะความหวาดกลัว ครั้นแน่ใจว่าตัวเองไม่ถูกพบตัว จึงคลานหนีออกจากบ้านไปอย่างทุลักทุเล
แต่หวังหู่เพิ่งคลานออกจากประตูบ้านไปได้ไม่ไกลนัก ก็มีชาวบ้านอีกหลายคนเดินสวนทางมาแต่ไกล เขารีบหมอบลงกับพื้น เมื่อเห็นภาพเบื้องหน้า เขาก็พลันสติแตก ในยามคับขันเช่นนี้ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากกระโจนเข้าไปในคอกหมูที่เต็มไปด้วยโคลน
กลิ่นเหม็นเปรี้ยวเข้าปะทะจมูก หวังหู่ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากฝืนทนความรู้สึกคลื่นไส้ เขาคลานเข้าไปด้านในเบียดเสียดอยู่กลางฝูงหมู เพื่อที่จะมีชีวิตรอด หวังหู่ตัดสินใจฮึดสู้ เขาตักโคลนเหม็นในคอกหมูมาป้ายบนใบหน้าและทั่วร่าง ระหว่างนั้นเกือบจะอาเจียนออกมาหลายครั้ง
หวังหู่ที่แสร้งทำเป็สัตว์เลี้ยงหลบอยู่ในคอกหมูมองดูชาวบ้านเดินผ่านไปเบื้องหน้า ก่อนจะถอนหายใจยาว อย่างน้อยก็ปลอดภัยแล้ว
ในขณะที่เขากำลังคิดว่าตนเองรอดพ้นจากหายนะมาได้ ร่างกายกลับถูกคนยกขึ้นกลางอากาศอย่างไม่ทันตั้งตัว นี่เป็ครั้งที่สองในวันนี้แล้วที่เขาถูกยกขึ้นมาแบบนี้
“อ๊ากกก!” เขาร้องลั่น เมื่อเห็นชัดว่าใครเป็คนยกตนเองขึ้น หัวใจพลันเย็นเยียบลง
เพราะไม่ใช่เป็ใครอื่น แต่เป็ลู่คงที่ถูกเขาทำร้ายจนกลายเป็แบบนี้!
***
หวังหู่ที่ตัวเหม็นคลุ้งถูกโยนไปตรงหน้าศาลเ้าแม่กวนอิมอย่างไม่ไยดี ทำเอาเขาร้องลั่นด้วยความปวดร้าว คนจุดธูปในศาลเ้าที่ถูกมัดมือมัดเท้านอนอยู่ข้างๆ หวังหู่เอ่ยปลอบ “เหล่าหวัง เ้าไม่เป็ไรใช่หรือไม่”
หวังหู่ถามอย่างหวาดผวา “พวกมัน้าทำอะไรกันแน่”
คนจุดธูปในศาลเ้าถอนหายใจ “เกรงว่าพวกมันคิดจะใช้เืของพวกเราทำลายค่ายกลป้องกันของศาลเ้าแม่กวนอิม”
“อะไรนะ” หวังหู่ตกตะลึง เมื่อมองดูชาวบ้านอีกครั้ง มีคนหนึ่งกำลังยื่นมีดเชือดหมูให้ลู่คง เมื่อชายชรารับมีดเชือดหมูมาแล้ว ใบหน้าก็เต็มไปด้วยเจตนาสังหาร เขายิ้มเยาะแล้วพุ่งมีดเข้าหาหวังหู่
หวังหู่ตัวสั่นเทา ร้องไห้คร่ำครวญ พยายามคลานหนีลู่คงไปกับพื้น แต่ลู่คงก้าวเท้าสองสามก้าวมายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
“ไม่...อย่านะ!” หวังหู่เบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว ดวงตาสะท้อนภาพลู่คงที่กำลังเงื้อมีดขึ้น คนจุดธูปในศาลเ้าที่อยู่ไม่ไกลนักหลับตาลง เขาไม่กล้ามองดูอีกต่อไป
ในจังหวะที่ลู่คงกำลังจะปลิดชีพหวังหู่ ทันใดนั้น บนท้องฟ้ายามค่ำคืนก็มีเสียงขลุ่ยดังขึ้นแ่เบา ภายในเสียงเหมือนมีพลังบางอย่างแฝงอยู่ เมื่อลู่คงได้ยินก็มีสีหน้าเคร่งเครียด
หวังหู่มองไปรอบๆ อย่างร้อนรน คนจุดธูปในศาลเ้าลืมตาขึ้นมองหาต้นตอเสียงขลุ่ยเช่นกัน
ชาวบ้านล้มลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว หมอกสีดำลอยออกจากทวารทั้งเจ็ดบนใบหน้า
หมอกสีดำในกายลู่คงก็ได้รับผลกระทบจากเสียงขลุ่ยเช่นกัน มันรู้สึกได้ว่าเสียงขลุ่ยนี้ไม่ได้ขับไล่มันออกไป แต่เป็การชี้นำอย่างแรงกล้า บีบบังคับให้มันออกจากร่างกายลู่คง มันกัดฟันส่ายหน้า หมอกสีดำที่กระจายออกไปพลันถูกดูดกลับเข้าไปในร่างกายทั้งหมด มันกลับมาควบคุมสติไว้ได้อีกครั้ง
“ผู้ใด!” ยามเสียงของลู่คงตวาดก้อง เสียงนั้นเหมือนเสียงหลายสิบคนที่ทับซ้อนกัน มีทั้งชายและหญิง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
และแล้วเสียงขลุ่ยบนหลังคาศาลเ้าแม่กวนอิมก็ดังขึ้นอีกครา ลู่คงเงยหน้ามองไปตามเสียง
แสงจันทร์สว่างไสว ร่างของเด็กหนุ่มชุดดำถูกแสงจันทร์แต่งแต้มเป็เงาสีเงิน ร่างนั้นผอมบางและหลับตายืนอยู่บนหลังคา เด็กหนุ่มกำลังบรรเลงขลุ่ยสีเขียวในมือ เสียงขลุ่ยอันแสนไพเราะลอยล่องดังขึ้น เส้นผมยาวที่รวบไว้ของเด็กหนุ่มปลิวไสวไปตามสายลมยามค่ำคืนจนดูงามสง่ายิ่ง
เสียงขลุ่ยที่ดังขึ้นทำให้ลู่คงปวดศีรษะจนแทบแตกเป็เสี่ยงๆ หวังหู่ที่นอนอยู่บนพื้นเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่ม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็ใคร ริมฝีปากซีดเซียวก็สั่นเทาด้วยความใ ครึ่งค่อนวันก็พูดไม่ออก
คนจุดธูปในศาลเ้าที่อยู่ด้านข้างมองเด็กหนุ่มบนหลังคาด้วยสีหน้าประหลาดใจ แล้วเขาก็โพล่งชื่อที่คุ้นเคยออกมา
ลู่เต้า!
แต่ในความทรงจำของคนจุดธูปในศาลเ้าและหวังหู่ ลู่เต้าเป็เด็กหนุ่มที่ซื่อสัตย์สุจริต มีอัธยาศัยดี ราวกับแสงตะวัน ส่วนคนตรงหน้า ถึงแม้จะมีใบหน้าเป็ลู่เต้า แต่ทั่วทั้งร่างกลับมีกลิ่นอายชั่วร้ายน่ากลัวแผ่ออกมา
“เ้าเป็ใคร!” ลู่คงไม่กล้าขยับสุ่มสี่สุ่มห้า
เด็กหนุ่มลดขลุ่ยลง บนใบหน้าซีดเซียวไร้เืฝาดค่อยๆ เหยียดรอยยิ้ม เมื่อสะบัดมือเบาๆ ขลุ่ยในมือพลันกลายเป็ไม้สีดำสนิท รูปร่างของมันคล้ายไม้บรรนทัดที่ยาวสามฉื่อเจ็ดชุ่น ลวดลายสีทองส่องประกายระยิบระยับใต้แสงจันทร์
“ชื่อของข้า เ้าไม่จำเป็ต้องรู้” ร่างของเด็กหนุ่มหายวับไป เพียงพริบตาเดียวก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าลู่คงแล้ว ไม้สะกดมารในมือส่องประกายเจิดจ้า ก่อนจะทุบเข้าที่ร่างชายชราอย่างแรง
พลังที่แฝงอยู่ภายในไม้สะกดมารขับไล่หมอกสีดำออกจากร่างกายลู่คงในทันใด แล้วลู่คงก็รอดพ้นจากอันตราย เขากระโซกระเซอยู่ครู่หนึ่งก่อนหมดสติไป
“พาเขาออกไป” เด็กหนุ่มออกคำสั่ง
เมื่อเห็นเช่นนั้น คนจุดธูปในศาลเ้าที่อยู่ข้างๆ ก็รีบดึงลู่คงออกไปทันที เพื่อไม่ให้โดนลูกหลงจากการต่อสู้ของลู่เต้ากับหมอกสีดำ
ทว่า...เ้าเด็กหนุ่มเหลือร้ายตรงหน้านี้เป็ลู่เต้าที่เขารู้จักจริงๆ หรือ
หมอกสีดำที่กระจายอยู่กลางอากาศส่งเสียงร้องแหลมน่ากลัว ก่อนจะรวมตัวกันเป็รูปร่าง ในครั้งนี้ทุกคนต่างเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมันแล้ว เป็โครงกระดูกที่มีหมอกสีดำห่อหุ้มรายล้อมลอยอยู่
“เงากวนอิม” เมื่อเห็นว่าหมอกสีดำเผยร่างจริงออกมาแล้ว เด็กหนุ่มจึงเอ่ยนามที่แท้จริงของมันออกมาอย่างใจเย็น
โดยทั่วไปแล้ว เงากวนอิมจะปรากฏตามศาลเ้าร้างที่ห่างไกลผู้คน ใน่แรกมันกินศรัทธาของมนุษย์เป็อาหาร ภายหลังจะจับิญญามนุษย์กิน จัดเป็ภูตผีปีศาจที่อันตรายนัก
เงากวนอิมที่โกรธแค้นกวัดแกว่งกรงเล็บเรียวแหลม มันคิดจะฉีกกระชากลู่เต้าเป็ชิ้นๆ ทว่าอีกฝ่ายเพียงโบกไม้สีดำในมือเบาๆ กรงเล็บก็ถูกตัดจนกลายเป็หมอกสีดำ
“น่าโมโหนัก!!!” เงากวนอิมชูแขนที่หายไปครึ่งหนึ่งพร้อมส่งเสียงร้องด้วยความโกรธแค้น
เด็กหนุ่มครุ่นคิดในใจ สภาพอากาศรอบๆ ูเายักษานี้แห้งแล้งนัก อย่างมากก็มีแค่ผีเล็กๆ น้อยๆ หรือศพเดินได้เท่านั้น ส่วนปีศาจตนนี้ได้ล่วงรู้วิถีบำเพ็ญตนแล้ว ถ้าไม่ได้มาจากที่อื่น ก็ต้องถูกคนเลี้ยงเอาไว้
จากการลอบสังเกตการณ์เมื่อครู่แล้ว เขาคิดว่าน่าจะเป็อย่างหลังมากกว่า
เด็กหนุ่มยกไม้สีดำขึ้นชี้หน้าเงากวนอิมแล้วเอ่ยถาม “บอกมา ผู้ใดเป็นายของเ้า”
ทันใดนั้น เงากวนอิมก็ชะงักไป หางตาของมันตวัดไปมองหวังหู่ที่อยู่ใกล้ศาลเ้ากวนอิมมากที่สุดแวบหนึ่ง ก่อนยิ้มเยาะ แล้วควบคุมหมอกสีดำที่กระจายอยู่กลางอากาศให้พุ่งเข้าโจมตีหวังหู่ ทันใดที่หวังหู่ลุกขึ้นยืนก็ถูกหมอกสีดำพุ่งชนจนกระเด็นไปชนศาลเ้าแม่กวนอิม
ตู้ม!
หวังหู่หัวแตกเืไหลพราก และล้มหมดสติไปกับพื้น กำแพงที่เดิมผุพังอยู่แล้วแตกกระจาย
ทั้งหมู่บ้านเมฆาขาวสูญเสียค่ายกลป้องกันไปแล้ว เหล่าิญญาเร่ร่อนและศพเดินได้ที่รวมตัวกันอยู่นอกหมู่บ้านต่างพากันทะลักเข้ามา เงากวนอิมยิ้มเยาะ “เผชิญกับภูตผีมากมายเช่นนี้ เ้ายังจะทำตัวสงบนิ่งอย่างเมื่อครู่ได้อีกหรือ”
“ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียจริง” เด็กหนุ่มแค่นเสียง ไม้สะกดมารในมือกลับกลายเป็ขลุ่ยสีเขียวอีกครั้งก่อนจะเป่าบรรเลง
ดนตรีที่บรรเลงขึ้นในครั้งนี้ เหมือนสายลมหนาวที่พัดผ่านอย่างรุนแรง เมื่อเหล่าิญญาเร่ร่อนและศพเดินได้ได้ยินเสียงขลุ่ย ต่างก็หยุดนิ่งลงโดยมิได้นัดหมาย จากนั้นก็พุ่งเข้าหาเงากวนอิมราวกับสายน้ำ เดิมทีเงากวนอิมยังคิดว่าตัวเองสามารถพลิกสถานการณ์ได้แล้ว ใครจะคิดว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ากลับใช้เสียงขลุ่ยควบคุมภูตผีได้!
นี่คือวิชาลับของไป๋เสียผู้เดินบนวิถีแห่งภูตผีที่ทำให้ผู้คนต้องหวาดกลัว
‘ขับไล่ภูตผี’
ในยามคับขัน เงากวนอิมก็ควบคุมหมอกสีดำให้กลายเป็กรงเล็บอีกครั้ง มันคอยฉีกกระชากทุกสิ่งที่พยายามเข้าใกล้ตนเป็ชิ้นๆ แต่ภูตผีเหล่านี้มีจำนวนมากเกินไป ต่อให้มันจัดการไปกลุ่มหนึ่งแล้ว ก็จะมีอีกกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาไม่มีที่สิ้นสุด
เดิมทีเงากวนอิมยังคิดจะใช้ภูตผีเหล่านี้เป็อาวุธสังหาร ใครจะคิดว่าสุดท้ายแล้วจำนวนที่มากมายเช่นนี้จะหวนย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง
หลังจากยืนหยัดได้ครู่หนึ่ง ในที่สุดเงากวนอิมที่ต้านทานไม่ไหวก็ถูกภูตผีรุมทึ้งจนสลายไป เมื่อไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายของเงากวนอิมอีก เด็กหนุ่มจึงใช้ขลุ่ยบรรเลงบทเพลงปลอบิญญา เสียงขลุ่ยไพเราะท่วงทำนองราบเรียบ ทำให้ผู้คนรู้สึกสงบ เหล่าิญญาเร่ร่อนพลันกลายเป็ควันสีฟ้าจางๆ ลอยไปตามเสียงเพลง ส่วนศพเดินได้ก็โซเซหลายก้าวก่อนจะล้มลงกลายเป็ขี้เถ้าปลิวหายไปตามสายลม
เมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลง เด็กหนุ่มก็เหน็บขลุ่ยไว้ที่เอว และหันหลังเตรียมจะจากไป ทันใดนั้นก็มีเสียงสั่นเทาดังขึ้นเื้ัเขา
“อาเต้า” เสียงคุ้นเคยของชายชราดังขึ้นแ่เบา
เด็กหนุ่มหยุดฝีเท้า เอียงศีรษะเล็กน้อย ใบหน้านั้นซีดเซียวไร้เืฝาด ปราศจากอารมณ์ใดๆ
